๗. สิริกาลกรรณิชาดก ว่าด้วย สิริ กับ กาลกรรณี
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 70
๗. สิริกาลกรรณิชาดก
ว่าด้วย สิริ กับ กาลกรรณี
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 70
๗. สิริกาลกรรณิชาดก
ว่าด้วยสิริ กับ กาลกรรณี
[๘๖๙] ใครมีผิวดำ และเขาก็ไม่น่ารัก และไม่น่าทัศนา เราจะรู้จักเจ้าได้อย่างไร? ว่าเจ้าเป็นใคร? เป็นธิดาของใคร?
[๘๗๐] ดิฉันเป็นธิดาของท้าววิรูปักษ์มหาราช เป็นผู้โหดเหี้ยม ดิฉัน คือ นางกาลี ผู้ไร้ปัญญา เทพทั้งหลายรู้จักดิฉันว่า ชื่อ กาลกรรณี ท่านผู้ที่ดิฉันขอโอกาสแล้ว ดิฉันจะขอพักอยู่ในสำนักของท่าน.
[๘๗๑] เจ้าปลงใจในชายผู้มีปกติอย่างไร มีความประพฤติเสมออย่างไร? ดูก่อนแม่กาลี เจ้าถูกฉันถามแล้ว จงบอกฉัน ฉันจะพึงรู้จักเจ้าได้อย่างไร?
[๘๗๒] ชายใดลบหลู่คุณท่าน ตีตนเสมอ แข่งดี ริษยาเขา ตระหนี่ และโอ้อวด ชายใดได้ทรัพย์มาแล้ว ย่อมพินาศไป ชายนั้นเป็นที่รักของดิฉัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 71
[๘๗๓] คนมักโกรธ มักผูกโกรธ พูดส่อเสียด ทำลายความสามัคคี มีวาจาเป็นเสี้ยนหนาม หยาบคาย เขาเป็นที่รักใคร่ของดิฉัน มากกว่านั้นอีก.
[๘๗๔] ชายผู้นั้น ไม่เข้าใจประโยชน์ของตนว่า ควรทำวันนี้ พรุ่งนี้ ถูกตักเตือนอยู่ก็โกรธ ดูหมิ่นความดีของผู้อื่น.
[๘๗๕] ชายผู้ที่ถูกความคะนองรบเร้า พรากจากมิตรทั้งหมด เป็นที่รักของดิฉัน ดิฉันไม่มี ความทุกข์ร้อนในเขา.
[๘๗๖] นางกาลีเอ๋ย เจ้าจงออกไปจากที่นี่ การทำความรักของเจ้านี้ หามีในเราไม่ เจ้าจงไปชนบทอื่น นิคม และราชธานีอื่นเถิด.
[๘๗๗] เรื่องนั้นฉันเองก็รู้ว่า เรื่องนั้นหามี ในพวกท่านไม่ คนไม่มีบุญมีอยู่ในโลก เขา รวบรวมทรัพย์ไว้มาก เราทั้ง ๒ คือ ทั้งฉัน ทั้งเทพ ผู้เป็นพี่ชายของฉัน พากันผลาญทรัพย์นั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 72
[๘๗๘] ใครหนอมีผิวพรรณเป็นทิพย์ ยืนเรียบร้อย อยู่ที่พื้นดิน ฉันจะรู้จักเจ้าได้อย่างไร ว่าเจ้าเป็นใคร? เป็นธิดาของใคร?
[๘๗๙] ดิฉันเป็นธิดาของท้าวธตรฐมหาราช ผู้มีสิริ ดิฉันชื่อ สิริลักษมิ์ เทพทั้งหลายรู้จักดิฉันว่า เป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง ท่านเป็นผู้ที่ดิฉันขอโอกาสแล้ว ขอจงให้ดิฉัน พักอยู่ในสำนักของท่าน.
[๘๘๐] เจ้าปลงใจในชาย ที่มีปกติอย่างไร มีความประพฤติเสมออย่างไร? เจ้าเป็นผู้ที่เราถามแล้ว จงบอกเรา โดยที่เราควรรู้จักเจ้า.
