๓. ทรีมุขชาดก ว่าด้วยโทษของกาม
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 25
๓. ทรีมุขชาดก
ว่าด้วยโทษของกาม
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 25
๓. ทรีมุขชาดก
ว่าด้วยโทษของกาม
[๘๔๓] กามทั้งหลายเหมือนหล่ม กามทั้งหลาย เหมือนพลุ ก็อาตมภาพได้ทูลถึงภัยนี้ ว่ามีมูล ๓ ธุลี และควัน อาตมภาพก็ได้ถวาย พระพรแล้ว ข้าแต่มหาบพิตรพรหมทัต ขอพระองศ์จงทรงละสิ่งเหล่านั้น แล้วเสด็จออกผนวชเถิด.
[๘๔๔] ดูก่อนพราหมณ์ โยมทั้งกำหนัด ทั้งยินดี ทั้งสยบ อยู่ในกามทั้งหลาย ต้องการมีชีวิตอยู่ ไม่อาจละกามนั้น ที่มีรูปสะพึงกลัวได้ แต่โยมจักทำบุญมิใช่น้อย.
[๘๔๕] ผู้ที่ถูกผู้มุ่งประโยชน์ อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล กล่าวสอนอยู่ แต่ไม่ทำตามคำสอน เป็นคนโง่ สำคัญว่า สิ่งนี้เท่านั้น ประเสริฐกว่าสิ่งอื่น จะเข้าถึงครรภ์สัตว์แล้วๆ เล่าๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 26
[๘๔๖] เขาจะเข้าถึงนรกชนิดร้ายกาจ. เหล่าสัตว์ที่ยังไม่ปราศจากราคะ ในกามทั้งหลาย ติดแล้วในกายของตน ยังละไม่ได้ ซึ่งที่ที่ไม่สะอาด ของผู้สะอาดทั้งหลาย ที่เดิมไปด้วยมูตร และคูถ.
[๘๔๗] สัตว์ทั้งหลายเลอะอุจจาระ เปื้อนเลือด เลอะไขออกมา เพราะว่าสัตว์ทั้งหลาย ถูกต้องสิ่งใดๆ ด้วยกายอยู่ในขณะใด ในขณะนั้นเอง ก็สัมผัสผองทุกข์ล้วนๆ ที่ไม่มีความแช่มชื่นเลย.
[๘๔๘] อาตมภาพเห็นแล้ว จึงได้ทูลถวายพระพร, ไม่ได้ฟังจากผู้อื่น ทูลถวายพระพร แต่อาตมภาพระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอยู่อาศัยมา เป็นจำนวนมาก.
จบ ทรีมุขชาดกที่ ๓
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 27
อรรถกถาทรีมุขชาดกที่ ๓
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภมหาภิเนษกรมณ์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปงฺโกว กาม ดังนี้ เรื่องในปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้ว ในหนหลัง.
ได้ยินว่า พระราชาทรงพระนามว่า มคธราช ครองราชสมบัติ ที่อยู่ในนครราชคฤห์. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ ได้ถือกำเนิด ในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี ของพระองค์. พระญาติทั้งหลาย ได้ถวาย พระนามพระองค์ว่า พรหมทัตกุมาร. ในวันที่พระราชกุมารประสูติ นั่นเอง ฝ่ายบุตรของปุโรหิตก็เกิด. ใบหน้าของเด็กนั้น สวยงามมาก เพราะเหตุนั้น ญาติของเขา จึงได้ตั้งชื่อของเด็กนั้นว่า ทรีมุข. กุมารทั้ง ๒ นั้น เจริญเติบโตแล้ว ในราชตระกูลนั้นเอง. ทั้งคู่นั้น เป็นสหายรักของกัน เวลามีชนมายุ ๑๖ ชันษา ได้ไปยังเมืองตักกศิลา เรียนศิลปะทุกอย่างแล้ว พากันเที่ยวไปในคามนิคมเป็นต้น ด้วยความตั้งใจว่า จักพากันศึกษาลัทธิทุกลัทธิ และจักรู้จารีตของท้องถิ่นด้วย ถึงเมืองพาราณสี พักอยู่ที่ศาลเจ้า รุ่งเช้าพากันเข้าไปเมืองพาราณสี เพื่อภิกษา. คนในตระกูลๆ หนึ่ง ในเมืองพาราณสีนั้น ตั้งใจว่า พวกเราจักเลี้ยงพราหมณ์ แล้วถวายเครื่องบูชา จึงหุงข้าวปายาส แล้วปูอาสนะไว้. คนทั้งหลาย เห็นคนทั้ง ๒ นั้น กำลังเที่ยวภิกขาจาร เข้าใจว่า พราหมณ์มาแล้ว จึงให้เข้าไปในบ้าน ปูผาขาวไว้สำหรับพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 28
