พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. จุลลธนุคคหชาดก ว่าด้วยจุลลธนุคคหบัณฑิต

 
บ้านธัมมะ
วันที่  24 ส.ค. 2564
หมายเลข  35830
อ่าน  464

[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 870

๔. จุลลธนุคคหชาดก

ว่าด้วยจุลลธนุคคหบัณฑิต


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 870

๔. จุลลธนุคคหชาดก

ว่าด้วยจุลลธนุคคหบัณฑิต

[๘๑๘] ข้าแต่พราหมณ์ ท่านถือเอาห่อเครื่องประดับทั้งหมดข้ามฝังไปแล้ว ขอจงรีบกลับมา รีบเอาฉันข้ามไปบัดนี้ด้วย.

[๘๑๙] แน่ะนางผู้เจริญ ท่านนับถือเราผู้อันท่านไม่เคยเชยชิด ยิ่งเสียกว่าสามีผู้ที่เคยเชยชิดมานาน นับถือเราผู้ไม่ใช่ผัวเสียยิ่งกว่าผัว นางผู้เจริญจะพึงนับถือผู้อื่นยิ่งกว่าเราอีก เราจักไปให้ไกลยิ่งกว่าที่นี้อีก.

[๘๒๐] ใครนี่มาทําการหัวเราะอยู่ในพุ่มตะไตร้น้ำในที่นี้ก็ไม่มีการฟ้อนรําขับร้อง หรือการดีดสีตีเป่า แน่ะนางงามผู้มีตะโพกอันผึ่งผาย ทําไมเจ้าจึงมาหัวเราะอยู่ในเวลาที่ควรร้องไห้.

[๘๒๑] แน่ะสุนัขจิ้งจอกพาลผู้โง่เขลาชาติชัม-พุกะ เจ้าเป็นสัตว์มีปัญญาน้อย เสื่อมจากปลาและชิ้นเนื้อ ซบเซาอยู่ เหมือนคนกําพร้า.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 871

[๘๒๒] โทษของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ส่วนโทษของตนเห็นได้ยาก เจ้านั่นแหละเสื่อมจากผัวและชายชู้แล้ว ซบเซาแม่กว่าเราเสียอีก.

[๘๒๓] แน่ะพระยาเนื้อชาติชัมพุกะ ท่านกล่าวอย่างใด ข้อนี้ก็เป็นอย่างนั้น ฉันไปจากที่นี้แล้ว จักเป็นหญิงอยู่ในอํานาจของผัว.

[๘๒๔] ผู้ใดนําภาชนะดินไป ถึงผู้นั้นจะพึงนําภาชนะสําริดไป บาปที่เจ้าทําไว้แล้วนั่นแหละเจ้าจะทําอย่างนั้นอีก.

จบจุลลธนุคคหชาดกที่ ๔

อรรถกถาจุลลธนุคคหชาดกที่ ๔

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ถูกภรรยาเก่าประเล้าประโลม จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า สพฺพํ ภณฺฑํ ดังนี้.

เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธออันใครทําให้กระสันอยากสึก. ครั้นเมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า ภรรยาเก่า พระเจ้าข้า พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนี้กระทําความพินาศให้แก่เธอในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อน เธออาศัยหญิงนี้ถูกตัดศีรษะด้วย