[๘๘๑] ชายใดครอบงำความหนาว หรือความร้อน ลม แดด เหลือบ และสัตว์เลื้อยคลาน ทั้งความหิว และความระหายได้, ชายใดประกอบการงานทุกอย่างเนืองๆ ตลอดทั้งวัน ทั้งคืน ไม่ยังประโยชน์ที่มาถึงตามกาล ให้เสื่อมไปด้วย ชายนั้น เป็นที่ชอบใจของดิฉัน และดิฉันก็ปลงใจเขาจริงๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 73
[๘๘๒] ชายใด ไม่โกรธ มีมิตร มีการเสียสละ รักษาศีล ไม่โอ้อวด เป็นคนซื่อตรง เป็นผู้สงเคราะห์ผู้อื่น มีวาจาอ่อนหวาน มีคำพูดไพเราะ แม้จะเป็นใหญ่ ก็มีความประพฤติถ่อมตน. ดิฉันพอใจในบุรุษนั้นเป็นอย่างมาก ดุจคลื่นทะเล ปรากฏแก่คนที่มองดูสีน้ำทะเล เหมือนมีมาก ฉะนั้น.
[๘๘๓] อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดให้สังคหธรรม เป็นไปอยู่ ในบุคคลทั้งที่เป็นมิตร ทั้งที่เป็นศัตรู ทั้งเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ทั้งที่ต่ำทราม ประพฤติประโยชน์ หรือสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ทั้งในที่ลับทั้งในที่แจ้ง ไม่กล่าวคำหยาบ ในกาลไหนๆ ผู้ตายแล้ว และยังมีชีวิตอยู่ ดิฉันก็คบ.
[๘๘๔] ผู้ใดได้อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาความดีเหล่านี้แล้ว เป็นผู้มีปัญญาน้อย มัวเมาสิริ อันเป็นที่น่าใคร่ ดิฉันต้องเว้นผู้นั้น ผู้มีรูปลักษณะร้อน ประพฤติไม่สม่ำเสมอ เหมือนคนเว้นหลุมคูถ ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 74
[๘๘๕] คนสร้างโชคด้วยตนเอง สร้างเคราะห์ด้วยตนเอง ผู้อื่นจะสร้างโชค หรือเคราะห์ให้ ผู้อื่น ไม่ได้เลย.
จบสิริกาลกรรณิชาดกที่ ๗
อรรถกถาสิริกาลกรรณิชาดกที่ ๗
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ อนาถปิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า กา นุ กาเลน วณฺเณน ดังนี้
ความย่อว่า ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีนั้น จำเดิมแต่เวลา ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วรักษาศีล ๕ ไม่มีขาด. ทั้งภรรยา ทั้งบุตรธิดา ทั้งทาส ทั้งกรรมกร ผู้ทำงานรับจ้างของท่าน ก็พากันรักษาศีล เหมือนกันหมดทุกคน. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายตั้งเป็นเรื่องขึ้น ในธรรมสภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อนาถปิณฑิกเศรษฐี ทั้งตนเองก็สะอาด ทั้งบริวารก็สะอาด ประพฤติธรรมอยู่. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลาย นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่เพียงเดี๋ยวนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ก็ได้เป็นผู้สะอาดเอง ทั้งเป็นผู้มีบริวารสะอาดด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 75
ดังนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น พากันทูลขอ จึงทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไป :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นเศรษฐี ได้ถวายทาน รักษาศีล รักษาอุโบสถ ฝ่ายภริยาของท่านก็รักษาศีล ๕ ถึงบุตรและธิดา แม้ทาสกรรมกร และชายชาติทั้งหลาย ก็พากันรักษา. ท่านจึงปรากฏว่า เป็นเศรษฐีผู้มีบริวารสะอาดทีเดียว. อยู่มาวันหนึ่ง ท่านคิดว่า ถ้าหากใคร เป็นผู้มีบริวารสะอาด เป็นปกติ จักมาหาไซร้ เราไม่ควรให้แท่นสำหรับนั่ง หรือที่นอน สำหรับนอนของเราแก่เขา. เราควรให้ที่นั่งที่นอน ที่เปรอะเปื้อน ที่ยังไม่ได้ใช้แก่เขา. เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจึงให้เขาปูที่นั่ง และที่นอน ที่ยังไม่ได้ใช้ ไว้ข้างหนึ่ง ในที่สำหรับเฝ้าปรนนิบัติตน. สมัยนั้น ธิดา ๒ ตนเหล่านี้ คือ ธิดาของท้าววิรูปักษ์มหาราช ชื่อกาลกรรณี ๑ ธิดาของท้าวธตรฐมหาราช ชื่อสิริ ๑ ในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกา ถือของหอม และดอกไม้จำนวนมาก พากันมายังท่าน้ำสระอโนดาต ด้วยหมายใจว่า พวกเราจักเล่นน้ำ ในสระอโนดาต.
