๓. มูสิกชาดก ควรเรียนทุกอย่างแต่ไม่ควรใช้ทุกอย่าง
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 861
๓. มูสิกชาดก
ควรเรียนทุกอย่างแต่ไม่ควรใช้ทุกอย่าง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 861
๓. มูสิกชาดก
ควรเรียนทุกอย่างแต่ไม่ควรใช้ทุกอย่าง
[๘๑๓] คนบ่อพร่ําอยู่ว่า นางทาสีชื่อมูสิกาไปไหนๆ เราคนเดียวเท่านั้นรู้ว่า นางทาสีชื่อว่ามูสิกา ตายอยู่ในบ่อน้ำ.
[๘๑๔] เหตุใดท่านจึงคิดอย่างนี้ และมองหาโอกาสจะประหารทางนี้ๆ กลับไปแล้วเหมือนลา เพราะฉะนั้นเราจึงรู้ว่า ท่านฆ่านางทาสีชื่อว่ามูสิกาตายทิ้งไว้ในบ่อน้ำ วันนี้ปรารถนาจะกินข้าวเหนียวอีกหรือ.
[๘๑๕] แน่เจ้าผู้โง่เขลา เจ้ายังเป็นเด็กอ่อนตั้งอยู่ในปฐมวัย มีผมดําสนิท มายืนถือท่อนไม้ยาวนี้อยู่ เราจะไม่ยอมยกชีวิตให้แก่เจ้า.
[๘๑๖] เราเป็นผู้อันบุตรปรารถนาจะฆ่าเสีย จะพ้นจากความตาย เพราะภพในอากาศหรือเพราะบุตรที่รักเปรียบด้วยอวัยวะก็หาไม่ เราพ้นจากความตายเพราะคาถาที่อาจารย์ผู้ให้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 862
[๘๑๗] บุคคลควรเรียนวิชาที่ควรเรียนทุกอย่างไม่ว่าจะเลว ดี หรือปานกลางก็ตาม บุคคลควรรู้ประโยชน์ของวิชาที่เรียนทุกอย่าง แต่ไม่ควรประกอบทั้งหมด ศิลปที่ศึกษาแล้วนําประโยชน์ให้ในเวลาใด แม้เวลาเช่นนั้นย่อมมีแท้.
จบ มูสิกชาดกที่ ๓
อรรถกถามูสิกชาดกที่ ๓
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภพระเจ้าอชาตศัตรู จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า กุหึคตา กตฺถ คตา ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารมาแล้วในถุสชาดก ในหนหลังนั่นแลส่วนในชาดกนี้ พระศาสดาทรงเห็นพระราชาทรงหยอกเล่นกับพระโอรสพลาง ทรงฟังธรรมพลางอย่างนั้น ทรงทราบว่า ภัยจักเกิดขึ้นแก่พระราชา เพราะอาศัยพระโอรสนั้น จึงตรัสว่า มหาบพิตรพระราชาครั้งเก่าก่อนทั้งหลาย ทรงรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ ได้ทรงการทําโอรสของพระองค์ไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ด้วยทรงดําริว่าพระโอรสจงครองราชสมบัติในเวลาเราแก่ชราตามัว แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 863
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ในเมืองตักกศิลา ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์. โอรสของพระเจ้าพาราณสี พระนามว่ายวกุมาร ได้เรียนศิลปะทุกอย่างในสํานักของพระโพธิสัตว์นั้น แล้วให้การซักถามคือทดสอบวิชาแล้ว ประสงค์จะกลับมาบ้านเมือง จึงอําลาอาจารย์นั้น. อาจารย์รู้ได้ด้วยอํานาจวิชาดูอวัยวะว่า อันตรายจักมีแก่กุมารนี้เพราะอาศัยบุตรเป็นเหตุ คิดว่าเราจักบําบัดอันตรายของพระกุมารนั้น จึงเริ่มไตร่ตรองหาข้อเปรียบเทียบสักข้อหนึ่ง.