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 872

ดาบ อันภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกะ ในกาลนั้น พราหมณ์มาณพชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง เรียนศิลปศาสตร์ทั้งปวงในเมืองตักกศิลาได้บรรลุความสําเร็จในธนูกรรมวิชายิงธนู ได้เป็นผู้มีนามว่า จุลลธนุคคหบัณฑิต. ครั้งนั้นอาจารย์ของจุลลธนุคคหบัณฑิตนั้นคิดว่ามาณพนี้เรียนศิลปศาสตร์ได้เหมือนเรา จึงได้ให้ธิดาของตน. จุลลธนุคคหบัณฑิตนั้นพานางเดินทางไปด้วยหวังใจว่า จักไปเมืองพาราณสี. ในระหว่างทาง ช้างเชือกหนึ่งได้ทําภูมิประเทศแห่งหนึ่งให้ปลอดคน. ใครๆ ไม่อาจขึ้นไปยังสถานที่นั้น. จุลลธนุคคหบัณฑิตเมื่อคนทั้งหลายพากันห้ามอยู่ก็พาภรรยาขึ้นสู่ปากดง. ครั้งนั้น ช้างได้ปรากฏขึ้นแก่จุลลธนุคคหบัณฑิตนั้น ในท่ามกลางดง เขาจึงเอาลูกศรยิงช้างนั้นที่กระพองลูกศรทะลุออกทางส่วนเบื้องหลัง ช้างได้ล้มลง ณ ที่นั้นเอง. ธนุคคหบัณฑิตได้กระทําที่นั้นให้ปลอดภัย แล้วได้ไปถึงดงอื่นข้างหน้า. แม้ในดงนั้นก็มีโจร ๕๐ คน คอยปล้นคนเดินทาง. ธนุคคหบัณฑิตนั้นอันคนทั้งหลายพากันห้ามอยู่ ก็ยังขึ้นไปสู่ดงแม้นั้น. เขาได้ไปถึงสถานที่ตั้งของโจรเหล่านั้น ซึ่งฆ่าเนื้อแล้วปิ้งเนื้อกินอยู่ ณ ที่ใกล้หนทาง. ครั้งนั้น โจรทั้งหลายเห็นธนุคคหบัณฑิตนั้นมากับภรรยาผู้ประดับตกแต่งร่างกาย จึงทําความอุตสาหะว่า

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 873

จักจับธนุคคหบัณฑิตนั้น. หัวหน้าโจรเป็นผู้ฉลาดในลักษณะของบุรุษ, เขาแลดูธนุคคหบัณฑิตนั้นเท่านั้นก็รู้ว่า ผู้นี้เป็นอุดมบุรุษ จึงไม่ให้แม้โจรคนหนึ่งลุกขึ้น. ธนุคคหบัณฑิตส่งภรรยาไปยังสํานักของพวกโจรเหล่านั้นด้วยสั่งว่า เธอจงไปพูดว่า ท่านทั้งหลายจงให้เนื้อย่างไม้หนึ่งแก่เราทั้งสองแล้วนําเนื้อมา. ภรรยานั้นได้ไปพูดว่า ได้ยินว่าท่านทั้งหลายจะให้เนื้อย่างไม้หนึ่ง. หัวหน้าโจรคิดว่าบุรุษผู้หาค่ามิได้จึงให้เนื้อย่าง พวกโจรพูดกันว่า พวกเราจะกินเนื้อย่างสุก. จึงได้ให้เนื้อย่างดิบไป. ธนุคคหบัณฑิตยกย่องลําพองตนจึงโกรธพวกโจรว่าให้เนื้อดิบแก่เรา พวกโจรก็โกรธว่า เจ้าคนนี้เท่านั้นเป็นผู้ชายคนเดียวพวกเราเป็นผู้หญิงหรือ จึงพากันลุกฮือขึ้น. ธนุคคหบัณฑิตยิงโจร๔๙ คน ด้วยลูกศร ๔๙ ลูกให้ล้มลง. ลูกศรไม่มียิงหัวหน้าโจร.ได้ยินว่า ในกล่องลูกศรของเขา มีลูกศรอยู่ ๕๐ ลูกพอดี บรรดาลูกศรเหล่านั้น เขายิงช้างเสียลูกหนึ่ง จึงยิงพวกโจรด้วยลูกศร ที่เหลืออยู่ ๔๙ ลูก แล้วทําให้หัวหน้าโจรล้มลง นั่งทับบนอกของหัวหน้าโจรนั้น คิดว่าจักตัดศีรษะของนายโจรนั้น จึงให้นําดาบมาจากมือของภรรยา. ภรรยานั้นกระทําความรักในหัวหน้าโจรขึ้นในทันใดนั้น จึงวางตัวดาบที่มือโจร วางฝักดาบที่มือของสามี นายโจรจับถูกด้ามของตัวดาบจึงชักมีดออกตัดศีรษะของธนุคคหบัณฑิต. นายโจรนั้นครั้นฆ่าธนุคคหบัณฑิตแล้ว จึงพาเอาผู้หญิงไปได้ถามถึงชาติและโคตร. นางบอกว่า ดิฉันเป็นธิดาของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกศิลา. นายโจรถามว่า ชายผู้นี้ได้เธอด้วยเหตุอะไร นางกล่าว