ก็ในสระอโนดาตนั้น มีท่าน้ำหลายท่าด้วยกัน ในจำนวนท่าน้ำเหล่านั้น ที่ท่าสำหรับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเท่านั้น ทรงสรงสนาน ที่ท่าสำหรับปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็เฉพาะปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงสรงสนาน ที่ท่าสำหรับภิกษุทั้งหลาย ก็เฉพาะภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 76
ทั้งหลาย พากันสรงน้ำ ที่ท่าสำหรับดาบสทั้งหลาย ก็เฉพาะดาบสทั้งหลาย อาบกัน ที่ท่าสำหรับเทพบุตรทั้งหลาย ในสวรรค์ ๖ ชั้น มีชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นต้น เทพบุตรทั้งหลายเท่านั้น สรงสนานกัน ที่ท่าสำหรับเทพธิดาทั้งหลาย ก็เฉพาะเทพธิดาทั้งหลาย สรงสนานกัน.
ในจำนวนเทพธิดาเหล่านั้น เทพธิดาทั้ง ๒ ตนนี้ ทะเลาะกัน ด้วยต้องการท่าน้ำ ว่าฉันจักอาบก่อน ฉันก่อนดังนี้. กาลกรรณีเทพธิดา พูดว่า ฉันรักษาโลก เที่ยวตรวจดูโลก เพราะฉะนั้น ฉันควรจะได้อาบก่อน. ฝ่ายสิริเทพธิดาพูดว่า ฉันดำรงอยู่ในข้อปฏิบัติชอบ ที่จะอำนวยอิสริยยศแก่มหาราช เพราะฉะนั้น ฉันควรจะได้อาบก่อน. พวกเขาเข้าใจว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จักรู้ว่า ในจำนวนเราทั้ง ๒ นี้ ใครสมควรจะอาบได้ก่อน หรือไม่สมควร. จึงพากันไปยังสำนักของท้าวมหาราชเหล่านั้น แล้วทูลถามว่า บรรดาหม่อมฉันทั้ง ๒ ใครสมควรจะอาบน้ำ ในสระอโนดาตก่อนกัน. ท้าวธตรัฐและท้าววิรูปักษ์ บอกว่า พวกเราไม่อาจจะวินิจฉัยได้ จึงได้ยกให้เป็นภาระของท้าววิรุฬหก และท้าวเวสสุวรรณ. ท่านทั้ง ๒ นั้น บอกว่า ถึงพวกเราก็ไม่อาจวินิจฉัยได้ จักส่งไปแทบบาทมูลของท้าวสักกะ แล้วได้ส่งเธอทั้ง ๒ ไปยังสำนักของท้าวสักกะ. ท้าวสักกะทรงสดับคำของเธอทั้ง ๒ แล้ว ทรงดำริว่า เธอทั้ง ๒ นี้ก็เป็นธิดาของบริษัทของเรา เหมือนกัน เราไม่อาจวินิจฉัยคดีนี้ได้. ครั้งนั้น ท้าวสักกะได้ตรัสว่า ในนครพาราณสี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 77
มีเศรษฐีชื่อว่า สุจิปริวาระ ในบ้านของเขาปูอาสนะ ที่ไม่เปรอะเปื้อน และที่นอนที่ไม่เปรอะเปื้อนไว้. เทพธิดาตนใดได้นั่ง หรือได้นอน บนที่นั่งที่นอนนั้น เทพธิดานั้น ควรได้อาบน้ำก่อน กาลกรรณีเทพธิดาได้ สดับเทวโองการแล้ว ในขณะนั้นนั่นเอง ได้นุ่งห่มผ้าสีเขียวลูบไล้ เครื่องลูบไล้สีเขียว ประดับเครื่องประดับ แก้วมณีสีเขียว ลงจากเทวโลก เหมือนหินยนต์ ได้เปล่งรัศมีลอยอยู่บนอากาศ ในที่ไม่ไกลที่นอน ใกล้ประตู เป็นที่เฝ้าปรนนิบัติ แห่งปราสาทของท่านเศรษฐี ในระหว่างมัชฌิมยามนั่นเอง. เศรษฐีแลดู ได้เห็นนาง พร้อมกับการเห็นนั่นเอง นางไม่ได้เป็นที่รัก ไม่ได้เป็นที่พอใจของเศรษฐีนั้นเลย. ท่านเมื่อจะเจรจากับนาง จึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ใครมีผิวดำ และเขาก็ไม่น่ารัก และไม่น่าทัศนา เราจะรู้จักเจ้าได้อย่างไร? ว่าเจ้าเป็นใคร? เป็นธิดาของใคร?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเลน ได้แก่ สีเขียว. บทว่า วณฺเณน ความว่า ด้วยสีของร่างกายและสีของผ้า และอาภรณ์. ด้วยบทว่า น จาสิ ปิยทสฺสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายท่องเที่ยวไปโดยทาส และเทพธิดาตนนี้ ไม่มีมารยาท คือ อาจาระ เป็นผู้ทุศีล เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่เป็นที่รัก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 78
ของท่านเศรษฐี พร้อมกับด้วยการเห็นนั่นเอง ด้วยเหตุนั้น นั่นแหละ ท่านจึงกล่าวว่า เธอเป็นใคร? อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์ว่า กา จ ตฺวํ ได้แก่ เจ้าเป็นใครล่ะ? นี้นั่นแหละ เป็นปาฐะบาลีเดิม.
กาลกรรณีเทพธิดา ได้ยินคำนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดิฉันเป็นธิดาของท้าววิรูปักษ์มหาราช เป็นผู้โหดเหี้ยม ดิฉัน คือ นางกาลี ผู้ไร้ปัญญา เทพทั้งหลายรู้จักดิฉันว่า ชื่อ กาลกรรณี ท่านเป็นผู้ที่ดิฉันขอโอกาสแล้ว ขอจงให้ดิฉัน ขอพักอยู่ในสำนักของท่าน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จณฺฑิยา คือ มักโกรธ อธิบายว่า คนทั้งหลายตั้งชื่อดิฉันว่า จัณฑี เพราะเป็นคนมักโกรธ. บทว่า อลกฺขิกา ได้แก่ ผู้ไม่มีปัญญา. บทว่า มํ วิทู ความว่า เทพทั้งหลาย ในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา รู้จักดิฉันด้วยประการอย่างนี้. บทว่า วเสมุ ความว่า วันนี้ดิฉัน ขออยู่ในสำนักของท่านคืนหนึ่ง ขอท่านจงให้โอกาสแก่ดิฉัน ในการนั่ง และนอน บนที่ที่ไม่เปรอะเปื้อน แห่งหนึ่งเถิด ดังนี้.
พระโพธิสัตว์ ครั้นได้ยินคำนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 79
เจ้าปลงใจในชายผู้มีปกติอย่างไร มีความประพฤติเสมออย่างไร? ดูก่อนแม่กาลี เจ้าถูกฉันถามแล้ว จงบอกฉัน. พวกฉันจะพึงรู้จักเจ้าได้อย่างไร?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิวิสเส ความว่า ตั้งลง คือ ประดิษฐานอยู่ในใจของเจ้า.