ก็ในกาลนั้น ม้าของอาจารย์ทิศาปาโมกข์นั้นมีอยู่ตัวหนึ่งแผลเกิดขึ้นที่เท้าของม้านั้น. พวกคนเลี้ยงม้าจึงกระทําม้าตัวนั้นไว้เฉพาะในเรือน เพื่อจะตามรักษาแผล. ในที่ไม่ไกลเรือนนั้นมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่งครั้งนั้น หนูตัวหนึ่งออกจากเรือนกัดแผลที่เท้าของม้า. ม้าไม่สามารถจะห้ามมันได้. วันหนึ่ง ม้านั้นไม่อาจอดกลั้นเวทนาได้ จึงเอาเท้าดีดหนูซึ่งมากัดกินแผลให้ตายตกลงไปในบ่อน้ำ. พวกคนเลี้ยงม้าไม่เห็นหนูมาจึงกล่าวกันว่า ในวันอื่นๆ หนูมากัดแผล บัดนี้ไม่ปรากฏมันไปเสียที่ไหนหนอ. พระโพธิสัตว์กระทําเหตุนั้นให้ประจักษ์แล้วกล่าวว่าคนอื่นๆ ไม่รู้ จึงพากันกล่าวว่า หนูไปเสียที่ไหน แต่เราเท่านั้นย่อมรู้ว่าหนูถูกม้าฆ่าแล้วดีดลงไปในบ่อน้ำ. พระโพธิสัตว์นั้นจึงกระทําเหตุนี้นั่นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ แล้วประพันธ์เป็นคาถาที่หนึ่งมอบให้แก่พระราชกุมาร. พระโพธิสัตว์นั้นไตร่ตรองหาข้อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 864
เปรียบเทียบข้ออื่นอีก ได้เห็นม้าตัวนั้นแหละมีแผลหายแล้ว ออกไปที่ไร่ข้าวเหนียวแห่งหนึ่ง แล้วสอดปากเข้าไปทางช่องรั้ว ด้วยหวังว่าจักกินข้าวเหนียว จึงกระทําเหตุนั้นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ แล้วประพันธ์เป็นคาถาที่ ๒ มอบให้แก่พระราชกุมารนั้น ส่วนคาถาที่ ๓พระโพธิสัตว์ประพันธ์โดยกําลังปัญญาของตน มอบคาถาที่ ๓ แม้นั้นให้แก่พระราชกุมารนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพ่อ เธอดํารงอยู่ในราชสมบัติแล้ว เวลาเย็นเมื่อจะไปสระโบกขรณีสําหรับสรงสนาน พึงเดินท่องบ่นคาถาที่ ๑ ไปจนถึงบันใดอันใกล้ เมื่อจะเข้าไปยังปราสาทอันเป็นที่อยู่ของเธอ พึงเดินท่องบ่นคาถาที่ ๒ ไปจนถึงที่ใกล้เชิงบันได ต่อจากนั้นไป พึงเดินท่องบ่นคาถาที่ ๓ ไปจนถึงหัวบันไดครั้นกล่าวแล้วจึงส่งพระกุมารไป. พระกุมารนั้นครั้นไปถึงแล้วได้เป็นอุปราช เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติ. โอรสองค์หนึ่งของพระองค์ประสูติแล้ว. พระโอรสนั้น ในเวลามีพระวัสสา๑๖ ปี คิดว่าจักปลงพระชนม์พระบิดา เพราะความโลภในราชสมบัติจึงตรัสกะอุปัฏฐาก (มหาดเล็ก) ทั้งหลายว่า พระบิดาของเรายังหนุ่มเราคอยเวลาถวายพระเพลิงพระบิดานี้ จักเป็นคนแก่คร่ําคร่าเพราะชรา ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแม้ที่ได้ในกาลเช่นนั้น. อุปัฏฐากเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ไม่อาจไปยังประเทศชายแดนแล้วกระทําความเป็นโจร พระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดาของพระองค์ด้วยอุบายบางอย่างแล้วยึดเอาราชสมบัติ. พระโอรสนั้นรับว่าได้ แล้วไปยังที่ใกล้สระโบกขรณีสําหรับสรงสนานตอนเย็นของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 865
พระราชา ในภายในพระราชนิเวศน์ ได้ถือพระขรรค์ยืนอยู่ด้วยตั้งใจว่าจักฆ่าพระบิดานั้น ณ ที่นี้. ในเวลาเย็น พระราชาทรงสั่งนางทาสีชื่อหนูไปด้วยพระดํารัสว่า เจ้าจงไปชําระหลังสระโบกขรณีให้สะอาดแล้วจงมา เราจักอาบน้ำ. นางทาสีนั้นไปชําระหลังสระโบกขรณีอยู่เห็นพระกุมาร. พระกุมารจึงฟันนางทาสีนั้นขาด ๒ ท่อน แล้วทิ้งให้ตกลงไปในสระโบกขรณี เพราะกลัวว่ากรรมของตนจะปรากฏขึ้น.พระราชาได้เสด็จไปเพื่อจะสรงสนาน. ชนที่เหลือกล่าวว่าแม้จนวันนี้นางหนูผู้เป็นทาสียังไม่กลับมา นางหนูไปไหน ไปที่ไร. พระราชาตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-
คนพร่ําบ่นอยู่ว่า นางหนูไปไหน นางหนูไปไหน เราคนเดียวเท่านั้นรู้ว่า นางหนูตายอยู่ในบ่อน้ำดังนี้.