มหาสัตว์ ปูผ้ากัมพลแดงไว้ สำหรับทรีมุขกุมาร. ทรีมุขกุมารเห็นนิมิตรนั้นแล้ว รู้ชัดว่า วันนี้สหายของเรา จักเป็นพระเจ้าพาราณสี ส่วนเราจักเป็นเสนาบดี. ทั้ง ๒ ท่านบริโภค ณ ที่นั้น แล้วรับเอาเครื่องบูชา กล่าวมงคลแล้วออกไป ได้พากันไปถึงพระราชอุทยานนั้น. ในจำนวนคนทั้ง ๒ นั้น พระมหาสัตว์บรรทมแล้ว บนแผ่นศิลามงคล ส่วนทรีมุขกุมาร นั่งนวดพระบาทของพระมหาสัตว์นั้น. วันนั้น เป็นวันที่ ๗ แห่งการสวรรคตของพระเจ้าพาราณสี. ปุโรหิต ถวายพระเพลิงพระศพ แล้ว ได้เสี่ยงบุษยราชรถในวันที่ ๗ เพราะราชสมบัติ ไม่มีรัชทายาท. กิจเกี่ยวกับบุษยราชรถ จักมีแจ้งชัด ในมหาชนกชาดก. บุษยราชรถ ออกจากพระนครไป มีจตุรงคเสนาห้อมล้อม พร้อมด้วยดุริยางค์หลายร้อย ประโคมขัน ถึงประตูพระราชอุทยาน. ครั้งนั้น ทรีมุขกุมาร ได้ยินเสียงดุริยางค์ แล้วคิดว่า บุษยราชรถมาแล้ว เพื่อสหายของเรา วันนี้สหายของเรา จักเป็นพระราชา แล้วประทานตำแหน่งเสนาบดี แก่เรา เราจักประโยชน์อะไร ด้วยการครองเรือน เราจักออกบวช ดังนี้ แล้วจึงไม่ทูลเชิญพระโพธิสัตว์ เลยไปยังที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วได้ยืนอยู่ในที่กำบัง. ปุโรหิตหยุดรถ ที่ประตูพระราชอุทยาน แล้วเข้าไปยังพระราชอุทยาน เห็นพระโพธิสัตว์บรรทม บนแผ่นศิลามงคล ตรวจดูลักษณะ ที่เท้าลายพระบาท แล้วทราบว่า เป็นคนมีบุญ สามารถครองราชสมบัติ สำหรับมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒ พันเป็นบริวารได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 29
แต่คนเช่นนี้ คงเป็นคนมีปัญญาเครื่องทรงจำ จึงได้ประโคมดุริยางค์ ทั้งหมดขึ้น. พระโพธิสัตว์ตื่นบรรทมแล้ว ทรงนำผ้าสาฎก ออกจากพระพักตร์ ทรงทอดพระเนตรเห็นมหาชน แล้วทรงเอาผ้าสาฎก ปิดพระพักตร์อีก บรรทมหน่อยหนึ่ง ระงับความกระวนกระวาย แล้วเสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิ บนแผ่นศิลา. ปุโรหิตคุกเข่าลงแล้ว ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ราชสมบัติกำลังตกถึงพระองค์.
พ. ราชสมบัติไม่มีรัชทายาทหรือ?
ปุ. ไม่มีพระพุทธเจ้าข้า.
พ. ถ้าอย่างนั้น ก็ดีแล้ว จึงทรงรับไว้.
ประชาชนเหล่านั้น ได้พากันทำการอภิเษก พระโพธิสัตว์นั้น ที่พระราชอุทยานนั่นเอง. พระองค์มิได้ทรงรำลึกถึง ทรีมุขกุมาร เพราะความมียศมา. พระองค์เสด็จขึ้นพระราชรถ มีบริวารห้อมล้อม เข้าไปสู่พระนคร ทรงการทำประทักษิณ แล้วประทับยืน ที่ประตูพระราชนิเวศน์ นั่นเอง ทรงพิจารณาถึงฐานันดร ของอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วเสด็จขึ้นสู่ปราสาท. ขณะนั้น ทรีมุขกุมาร คิดว่า บัดนี้ พระราชอุทยานว่างแล้ว จึงมานั่งที่ศิลามงคล. ลำดับนั้น ใบไม้เหลืองได้ร่วงลงมา ข้างหน้าของเขา. เขาเริ่มตั้งความสิ้น และความเสื่อมไป ในใบไม้เหลืองนั้น นั่นเอง พิจารณาไตรลักษณ์ ให้แผ่นดินกึกก้องไป พร้อมกับให้พระปัจเจกโพธิญาณเกิดขึ้น ในขณะนั้น นั่นเอง เพศคฤหัสถ์ของท่าน ก็
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 30
อันตรธานไป. บาตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ ก็ล่องลอยมาจากอากาศ สวมที่สรีระของท่าน. ทันใดนั้นนั่นเอง ท่านก็เป็นผู้ทรงไว้ ซึ่งบริขาร ๘ สมบูรณ์ ด้วยอิริยาบถ เป็นเหมือนพระเถระ ผู้มีพรรษาร้อยพรรษา เหาะไปในอากาศด้วยฤทธิ์ ได้ไปยังเงื้อมนันทมูลกะ ในท้องถิ่นป่าหิมพานต์. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ก็เสวยราชสมบัติโดยธรรม. แต่เพราะเป็นผู้มียศมาก จึงทรงเป็นผู้มัวเมาด้วยยศ ไม่ทรงรำลึกถึงทรีมุขกุมาร เป็นเวลาถึง ๔๐ ปี. แต่เมื่อเวลาเลย ๔๐ ปี ผ่านไปแล้ว พระองค์ทรงรำลึกถึงเขา แล้วจึงตรัสว่า ฉันมีสหายอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า ทรีมุข เขาอยู่ที่ไหน หนอ? ดังนี้แล้ว มีพระราชประสงค์ จะพบพระสหายนั้น. จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ก็ตรัสถามหา ภายในเมืองบ้าง ท่ามกลางบริษัทบ้างว่า ทรีมุขกุมาร สหายของฉันอยู่ที่ไหน? ผู้ใดบอกที่อยู่ของเขาแก่ฉัน ฉันจะให้ยศสูงแก่ผู้นั้น. เมื่อพระองค์ทรงระลึกถึงเขา อยู่บ่อยๆ อย่างนี้ นั่นแหละ ปีอื่นๆ ได้ผ่านไปถึง ๑๐ ปี. โดยเวลาผ่านไปถึง ๕๐ ปี แม้พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทรีมุข ทรงรำลึกถึงอยู่ ก็ทรง ทราบว่า สหายรำลึกถึงเราอยู่แล แล้วทรงดำริว่า บัดนี้ พระโพธิสัตว์นั้น ทรงพระชรา จำเริญด้วยพระโอรส พระธิดา เราจักไปแสดงธรรม ถวายให้พระองค์ทรงผนวช ดังนี้แล้ว จึงได้เสด็จมาทางอากาศ ด้วยฤทธิ์ ลงที่พระราชอุทยาน นั่งบนแผ่นศิลา เหมือนพระพุทธรูปทองคำ ก็ปานกัน. เจ้าหน้าที่รักษาพระราชอุทยาน เห็นท่านแล้ว เข้าไปเฝ้า ทูลถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านมาจากที่ไหน?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 31
พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสตอบว่า มาจากเงื้อมเขานันทมูลกะ
จ. ท่านเป็นใคร?
พ. อาตมภาพ คือพระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่า ทรีมุข โยม.
จ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงรู้จักในหลวงของข้า พระองค์ทั้งหลายไหม?
พ. รู้จักโยม เวลาเป็นคฤหัสถ์ พระองค์ทรงเป็นสหายของอาตมา.
จ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในหลวงมีพระราชประสงค์ จะพบพระองค์ ข้าพระองค์ จักทูลบอกว่า พระองค์เสด็จมาแล้ว.
พ. เชิญโยม ไปทูลบอกเถิด.
จ. รับพระบัญชาแล้ว รีบด่วนไปทีเดียว ทูลในหลวงถึงความที่ พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่แผ่นศิลาแล้ว.
ในหลวงตรัสว่า ได้ทราบว่า พระสหายของฉันมาแล้ว ฉันจักไปเยี่ยมท่าน แล้วเสด็จขึ้นรถไปยังพระราชอุทยาน พร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมาก ไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า ทำการปฏิสันถาร แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงทำปฏิสันถารกะพระองค์ พลางทูลคำมีอาทิว่า ขอถวายพระพร พระเจ้าพรหมทัต พระองค์ทรงเสวยราชสมบัติโดยธรรมอยู่หรือ? ไม่ทรงลุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 32
อำนาจอคติหรือ? ไม่ทรงเบียดเบียนประชาสัตว์ เพื่อต้องการทรัพย์หรือ? ทรงบำเพ็ญบุญ มีทานเป็นต้นอยู่หรือ? ดังนี้แล้ว ทูลว่า ขอถวายพระพร พระเจ้าพรหมทัต พระองค์ทรงพระชราภาพแล้ว บัดนี้ เป็นสมัยของพระองค์ ที่จะทรงละกาม เสด็จออกผนวชแล้ว. เมื่อจะทรงแสดงธรรมถวายพระองค์ จึงได้ทูลคาถาที่ ๑ ว่า :-