ลำดับนั้น นางเมื่อจะกล่าวถึงคุณของตน จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
ชายใดลบหลู่คุณท่าน ตีตนเสมอ แข่งดี ริษยาเขา ตระหนี่ และโอ้อวด ชายใดได้ทรัพย์มาแล้ว ย่อมพินาศไป ชายนั้น เป็นที่รักใคร่ของดิฉัน.
คาถานั้นมีเนื้อความว่า ชายใด ไม่รู้จักคุณ ที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน เป็นผู้ลบหลู่คุณท่าน เมื่อเขากล่าวถึง เหตุอะไรๆ ของตน ก็ยืดถือเป็นคู่แข่งว่า ฉันไม่รู้จักสิ่งนั้นหรือ? เห็นอะไรที่คนเหล่าอื่นทำแล้ว ก็ทำเหตุให้เหนือขึ้นไปกว่า ด้วยอำนาจแห่งการแข่งดี เมื่อคนอื่นได้ลาภ ไม่ยินดี ด้วยปรารถนาว่า คนอื่นอย่ามีความเป็นใหญ่กว่าเรา ขอความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 80
เป็นใหญ่ จงเป็นของเราคนเดียว หวงแหนสมบัติของตน ไม่ได้แก่ผู้อื่น แม้หยดน้ำมัน ด้วยปลายหญ้า เป็นผู้ประกอบด้วยลักษณะ ของฝ่ายคนเกเร ไม่ให้สิ่งของๆ ตนแก่ผู้อื่น กินของๆ คนอื่นอย่างเดียว ด้วยอุบายวิธีนั้นๆ. ทรัพย์หรือข้าวเปลือก ที่ชายใดได้มาแล้ว ย่อมพินาศไป ไม่คงอยู่ คือ ชายใดเป็นนักเลงสุราบ้าง เป็นนักเลงการพนันบ้าง เป็นนักเลงหญิงบ้าง ยังทรัพย์ที่ได้มาแล้ว ให้พินาศไปถ่ายเดียว ชายคนนี้นั้น ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ เป็นที่ใคร่ คือ เป็นที่รัก ได้แก่เป็นที่ชอบใจของฉัน ฉันให้คนแบบนี้ ให้ตั้งอยู่ในดวงใจของฉัน.
ลำดับนั้น นางจึงได้กล่าวคาถาที่ ๕ ที่ ๖ และที่ ๗ ด้วยตน นั่นแหละว่า :-
คนมักโกรธ มักผูกโกรธ พูดส่อเสียด ทำลายความสามัคคี มีวาจาเป็นเสี้ยนหนาม หยาบคาย เขาเป็นที่รักใคร่ของดิฉัน ยิ่งกว่านั้นอีก. ชายผู้ไม่เข้าใจประโยชน์ของตนว่า ทำวันนี้ พรุ่งนี้ ถูกตักเตือนอยู่ก็โกรธ ดูหมิ่นความดีของผู้อื่น. ชายผู้ที่ถูกความคะนองรบเร้า พรากจากมิตรทั้งหมด เป็นที่รักใคร่ของดิฉัน ดิฉันไม่มีความทุกข์ร้อนในเขา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 81
คาถาเหล่านั้น ควรให้พิศดารโดยนัยนี้เถิด. แต่ในที่นี้พึงทราบ เนื้อความแต่โดยย่อ. บทว่า โกธโน ได้แก่ เป็นผู้โกรธ แม้ด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย. บทว่า อุปนาหี ได้แก่ เก็บความผิดของผู้อื่น ไว้ในใจแล้ว ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่ให้มีประโยชน์ แม้นานเท่านาน. บทว่า ปิสุโณ ได้แก่ เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด บทว่า วเภทโก ได้แก่ เป็นผู้ทำฝ่ายมิตร แม้ด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย. บทว่า กณฺกวาโจ ได้แก่ เป็นผู้มีวาจา เป็นไปกับด้วยโทสะ. บทว่า ผรุโส ได้แก่ เป็นผู้มีวาจาหยาบคาย. บทว่า กนฺตตโร ความว่า ชายนั้นเป็นที่ใคร่ คือ เป็นที่รักของฉันมากกว่าชาย แม้คนก่อน. บทว่า อชฺช สุเว ความว่า ชายใดไม่เข้าใจ คือ ไม่รู้จักประโยชน์ของตน คือ กิจการของตนอย่างนี้ว่า กิจการนี้ควรทำในวันนี้ กิจการนี้ควรทำพรุ่งนี้ กิจการนี้ควรทำในวันที่ ๓ คือมะรืน เป็นต้น. บทว่า โอวชฺชมาโน ได้แก่ ถูกกล่าวตักเตือนอยู่. บทว่า เสยฺยโส อติมญฺติ ความว่า ดูหมิ่นคนที่ยิ่งกว่า คือ บุคคลที่สูงสุดโดยชาติ โคตร ตระกูล ถิ่นที่อยู่ และคุณคือศีล และอาจาระ ว่าแกจะพอมือข้าหรือ? บทว่า ทวปฺปลุทฺโธ ความว่า ถูกความคะนองไม่ขาดระยะ ในกามคุณทั้งหลาย มีรูปเป็นต้น เล้าโลมแล้ว ครอบงำแล้ว ได้แก่ ตกอยู่ในอำนาจกามคุณแล้ว. บทว่า ธํสติ ความว่า เขากล่าวว่า แกจะทำอะไรฉัน ดังนี้เป็นต้น แล้วพลัดพราก คือ เสื่อมจากมิตรทั้งหมดทีเดียว. บทว่า อนามยา ความว่า ดิฉันคิดว่า บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรมเหล่านี้ จะเป็นผู้ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก ได้เขาแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 82
จะหมดอาลัยในคนอื่นอยู่ดังนี้.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะตำหนิเขา จึงได้กล่าวคาถาที่ ๘ ว่า:-
นางกาลีเอ๋ย เจ้าจงออกไปจากที่นี้ การทำความรักของเจ้านี้ หามีในเราไม่ เจ้าจงไปชนบทอื่น นิคม และราชธานีอื่นเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเปหิ ความว่า จงหลีกไป. บทว่า เนตํ อมฺเหสุ ความว่า การทำความรักของเจ้า มีการลบหลู่คุณท่าน เป็นต้น นี้หามีในพวกเราไม่ คือไม่มี. ด้วยบทว่า นิคเม ราชธานิโย พระมหาสัตว์แสดงว่า เจ้าจงไปนิคมอื่นบ้าง ราชธานีอื่นบ้าง ในที่อื่น คือ จงไปในที่ที่ฉันจะไม่เห็นเจ้า.
นางกาลกรรณีได้ฟังดังนั้นแล้ว ผ่านคำนั้นไปได้ จึงกล่าวคาถา ติดกันไปว่า :-
เรื่องนั้นฉันเองก็รู้ว่า เรื่องนั้นหามีในพวกท่านไม่ คนไม่มีบุญมีอยู่ในโลก เขารวบรวมทรัพย์ไว้มาก เราทั้ง ๒ คือ ทั้งฉัน ทั้งเทพ ผู้เป็นพี่ชายของฉัน พากันผลาญทรัพย์นั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 83
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนตํ ตุมฺเหสุ ความว่า ฉันเอง ก็รู้ข้อนี้ว่า การทำความรักอันใดของฉัน มีการลบหลู่คุณท่าน เป็นต้น ฉันประกอบด้วยการทำความรักอันใด มีการลบหลู่คุณท่าน เป็นต้น แม้ด้วยตนเอง การทำความรัก เป็นต้นนั้น ไม่มีในท่านทั้งหลาย. บทว่า สนฺติ โลเก อลกฺขิกา ความว่า แต่คนเหล่าอื่น ที่เป็นคนโง่ เป็นผู้ไม่มีศีล ไม่มีปัญญายังมีอยู่ในโลก. บทว่า สงฺฆรนฺติ ความว่า คนเหล่านั้นผู้ไม่มีศีล แม้ปัญญาก็ไม่มี รวบรวมทรัพย์ไว้มากมาย คือ เก็บกำไว้เป็นกลุ่มก้อน ด้วยเหตุเหล่านี้ มีการลบหลู่คุณท่าน เป็นต้น. บทว่า อุโภ นํ ความว่า แต่เราทั้ง ๒ คน คือทั้งตัวฉัน และเทพบุตร ชื่อว่า เทพผู้เป็นพี่ชายของฉัน นั่นเอง รวมหัวกันผลาญทรัพย์นั้น ที่คน เหล่านั้น รวบรวมเก็บไว้. อนึ่ง เทพธิดานั้นกล่าวว่า ในเทวโลกพวกฉัน ก็มีเครื่องบริโภคที่เป็นทิพย์อยู่มาก ท่านจะให้ที่นอนทิพย์ หรือไม่ให้ก็ตาม ท่านจะมีประโยชน์อะไรเล่า สำหรับฉันดังนี้แล้ว หลีกไป.