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 874

ว่า บิดาของดิฉันยินดีว่า นายธนุคคหะนี้ศึกษาศิลปะได้เหมือนกับเราจึงได้ให้แม้ดิฉันแก่นายธนุคคะนี้ ดิฉันนั้นมีความเสน่หาในท่าน จึงให้ฆ่าสามีที่ตระกูลให้แก่ตนเสีย. นายโจรเดินคิดไปว่าเบื้องต้น หญิงนี้ให้ฆ่าสามีที่ตระกูลให้ก่อน ก็ครั้นเห็นคนอื่นอีกคนหนึ่งเข้า ก็จักกระทําอย่างนั้นนั่นแหละแม้กะเรา เราควรทิ้งหญิงนี้เสีย ครั้นในระหว่างทางได้เห็นแม่น้ำน้อยสายหนึ่งมีพื้นตื้น มีน้ำเต็มมาชั่วคราวจึงกล่าวว่า นางผู้เจริญจระเข้ในแม่น้ำนี้ดุร้าย พวกเราจะกระทําอย่างไร? นางกล่าวว่า ข้าแต่สามี ท่านจงกระทําเครื่องอาภรณ์ภัณฑ์ให้เป็นห่อของด้วยผ้าห่มของดิฉัน นําไปฝังโน้นแล้วจงกลับมาพาดิฉันไป. นายโจรนั้นรับคําว่า ตกลงแล้วถือเอาเครื่องอาภรณ์ภัณฑ์ทั้งหมดลงสู่แม่น้ำ ทําที่เป็นว่ายข้ามไปถึงฝังโน้นแล้ว ได้ทิ้งนางไปเสีย. นางเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า ข้าแต่สามี ทําไมท่านจึงทําทีเหมือนจะทิ้งดิฉันไป เพราะเหตุไร? ท่านจึงกระทําอย่างนี้ มาเถิด จงพาดิฉันไปด้วยเมื่อจะเจรจากับนายโจรนั้น จึงกล่าวคาถา ๑ คาถาว่า :-

ข้าแต่พราหมณ์ ท่านถือเอาห่อเครื่องประดับทั้งหมดข้ามฝังไปแล้ว ขอท่านจงรีบกลับมา รีบนําดิฉันข้ามไปในบัดนี้ด้วย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลหุํ ขิปฺปํ ความว่า ท่านจงรีบกลับมา ท่านผู้เจริญขอท่านจงรีบนําฉันข้ามไปในบัดนี้ด้วย.นายโจรได้ฟังดังนี้น ยืนอยู่ที่ฝังโน้นนั่นแหละ. จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 875

แน่ะนางผู้เจริญ ท่านนับถือเราผู้อันท่านไม่เคยเชยชิด ยิ่งเสียกว่าสามีผู้ที่เคยเชยชิดมานาน นับถือเราผู้ไม่ใช่ผัว ยิ่งเสียกว่าผัวนางผู้เจริญจะพึงนับถือผู้อื่นยิ่งกว่าเราอีก เราจักไปจากที่นี้ให้ไกลลิบ.

คาถานั้น มีเนื้อความดังกล่าวในหนหลังแล.

ส่วนนายโจรกล่าวว่า เราจักไปจากที่แม้นี้ให้ไกลลิบ ท่านจงอยู่เถิด เมื่อนางร่ําร้องอยู่นั่นแล พาเอาสิ่งของเครื่องประดับหนีไป.ลําดับนั้น หญิงพาลนั้นถึงความพินาศฉิบหายเห็นปานนี้ เพราะความอยากได้เกินไป จึงเป็นคนไร้ที่พึ่งพา ได้เข้าไปยังกอตะไคร่น้ำกอหนึ่งในที่ไม่ไกล นั่งร้องไห้อยู่.