กามทั้งหลายเหมือนหล่ม กามทั้งหลาย หมือนพลุ ก็อาตมาภาพได้ทูลภัยนี้ ไว้ว่า มีมูล ๓ ธุลี และควัน อาตมาภาพก็ได้ถวายพระพรแล้ว ข้าแต่พระเจ้าพรหมทัตมหาบพิตร ขอพระองค์ จงทรงละสิ่งเหล่านั้น เสด็จออกผนวชเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปงฺโก พระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัส หมายถึง พืชทั้งหลาย มีหญ้า สาหร่าย ไม้อ้อ และกอหญ้า เป็นต้น ที่เกิดขึ้นในน้ำ. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า พืชเหล่านั้น ยังมีกำลังน้ำ ให้ติดอยู่ฉันใด เบญจกามคุณทั้งหลาย หรือว่า วัตถุกาม และกิเลสกามทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปลัก คือ ปังกะ ด้วยอำนาจยังพระโยคาวจร ผู้กำลังข้ามสงสารสาคร ให้ติดข้องอยู่. เพราะว่า เทวดาก็ตาม มนุษย์ก็ตาม สัตว์เดียรฉานทั้งหลายก็ตาม ผู้ข้องแล้ว ติดแล้ว ในปลักนั้น จะลำบาก ร้องไห้ คร่ำครวญอยู่. ที่หล่มใหญ่ พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 33
ตรัสเรียกว่า พุ คือ ปลิปะ ในคำว่า ปลิโปว กามา ซึ่งสัตว์ทั้งหลาย มีสุกร และเนื้อ เป็นต้นก็ตาม สิ่งโตก็ตาม ช้างก็ตาม ที่ติดแล้ว ไม่สามารถจะถอนตนขึ้น แล้วไปได้, ก็วัตถุกาม และกิเลสกามทั้งหลาย ท่านเรียกว่า ปลิปะ เพราะเป็นเสมือนกับพุนั้น. เพราะว่า สัตว์ทั้งหลาย ถึงจะมีบุญ ก็ไม่สามารถทำลายกาม เหล่านั้น รีบลุกขึ้น แล้วเข้าไปสู่การบรรพชา ที่ไม่มีกังวล ไม่มีปลิโพธ เป็นที่รื่นรมย์ ได้เริ่มต้น แต่เวลาติดอยู่คราวเดียว ในกามทั้งหลาย เหล่านั้น. บทว่า ภยญฺจ เมตํ ได้แก่ ภยญฺจ เอตํ และอาตมาภาพ ได้กล่าวภัยนี้ ม อักษร ท่านกล่าวไว้ ด้วยสามารถแห่งการต่อ บทด้วยพยัญชนะ. บทว่า ติมูลํ ความว่า ไม่หวั่นไหว เหมือนตั้งมั่นอยู่ด้วยราก ๓ ราก. คำนี้ เป็นชื่อ ของภัยที่มีกำลัง. บทว่า ปวุตฺตํ ความว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ขึ้นชื่อว่า กามเหล่านี้ ทั้งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธสาวกทั้งหลาย ทั้งพระโพธิสัตว์ ผู้เป็นสัพพัญญูทั้งหลาย ตรัสแล้ว คือ ทรงบอกแล้ว อธิบายว่า ทรงแสดงไว้แล้วว่า ชื่อว่า เป็นภัยมีกำลัง เพราะหมายความว่า เป็นปัจจัยแห่งภัย ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน และสัมปรายิกภพ มีภัย คือ การติเตียนตนเอง เป็นต้น และที่เป็นไปแล้ว ด้วยสามารถแห่งกรรมกรณ์ ๓๒ ประการ และโรค ๗๘ ชนิด. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า ภยญฺจ เมตํ ความว่า ก็อาตมาภาพได้ทูลภัยนี้ ไว้ว่า มีมูล ๓ พึงทราบเนื้อความในบทนี้ ดังที่พรรณนามานี้ นั่นเอง. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 34
รโช จ ธูโม จ ความว่า กามทั้งหลาย อาตมาภาพประกาศไว้แล้วว่า เป็นธุลีด้วย เป็นควันด้วย เพราะเป็นเช่นกับด้วยธุลี และควัน. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า ร่างกายของชายที่อาบน้ำสะอาดแล้ว ลูบไล้ และตกแต่งดีแล้ว แต่มีฝุ่นที่ละเอียดตกลงที่ร่างกาย จะมีสีคล้ำ ปราศจากความงาม ทำให้หม่นหมอง ฉันใด พระโยคาวจรทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้มาแล้ว โดยทางอากาศเหาะได้ ด้วยกำลังฤทธิ์ ปรากฏแล้วในโลก เหมือนพระจันทร์ และพระอาทิตย์ ก็มีสีมัวหมอง ปราศจาก ความงาม เป็นผู้เศร้าหมองแล้ว เริ่มแต่เวลาที่ธุลี คือ กามตกลงไป ในภายในครั้งเดียว เพราะคุณความดีคือสี คุณความดีคือความงาม และคุณความดีคือความบริสุทธิ์ ถูกขจัดแล้ว. อนึ่ง คนทั้งหลาย แม้จะสะอาดดีแล้ว ก็จะมีสีดำเหมือนฝาเรือน เริ่มต้นแต่เวลา ถูกควันรม ฉันใด พระโยคาวจรทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้มีญาณบริสุทธิ์เหลือเกิน ก็จะปรากฏเป็นเหมือนคนผิวดำ ท่ามกลางมหาชนทีเดียว เพราะถึงความพินาศแห่งคุณความดี เริ่มต้นแต่เวลาที่ถูกควัน คือกามารมณ์ ดังนั้น กามเหล่านี้ อาตมภาพ จึงประกาศแก่มหาบพิตรว่า เป็นทั้งธุลี เป็นทั้งควัน เพราะเป็นเช่นกับด้วยธุลี และควัน เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงทรงให้พระราชา ทรงเกิดอุตสาหะ ในการบรรพชา ด้วยพระดำรัสว่า ข้าแต่มหาบพิตร พระราชสมภาร พรหมทัตเจ้า ขอพระองค์ จงทรงละกามเหล่านี้ ทรงผนวชเถิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 35
พระราชา ครั้นทรงสดับคำนั้นแล้ว เมื่อจะตรัสบอก ความที่พระองค์ทรงคิดอยู่ ด้วยกิเลสทั้งหลาย จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนพราหมณ์ โยมทั้งกำหนัด ทั้งยินดี ทั้งสยบอยู่ในกามทั้งหลาย ต้องการมีชีวิตอยู่ ไม่อาจละกามนั้น ที่มีรูปสะพึงกลัวได้ แต่โยมจักทำบุญไม่ใช่น้อย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เคธิโต ได้แก่ ถูกกายคันถะ คือ อภิชฌาผูกมัดไว้. บทว่า รตฺโต ได้แก่ ถูกราคะย้อมใจแล้ว. บทว่า อธิมุจฺฉิโต ได้แก่ สลบไสลไปมากเหลือเกิน. บทว่า กาเมสฺวาหํ ความว่า โยมยังติดอยู่ในกามทั้ง ๒. พระราชาตรัสเรียก พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้าว่า พราหมณ์. บทว่า ภึสรูปํ ได้แก่ มีรูปมีพลัง. บทว่า ตํ นุสฺสเห ความว่า โยมไม่อาจ คือ ไม่สามารถละกามทั้ง ๒ อย่างนั้นได้. ด้วยคำว่า ชีวิกตฺโก ปาหาตุํ พระราชาตรัสว่า โยมยัง ต้องการความเป็นอยู่นี้ จึงไม่อาจละกามนั้นได้. บทว่า กาหามิ ปุญฺานิ ความว่า แต่โยมจักทำบุญ คือ ทาน ศีล และอุโบสถกรรม ไม่น้อย คือ มาก ดังนี้. ขึ้นชื่อว่า บุคคลผู้มีกิเลสกามอย่างนี้ ไม่สามารถ จะนำออกไปจากใจได้ เริ่มต้นตั้งแต่เวลาที่ติดอยู่คราวเดียว พระมหาบุรุษผู้มีจิตเศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลสอันใดเล่า แม้เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสถืงคุณของบรรพชาแล้ว ก็ยังตรัสว่า โยมไม่สามารถจะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 36
บวชได้ พระเจ้าพรหมทัตพระองค์นี้ใด เมื่อทรงตรวจตรา ดูพุทธการกธรรม ด้วยพระญาณที่เกิดขึ้นในพระองค์ แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร ทรงเห็นเนกขัมมบารมีที่ ๓ แล้ว จึงทรงสรรเสริญคุณ ในเนกขัมมะอย่างนี้ว่า :-
ถ้าพระองค์ปรารถนาบรรลุโพธิญาณไซร้ พระองค์จงสมาทานบารมีที่ ๓ นี้ไว้ให้มั่นคงก่อน แล้วจึงไปสู่เนกขัมมบารมี. คนที่อยู่ในเรือนจำมานานๆ ถึงความทุกข์ จะไม่ให้ความยินดีเกิดขึ้นในเรือนจำนั้น จะแสวงหาทางพ้นทุกข์ อย่างเดียวฉันใด พระองค์ก็เช่นนั้น เหมือนกัน จงเห็นภพทั้งหมด เหมือนเรือนจำ เป็นผู้บ่ายหน้าสู่เนกขัมมะแล้ว จักบรรลุ สัมมาสัมโพธิญาณ.