พระองค์ได้เสด็จไปถึงฝังสระโบกขรณี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุหึ คตา กตฺถ คตา เป็นคําไวพจน์ของกันและกัน. บทว่า อิติ ลาลปฺปตี ได้แก่ บ่นเพ้ออยู่อย่างนั้น. ดังนั้น คาถานี้แสดงเนื้อความนี้แก่พระราชาผู้ไม่ทรงทราบเลยแหละว่า ชนผู้ไม่รู้ย่อมพร่ําบ่นว่า นางหนูผู้เป็นทาสีไปไหนแต่เราผู้เดียวเท่านั้นรู้ว่า นางหนูถูกพระราชกุมารฟันขาดสองท่อนแล้วโยนให้ตกลงในสระโบกขรณี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 866
พระราชาได้เสด็จดําเนินตรัสคาถาที่ไปถึงฝังสระโบกขรณี. พระกุมารคิดว่า พระบิดาของเราได้ทรงทราบกรรมที่เรากระทําไว้จึงกลัวหนีไปบอกเรื่องนั้นแก่พวกอุปัฏฐาก. พอล่วงไป ๗ - ๘ วัน อุปัฏฐากเหล่านั้นจึงทูลพระกุมารนั้นอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าพระราชาจะทรงทราบไซร้ จะไม่ทรงนิ่งไว้ ก็คํานั้นคงจะเป็นคําที่พระราชานั้นตรัสโดยทรงคาดคะเนเอา พระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดานั้นเถิด. วันรุ่งขึ้น พระกุมารนั้นถือพระขรรค์ประทับยืนที่ใกล้เชิงบันใด ในเวลาพระราชาเสด็จมา ทรงมองหาโอกาสที่จะประหารไปรอบด้าน. พระราชาได้เสด็จดําเนินสาธยายคาถาที่ ๒ ว่า
เหตุใดท่านจึงคิดอย่างนี้ และมองหาโอกาสจะประหารทางโน้นทางนั้นแล้วกลับไปเสมือนลา เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่า ท่านฆ่าทาสีชื่อว่านางหนูตายทิ้งไว้ในบ่อน้ำ วันนี้ยังปรารถนาจะบริโภคโภชนะข้าวเหนียวอีกหรือ.
แม้คาถานี้ก็แสดงเนื้อความนี้สําหรับพระราชาผู้ไม่ทรงทราบเลยว่า เพราะเหตุที่นั้นคิดอย่างนี้ และมองหาโอกาสจะประหารอยู่ทางโน้นทางนี้แล้วกลับไปเสมือนลาฉะนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงรู้จักท่านว่า วันก่อนท่านฆ่าทาสีชื่อนางหนูที่สระโบกขรณี๑วันนี้ ยังปรารถนาจะบริโภคโภชนะข้าวเหนียวอีก (๑)
(๑) ตรงนี้น่าจะเป็นว่า "วันนี้ ยังปรารถนาจะฆ่าพระเจ้ายวราชอีก"
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 867
พระกุมารสะดุ้งพระทัยหนีไปด้วยคิดว่า พระบิดาเห็นเราแล้ว.พระกุมารนั้นให้เวลาล่วงไปประมาณกึ่งเดือนแล้วคิดว่า จักเอาท่อนไม้ประหารพระราชาให้ตาย จึงถือท่อนไม้สําหรับประการท่อนหนึ่งมีด้ามยาวแล้วได้ยืนกุมอยู่. พระราชาตรัสว่า
แน่ะเจ้าผู้โง่เขลา เจ้ายังเป็นเด็กอ่อนตั้งอยู่ในปฐมวัย มีผมดําสนิท มายืนถือท่อนไม้ยาวนี้อยู่ เราจะไม่ยอมยกชีวิตให้แก่เจ้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปมุปฺปตฺติโต (๑) ได้แก่ อุบัติคือประกอบด้วยปฐมวัย อธิบายว่า ตั้งอยู่ในปฐมวัย. บทว่า สุสู แปลว่า ยังเป็นหนุ่ม. บทว่า ทีฆํ ได้แก่ ท่อนไม้สําหรับประหารมีด้ามยาว. บทว่า สมาปชฺช ความว่า เจ้ามายืนถือกุมไว้. คาถาแม้นี้ก็ข่มขู่พระกุมาร แสงเนื้อความนี้ สําหรับพระราชาผู้ไม่รู้นั้นแลว่า เจ้าคนโง่เจ้าจักไม่ได้บริโภคข้าวเหนียวของตน บัดนี้เราจักไม่ให้ชีวิตแก่เจ้าผู้ไม่มีความละอาย เราจักฆ่าตัดให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ แล้วให้เสียบไว้บนหลาวนั่นแหละ.