ขณะนั้น ท้าวสักกะทรงตรวจดูโลกอยู่ ทรงเห็นนางผู้ถูกความอยากได้เกินไปครอบงําผู้เสื่อมจากสามีและโจร กําลังร้องไห้อยู่ทรงดําริว่า จักข่มหญิงนี้ให้ได้อายแล้วจักกลับมา จึงทรงพาสารถีมาตลีและปัญจสิขเทพบุตร เสด็จมา ณ ที่นั้น ประทับยืนที่ฝังแม่น้ำแล้วทรงรับสั่งว่าดูก่อนมาตลี เธอจงเป็นปลา ดูก่อนปัญจสิขะเธอจงเป็นนก ส่วนเราจักเป็นสุนัขจิ้งจอกดาบชิ้นเนื้อไปยังที่ตรงหน้าของนางเมื่อเราไปที่นั้น เธอจงโดดขึ้นจากน้ำตกลงตรงหน้าเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักทิ้งชิ้นเนื้อที่คาบเสียแล้ววิ่งไปจะงับปลา ขณะนั้น ตัวท่านปัญจสิขะ ที่แปลงเป็นนก จงโฉบเอาชิ้นเนื้อนั้นบินไปในอากาศ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 876

ตัวท่านมาตลี ที่แปลงเป็นปลา จงโดดลงไปในน้ำ เทพบุตรทั้งสองรับเทวบัญชาว่า ดีละ ข้าแต่เทวะ. มาตลีสารถีได้แปลงเป็นปลาปัญจสิขเทพบุตรได้แปลงเป็นนก. ท้าวสักกะแปลงเป็นสุนัขจิ้งจอกคาบชิ้นเนื้อไปยังที่ตรงหน้าของนาง. ปลาโดดขึ้นจากน้ำตกลงตรงหน้าสุนัขจิ้งจอก. สุนัขจิ้งจอกทั้งชิ้นเนื้อที่คาบแล้ววิ่งไปเพื่อจะเอาปลา.ปลากระโดดไปตกลงในน้ำ นกโฉบเอาชิ้นเนื้อบินไปในอากาศ. สุนัขจิ้งจอกไม่ได้ทั้งสองอย่าง มีน้ำนองด้วยน้ำตา หมอบดูกอตะไคร้น้ำอยู่. นางเห็นดังนั้นคิดว่า สุนัขจิ้งจอกนี้ถูกความหยากเกินไปครอบงําไม่ได้ทั้งเนื้อและปลา จึงหัวเราะลั่นประดุจทุบหม้อให้แตกฉะนั้น.สุนับจิ้งจอกได้ฟังเสียงหัวเราะนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-

ใครนี่มาทําการหัวเราะอยู่ที่กอตะไคร่น้ำในที่นี้ก็ไม่มีการฟ้อนรํา ขับร้องหรือการดีดสีตีเป่า แน่ะนางผู้มีตะโพกอันผึ่งผาย ทําไมเจ้าจึงมาหัวเราะในเวลาที่ควรจะร้องไห้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กายํ แยกออกเป็น กา อยํแปลว่า ใครนี้ บทว่า เอฬคณิคุมฺเพ ได้แก่ ที่สุมทุมพุ่มไม้ การหัวเราะดังจนเห็นฟัน ท่านเรียกว่า อหุหาสิยะ. สุนัขจิ้งจอกถามว่าใครนี่มาทําการหัวเราะลั่นอยู่ในพุ่มไม้นั้น. ด้วยบทว่า นยิธ นจฺจํ วานี้ ท่านแสดงว่า ในที่นี้ การฟ้อนรําของใครๆ ผู้ฟ้อนรําอยู่ การขับร้องของใครๆ ผู้ขับร้องอยู่ หรือเครื่องดุริยางค์ที่บรรเลงด้วยมือซึ่งจัดไว้ดีแล้วของใครๆ ผู้กระทํามือให้ตั้งได้ที่ดีแล้วบรรเลงอยู่ ก็ไม่มี

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 877

ท่านเห็นสิ่งใดจึงหัวเราะ. บทว่า อนมฺหิกาเล แปลว่า ในกาลเป็นที่ร้องไห้. บทว่า สุสฺโสณิ แปลว่า ผู้มีตะโพกงาม. บทว่า กินฺนุชคฺฆสิความว่า เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงไม่ร้องไห้ในกาลที่ควรจะร้องไห้ กลับหัวเราะเสียงลั่น. สุนัขจิ้งจอกเมื่อจะสรรเสริญนางร้องเรียกว่า โสภเน แปลว่า แน่ะนางงาม.