พระเจ้าพรหมทัตนั้น แม้เป็นผู้ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัส สรรเสริญการบรรพชา แล้วถวายพระพรว่า ขอมหาบพิตร จงทรงทอดทิ้งกิเลสทั้งหลาย แล้วทรงเป็นสมณะเถิด. จึงตรัสว่า โยมไม่ อาจจะทอดทิ้งกิเลส เป็นสมณะได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 37
ได้ทราบว่า คนบ้าในโลกนี้มี ๘ จำพวก เพราะฉะนั้น โบราณาจารย์ จึงได้กล่าวไว้ว่า คนที่ได้สัญญาว่าเป็นบ้ามี ๘ จำพวก คือ :-
๑. บ้ากาม (กามุมฺมตฺตโก) มัวเมาในกาม คือ :-
- ตกอยู่ใต้อำนาจจิต (จิตฺตวสงฺคโต) ของผู้อื่น
- ตกอยู่ใต้อำนาจความโลภ (โลภวสงฺคโต)
๒. บ้าโกรธผู้อื่น (โกธุมฺมตฺตโก) คือ :-
- ตกอยู่ใต้อำนาจวิหึสา (วิหึสาวสงฺคโต) คนอื่น
๓ บ้าความเห็น (ทิฏฺฐุมฺมตฺตโก) บ้าทฤษฎีหรือบ้าลัทธิ คือ :-
- ตกอยู่ใต้อำนาจความเข้าใจผิด (วิปลฺลาสวสงฺคโต)
๔ บ้าความหลง (โมหุมฺมตฺตโก) คือ :-
- ตกอยู่ในอำนาจความไม่รู้
๕ บ้ายักษ์ (ยกฺขุมฺมตฺตโก) คือ :-
- ตกอยู่ในอำนาจยักษ์ (ยกฺขวสงฺคโต)
๖ บ้าดีเดือด (ปิตฺตุมฺมตฺตโก) คือ :-
- ตกอยู่ในอำนาจของดี (ปิตฺตวสงฺคโต)
๗ บ้าสุรา (สุรุมฺมตฺตโก) คือ :-
- ตกอยู่ใต้อำนาจการดื่ม (ปานนวสงฺคโต)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 38
๘. บ้าเพราะความสูญเสีย (พฺยสมุมฺมตฺตโก) คือ :-
- ตกอยู่ใต้อำนาจของความเศร้าโศก (โสกวสฺคโต)
ในจำนวนบ้า ๘ จำพวกเหล่านี้ พระมหาสัตว์ ในชาดกนี้ เป็นผู้บ้ากาม ตกอยู่ใต้อำนาจความโลภ จึงไม่รู้คุณของบรรพชา. ถามว่า ก็โลภะนี้ ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ทำลายคุณความดี ด้วยประการ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ แต่เหตุไฉน สัตว์ทั้งหลาย จึงไม่อาจหลุดพ้นไปได้. ตอบว่า เพราะความโลภนั้น เจริญมาแล้ว โดยรวมกัน เป็นเวลาหลายแสนโกฏิกัปป์ ในสงสาร ที่ไม่มีใครตามพบเงื่อนต้นแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บัณฑิตทั้งหลาย จึงละด้วยอำนาจ แห่งการพิจารณาหลายอย่าง มีอาทิว่า กามทั้งหลายมีความชื่นใจน้อย.
แม้เมื่อพระมหาสัตว์นั้น นั่นเอง ตรัสว่า โยมไม่อาจจะบวชได้ พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ก็ไม่ทรงทอดธุระ เมื่อจะถวายพระโอวาท ให้ยิ่งขึ้นไป จึงตรัสคาถา ๒ คาถาไว้ว่า :-
ผู้ที่ถูกผู้มุ่งประโยชน์ อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล กล่าวสอนอยู่ แต่ไม่ทำตามคำสอน เป็นคนโง่ สำคัญว่าสิ่งนี้เท่านั้น ประเสริฐกว่าสิ่งอื่น จะเข้าถึงครรภ์สัตว์แล้วๆ เล่าๆ จะเข้าถึงนรกชนิดร้ายกาจ เหล่าสัตว์ ที่ยังไม่ปราศจากราคะ ในกามทั้งหลาย ติดแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 39
ในกายของตน ละยังไม่ได้ ซึ่งที่ที่ไม่สะอาด ของผู้สะอาดทั้งหลาย ที่เต็มไปด้วยมูตร และคูถ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถกามสฺส ความว่า ผู้มุ่งความเจริญ. บทว่า หิตานุกมฺปิโน ความว่า ผู้อนุเคราะห์ ด้วยประโยชน์เกื้อกูล คือ ด้วยจิตอ่อนโยน. บทว่า โอวชฺชมาโน ได้แก่ ถูกกล่าว ตักเตือนอยู่. บทว่า อิทเมว เสยฺโย ความว่า สำคัญสิ่งที่ตนยึดถือ ที่เป็นสิ่งไม่ประเสริฐกว่าทั้งไม่สูงสุด ว่าสิ่งนี้เท่านั้น เป็นสิ่งประเสริฐกว่าสิ่งอื่น. บทว่า มนฺโท ความว่า ผู้นั้นจะเป็นคนไม่มีความรู้ จะก้าวล่วง การอยู่ในครรภ์มารดา ไปไม่ได้ อธิบายว่า จะเข้าถึงครรภ์แล้วๆ เล่าๆ นั่นเอง. บทว่า โส โฆรรูปํ ความว่า ขอเจริญพร มหาบพิตร คนโง่นั้น เมื่อเข้าถึงครรภ์มารดานั้น ชื่อว่า เข้าถึงนรกชนิดร้ายกาจ คือ ที่ทารุณโดยกำเนิด อธิบายว่า