พระราชาทรงสาธยายคาถาที่ ๓ พลางขึ้นถึงหัวบันใด. วันนั้นพระกุมารนั้นไม่อาจหลบหนี กราบทูลว่าข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์โปรดประทานชีวิตแก่ข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า แล้วหมอบลงที่ใกล้พระบาทของพระราชา. พระราชาทรงคุกคามพระกุมารนั้นแล้ว ให้
(๑) บาลี เป็น ปมุปฺปตฺติโก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 868
จองจําด้วยโซ่ตรวน แล้วให้ขังไว้ในเรือนจํา ทรงนั่งเหนือราชอาสน์ที่ประดับประดา ณ ภายใต้เศวตฉัตร ทรงดําว่า พราหมณ์ทิศาปาโมกข์ผู้อาจารย์ของเรา เห็นอันตรายนี้แก่เรา จึงได้ให้คาถา ๓คาถานี้ จึงร่าเริงยินดี เมื่อจะเปล่งอุทาน จึงได้ตรัสคาถาที่เหลือว่า :-
เราเป็นผู้อันบุตรปรารถนาจะฆ่าเสีย จะพ้นจากความตายเพราะภพในอากาศ หรือเพราะบุตรที่รับเปรียบด้วยอวัยวะก็หาไม่ เราพ้นจากความตายเพระคาถาที่อาจารย์ผูกให้.
บุคคลควรเรียนวิชาที่ควรเรียนทุกอย่างไม่ว่าจะเลว ดีหรือปานกลาง บุคคลควรรู้ประโยชน์ของวิชาที่เรียนทั้งหมด แต่ไม่ควรประกอบใช้ทั้งหมด ศิลปะที่ศึกษาแล้วนําประโยชน์มาให้ในเวลาใด แม้เวลาเช่นนั้นย่อมจะมีแท้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นานฺตลิกฺขภวเนน ความว่าทิพยวิมานเรียกกว่าภพในอากาศ วันนี้ เรามิได้ขึ้นแม้สู่ภพในอากาศเพราะฉะนั้น เราจึงมิได้พ้นจากความตายในวันนี้ แม้เพราะภพในอากาศ. บทว่า นางฺคปุตฺตสิเรน วา ความว่า หรือว่า เรามิได้พ้นจากความตาย แม้เพราะบุตรอันเห็นเสมอด้วยอวัยวะ. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 869
ปุตฺเตน หิ ปฏิยิโต ความว่า ก็เราอันบุตรของตนเองปรารถนา.จะฆ่าในวันนี้. บทว่า สิโลเกหิ ปโมจิโต ความว่า เรานั้นเป็นผู้พ้นจากความตาย เพราะคาถาทั้งหลายที่อาจารย์ของตนประพันธ์ให้มาบทว่า สุตํ ได้แก่ ปริยัติการเล่าเรียน. บทว่า อธีเยถ ได้แก่พึงเรียน คือ ศึกษาเอา. ด้วยบทว่า หีนมุกฺกฏมชฺฌิมํ นี้ ท่านแสดงว่า วิชาที่เรียนไม่ว่าจะต่ํา ปานกลาง หรือ ชั้นสูงก็ตามบุคคลควรเรียนทั้งหมด. บทว่า น จ สพฺพํ ปโยชเย ความว่าไม่ควรประกอบใช้มนต์ชั้นต่ํา หรือศิลปะชั้นกลาง ควรประกอบใช้แต่ชั้นสูงเท่านั้น. บทว่า ยตฺถ อตฺถําวหํ สุตํ ความว่า ศิลปะที่ได้ศึกษาแล้วชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่นการปั้นหม้อของมโหสถบัณฑิตย่อมนําประโยชน์มาให้ในกาลใด กาลแม้นั้นย่อมจะมีทีเดียว.
ในกาลต่อมา เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว พระกุมารก็ได้ดํารงอยู่ในราชสมบัติ.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชากว่า ก็อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามูสิกชาดกที่ ๓