นางได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-

แน่ะสุนัขจิ้งจอกพาลผู้โง่เขลาชาติชัม-พุกะ เจ้าเป็นสัตว์มีปัญญาน้อย เสื่อมจากปลาและชิ้นเนื้อ ซบเซาอยู่เหมือนคนกําพร้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชินฺโน ได้แก่ เป็นผู้ถึงความเสื่อมบทว่า เปสิฺจ ได้แก่ ชิ้นเนื้อ. บทว่า กปโณ วิย ฌายสิ ความว่าท่านซบเซา คือ เศร้าโศก เสียใจ เหมือนคนกําพร้าแพ้ห่อทรัพย์ตั้งพันฉะนั้น.

ลําดับนั้น สุนัขจิ้งจอกจึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า :-

โทษของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ส่วนโทษของตนเห็นได้ยาก เจ้านั่นแหละเสื่อมจากผัวและชายชู้ ซบเซาแม้กว่าเราเสียอีก.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า มมฺปิ ตฺวฺเว ฌายสินี้ พระมหาสัตว์เมื่อจะให้นางละอายแล้วถึงประการอันผิดแผกจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนนางผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก เราจักไม่ให้เหยื่อของ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 878

เราก่อน แต่เจ้าถูกความหยากเกินไปครอบงํา มีจิตปฏิพันธ์ในโจรที่เห็นชั่วครู่ เสื่อมจากชายชู้นั้นและจากผัวที่ตระกูลแต่งให้ ว่าโดยเปรียบเทียบกะเราแล้ว เจ้าเป็นผู้กําพร้ากว่าร้อยเท่าพันเท่า ซบเซาร้องไห้ ร่ําไรอยู่.

นางได้ฟังคําของสุนัขจิ้งจอกนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาว่า :-แน่ะพระยาเนื้อชาติชัมพุกะ ท่านกล่าวอย่างใด ข้อนี้ก็เป็นอย่างนั้น ฉันไปจากที่นี้แล้ว จักเป็นหญิงอยู่ในอํานาจของผัวแน่นอน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นูน เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าแน่นอน. นางกล่าวว่า ฉันไปจากนี้แล้วได้ผัวใหม่ จักอยู่ในอํานาจคือเป็นไปในอํานาจของผัวนั้น โดยแน่นอนทีเดียว.

ลําดับนั้น ท้าวสักกเทวราชครั้นทรงสดับถ้อยคําของนางผู้ทุศีลไร้อาจาระจึงตรัสคาถาสุดท้ายว่า :-

ผู้ใดนําภาชนะดินไป แม้ภาชนะสําริดผู้นั้นก็จะต้องนําไป บาปที่เจ้าทําไว้นั่นแหละเจ้าจะทําอย่างนั้นอีก.

คําที่เป็นคาถานั้น มีความหมายว่า ดูก่อนนางผู้อาจาระ เจ้าพูดอะไร ผู้ใดนําภาชนะดินไปได้ แม้ภาชนะสําริดชนิดภาชนะทอง

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 879

และภาชนะเงินเป็นต้น ผู้นั้นก็จะนําเอาไปเหมือนกัน ก็บาปนี้เจ้าทําไว้นั่นแหละ ใครๆ ไม่อาจชําระสะสางให้แก่เจ้า เจ้านั้นจักกระทําอย่างนี้อีกแน่นอน.

ท้าวสักกะนั้น ครั้นทรงทํานางให้ได้อายถึงประการอันแปลกอย่างนี้แล้ว ได้เสด็จไปยังสถานที่ของพระองค์ทีเดียว.

พระศาสดา ครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึกดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล. ธนุคคหบัณฑิตในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้กระสันจะสึก หญิงนั้นในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาเก่า ส่วนท้าวสักกเทวราชในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อรรถกถาจุลลธนุคคหชาดกที่ ๔