ท้องของมารดา พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า นรก คือตรัสเรียกว่า จตุกุฏฏิกนรก คือด้านแคบๆ ๔ ด้าน. ในพระคาถานี้ เพราะหมายความว่า หมดความชื่นใจ. ธรรมดาว่า จตุกุฏฏิกนรก เมื่อถูกถามว่า เป็นอย่างไร? ควรบอกว่า คือท้องมารดา นั่นเอง. เพราะว่า สัตว์ที่เกิดแล้ว ในอเวจีมหานรก มีการวิ่งพล่าน และวิ่งรอบไปๆ มาๆ ได้ทีเดียว เพราะฉะนั้น อเวจี มหานรกนั้น จะเรียกว่า จตุกุฏฏิกนรกไม่ได้. แต่ว่า ในท้องมารดา สัตว์ที่เกิดในครรภ์ ไม่อาจจะวิ่งไป ตามข้างทั้ง ๔ และทางโน้น ทางนี้ได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 40
ตลอดเวลา ๙ หรือ ๑๐ เดือน. จำต้องประสงค์เป็น ๔ ด้าน คือเป็น ๔ มุม ในโอกาสอันคับแคบ เพราะฉะนั้น นรกนั้น จึงเรียกกันว่า จตุกุฏฏิกนรก. บทว่า สุภาสุภํ ได้แก่ ที่ๆ ไม่สะอาด สำหรับ พระโยคาวจร ผู้สะอาดทั้งหลาย. อธิบายว่า ท้องมารดาสมมติว่า เป็นที่ไม่สะอาด โดยส่วนเดียว สำหรับผู้งดงามทั้งหลาย คือ พระโยคาวจร กุลบุตรทั้งหลาย ผู้กลัวสงสาร. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า :-
น่าตำหนิโดยแท้ สำหรับผู้ไม่เห็นรูป ที่ไม่น่าดู ว่าได้แก่ ที่น่าดู ที่ไม่สะอาด แต่สมมติว่าสะอาด ที่บริบูรณ์ ด้วยซากศพต่างๆ แต่ว่าเป็นรูปน่าดู. ไม่เห็นกายที่เปื่อยเน่า ที่กระสับกระส่ายนี้ ที่มีกลิ่นเหม็นไม่สะอาด มีการเจ็บไข้เป็นธรรมดา เป็นที่ยังทาง เพื่อการเกิดในสุคติ ให้เสื่อมหายไป แห่งเหล่าประชา ผู้ประมาทแล้ว สลบไสลอยู่แล้ว.
บทว่า สตฺตา ได้แก่ ผู้เกาะเกี่ยว คือ ส่ายไปหา หมายความว่า ติด อธิบายว่า ข้องแล้ว. บทว่า สกาเย น ชหนฺติ ความว่า ยังไม่ละทิ้ง ท้องมารดานั้น. บทว่า คิทฺธา ได้แก่ กำหนดแล้ว นั่นเอง. บทว่า เย โหนฺติ ความว่า เหล่าชน ผู้ไม่ปราศจากราคะ ในกามทั้งหลาย จะไม่ละทิ้ง การอยู่ในครรภ์มารดานั้นไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 41
พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงทุกข์ ทั้งที่มีการ ก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการบริหารเป็นมูลฐานแล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงถึงทุกข์ ที่มีการออกจากครรภ์ เป็นมูลฐาน จึงได้ตรัส คาถาหนึ่งกับกึ่งคาถาไว้ว่า :-
สัตว์ทั้งหลายเลอะอุจจาระ เปื้อนเลือด เลอะไขออกมา เพราะว่าสัตว์ทั้งหลาย ถูกต้องสิ่งใดๆ ด้วยกาย อยู่ในขณะใด ในขณะนั้นเอง ก็สัมผัสผองทุกข์ล้วนๆ ที่ไม่มีความแช่มชื่นเลย. อาตมาภาพเห็นแล้ว จึงได้ทูลถวายพระพร ไม่ได้ฟังจากผู้อื่น ทูลถวายพระพร แต่อาตมาภาพระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอยู่อาศัยมา เป็นจำนวนมาก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิฬฺเหน ลิตฺตา ความว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อคลอดจากท้องมารดา ไม่ได้ลูบไล้ ด้วยคันธชาติทั้ง ๔ ไม่ได้ประดับประดาดอกไม้ ที่หอมหวลออกมา แต่เป็นผู้เปื้อนเปรอะ คือ เลอะเทอะคูถเก่าเน่าออกมา. บทว่า รุหิเรน มกฺขิตา ความว่า ไม่ใช่เป็นเสมือนชะโลม ด้วยจันทน์แดงออกมา แต่เปื้อนด้วยโลหิตแดงออกมา. บทว่า เสมฺเหน ลิตฺตา ความว่า ไม่ใช่ลูบไล้ ด้วยจันทน์ขาวออกมา แต่เป็นผู้เปื้อนไข เหมือนนุ่นหนาๆ ออกมา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 42
เพราะในเวลาผู้หญิงทั้งหลายคลอด ของไม่สะอาดทั้งหลาย จะออกมา. บทว่า ตาวเท ความว่า ในสมัยนั้น. มีอธิบายว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร สัตว์เหล่านี้ ในเวลาที่ออกจากท้องมารดานั้น เปื้อนคูถ เป็นต้น ออกมาอย่างนี้ กระทบช่องคลอด หรือมืออยู่ ย่อมชื่อว่า สัมผัสทุกข์นั้นทั้งหมดล้วนๆ คือ ที่เจือด้วยของไม่สะอาด ไม่เป็นที่ยินดี คือ ไม่แช่มชื่น ขึ้นชื่อว่า ความสุขจะไม่มีแก่สัตว์เหล่านั้น ในสมัยนั้น. บทว่า ทิสฺวา วทามิ น หิ อญฺโต สวํ ความว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร อาตมภาพ เมื่อทูลถวายพระพรเท่านี้ ไม่ได้ฟังมาจากที่อื่น คือ ไม่ได้สดับคำนั้นของสมณะ หรือพราหมณ์คนอื่น ทูลถวาย อธิบายว่า แต่อาตมภาพเห็นแล้ว คือ แทงตลอดแล้ว ได้แก่ ทำให้ประจักษ์แล้ว ด้วยปัจเจกโพธิญาณของตน แล้วจึงทูลถวายพระพร. บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ พหุกํ ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อจะทรงแสดง ถึงอานุภาพของตน จึงทูลถวายพระพรคำนี้. มีอธิบายว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ส่วนอาตมภาพระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอยู่อาศัยมา กล่าวคือ ขันธ์ที่อยู่อาศัยมา ตามลำดับในชาติก่อนมากมาย คือ ระลึกได้ถึง ๒ อสงไขยเศษแสนกัปป์.
บัดนี้ พระศาสดาผู้ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง ครั้นตรัสว่า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ทรงสงเคราะห์พระราชา ด้วยพระคาถาสุภาษิต อย่างนี้แล้ว ได้ตรัสกึ่งคาถาไว้ ในตอนสุดท้ายว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 43
พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ทรงยังพระราชา ผู้ทรงมีพระปัญญา ให้ทรงรู้พระองค์ ด้วยพระคาถาทั้งหลาย ที่เป็นภาษิต มีเนื้อความวิจิตรพิสดาร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺราหิ ความว่า อาศัยเนื้อความหลายหลาก. บทว่า สุภาสิตาหิ ได้แก่ ที่ตรัสไว้ดีแล้ว. บทว่า ทรีมุโข นิชฺฌาปยี สุเมธํ. ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้านั้น ทรงให้พระราชานั้น ผู้ทรงมีพระปัญญา คือ ทรงมีปัญญาดี ได้แก่ มีความสามารถรู้เหตุ และมิใช่เหตุ ให้ทรงรู้พระองค์ คือ ให้ทรงสำนึกได้ อธิบายว่า ให้ทรงทำตามถ้อยคำของตน.
พระปัจเจกพุทธเจ้า ครั้นทรงแสดงโทษ ในกามทั้งหลาย ทรงยังพระราชา ให้ทรงถือเอาถ้อยคำของตน อย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร บัดนี้ พระองค์จะทรงผนวชหรือไม่ ทรงผนวชก็ตาม แต่ว่าอาตมาภาพ ได้แสดงโทษในกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในการบวช ถวายมหาบพิตรแล้ว ขอมหาบพิตร จงอย่าทรงประมาท ดังนี้แล้ว ได้ทรงเหาะ ไปในอากาศ ทรงเหยียบกลีบเมฆ เสด็จไปยังเงื้อมเขานันทมูลกะ นั่นเอง เหมือนพระยาหงส์ทอง ฉะนั้น. พระมหาสัตว์ ทรงประคองอัญชลี ที่รุ่งโรจน์ รวมทั้ง ๑๐ นิ้ว ไว้บนพระเศียรนมัสการอยู่ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น พ้นทัศนวิสัยไปแล้ว จึงตรัสสั่งให้หา พระราช-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 44
บุตรพระองค์ใหญ่ คือ เจ้าฟ้าใหญ่มาเฝ้า ทรงมอบราชสมบัติให้แล้ว เมื่อมหาชนกำลังร้องไห้คร่ำครวญกันอยู่ ได้ทรงละกามทั้งหลาย เสด็จไปสู่ป่าหิมพานต์ ทรงสร้างบรรณศาลา ผนวชเป็นฤาษี ไม่นานเลย ก็ได้ทรงยังอภิญญา และสมาบัติ ให้เกิดขึ้น ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ก็ได้ทรงเข้าถึงพรหมโลก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาประกาศสัจจธรรม แล้วทรงประชุมชาดกไว้. ในเวลาจบสัจจธรรม คนทั้งหลาย ได้เป็นพระโสดาบัน เป็นต้นมากมาย. พระราชาในครั้งนั้น ก็คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถา ทรีมุขชาดกที่ ๓