ในเวลาที่กาลกรรณีเทพธิดานั้น หลีกไปแล้ว สิริเทพธิดามีของหอม และเครื่องประเทืองผิว สีเหมือนทองคำ มีเครื่องตกแต่งทองคำมาแล้ว เปล่งรัศมี สีเหลืองที่ประตู ซึ่งสถิตอยู่ใกล้ๆ มีความเคารพได้ยืน เอาเท้าที่เสมอกัน วางบนพื้นดินที่เสมอกัน. พระมหาสัตว์ครั้นเห็นนางแล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ใครหนอมีผิวพรรณเป็นทิพย์ ยืนเรียบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 84
ร้อยอยู่ที่พื้นดิน เราจะรู้จักเจ้าได้อย่างไร? ว่าเจ้าเป็นใคร? เป็นธิดาของใคร?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิพฺเพน ความว่า ประเสริฐ คือ สูงสุด.
สิริเทพธิดาได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-
ดิฉันเป็นธิดาของท้าวธตรฐมหาราช ผู้มีสิริ ดิฉันชื่อ สิริลักษมิ์ เทพทั้งหลายรู้จักดิฉันว่า เป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง ท่านเป็นผู้ที่ดิฉันขอโอกาสแล้ว ขอจงให้ดิฉัน ขอพักอยู่ในสำนักของท่าน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิริ จ ลกฺขี จ ความว่า ดิฉัน ผู้มีนามอย่างนี้ว่า สิริลักษมิ์ไม่ใช่คนอื่น. บทว่า ภูริปญฺาติ มํ วิทู ความว่า เทพทั้งหลายรู้จักดิฉัน ในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาว่า เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาไพบูลย์ เสมอด้วยแผ่นดิน. บทว่า วเสมุ ตว สนฺติเก ความว่า ดิฉันขออาศัยคืนหนึ่ง บนที่นั่งที่ไม่เปรอะเปื้อน และที่นอน ที่ไม่เปรอะเปื้อน ขอท่านจงให้โอกาสแก่ดิฉัน.
ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ จึงกล่าวคาถาว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 85
เจ้าปลงใจในชายที่มีศีลอย่างไร มีอาจาระอย่างไร? เจ้าเป็นผู้ที่เราถามแล้ว จงบอกเรา โดยที่เราควรรู้จักเจ้า. ชายใดครอบงำความหนาว หรือความร้อน ลม แดด เหลือบ และสัตว์เลื้อยคลาน ทั้งความหิว และความระหายได้ ชายใด ประกอบการงานทุกอย่างเนืองๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่ยังประโยชน์ที่มาถึงตามกาล ให้เสื่อมเสียไปด้วย ชายนั้น เป็นที่ชอบใจของดิฉัน และดิฉันก็ปลงใจเขาจริงๆ. ชายใด ไม่โกรธ มีมิตร มีการเสียสละ รักษาศีล ไม่โอ้อวด เป็นคนซื่อตรง เป็นผู้สงเคราะห์ผู้อื่น มีวาจาอ่อนหวาน มีคำพูดไพเราะ แม้จะเป็นใหญ่ ก็มีความประพฤติถ่อมตน. ดิฉันพอใจในบุรุษนั้น เป็นอย่างมาก ดุจคลื่นทะเล ปรากฏแก่คนที่มองดูสีน้ำทะเล เหมือนมีมาก. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดให้สังคหธรรม ให้เป็นไปอยู่ในบุคคล ทั้งที่เป็นมิตร ทั้งที่เป็นศัตรู ทั้งที่ประเสริฐที่สุด ทั้งที่เสมอกัน ทั้งที่ต่ำทราม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 86
ประพฤติประโยชน์ หรือสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ทั้งในที่ลับ ทั้งในที่แจ้ง ไม่กล่าวคำหยาบใน กาลไหนๆ. ผู้นั้นตายแล้ว และยังมีชีวิตอยู่ ดิฉันก็คบ. ผู้ใดได้อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาคุณความดีเหล่านั้นแล้ว เป็นผู้มีปัญญาน้อย มัวเมาสิริ อันเป็นที่น่าใคร่ ดิฉันต้องเว้นผู้นั้น ผู้มีรูปลักษณะร้อนรน ประพฤติไม่สม่ำเสมอ เหมือนคนเว้นคูถฉะนั้น. คนสร้างโชคด้วยตนเอง สร้างเคราะห์ด้วยตนเอง ผู้อันจะสร้างโชค หรือเคราะห์ ให้ผู้อื่นไม่ได้เลย.
คำถามเป็นของเศรษฐี. ส่วนคำตอบ เป็นของสิริเทพธิดา
บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า ฑํสสิรึสเป จ เหลือบเขาเรียกว่า ฑํสะ อีกอย่างหนึ่ง กำเนิดแมลงวันทุกชนิด เทพธิดาประสงค์เอาว่า ฑํสะ ในที่นี้. กำเนิดสัตว์เลื้อยคลาน เรียกว่า สิรึสปะ. ทิ้งเหลือบ ทั้งสัตว์เลื้อยคลาน ชื่อว่า ฑํสสิรึสปะ ในเหลือบ และสัตว์เลื้อยคลานนั้น. มีคำอธิบายไว้ว่า ชายมหาเศรษฐีคนใด เมื่อมีความหนาว ความร้อน ลม แดด หรือเหลือบ และสัตว์เลื้อยคลาน ถึงถูกอันตรายเหล่านี้ มีความหนาว เป็นต้น เบียดเบียนอยู่ ก็ครอบงำ คือ ย่ำยี อันตรายแม้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 87
ทั้งหมดนี้ คือ อันตรายแม้เหล่านี้ มีความหนาว เป็นต้น และความกระหายมากไว้ได้ ได้แก่ ไม่คำนึงถึงอันตรายนี้ เหมือนหญ้าแล้วประกอบ คือ ประกอบตน เป็นไปในกรรมของตนเนืองๆ มีกสิกรรม และพาณิชยกรรม เป็นต้น และในทาน และศีล เป็นต้น ทั้งคืนทั้งวัน. บทว่า กาลาคตญฺจ ความว่า ไม่ให้กิจทั้งหลาย มีกิจกรรม เป็นต้น เสื่อมเสีย. ไปในเวลาทำกสิกรรม เป็นต้น และไม่ให้เสื่อมเสียประโยชน์ ที่จะนำความสุขมาให้ในปัจจุบัน และภายภาคข้างหน้า แยกประเภทเป็นการบริจาคทรัพย์ เป็นต้น ในกาลทั้งหลาย มีการบริจาคทรัพย์ การรักษาศีล และการฟังธรรม เป็นต้น คือทำงานในเวลาที่ควรทำนั่นเอง. ชายเศรษฐีคนนั้น เป็นที่พอใจของดิฉัน และดิฉันจะอยู่ประจำกับชายคนนั้น. บทว่า อกฺโกธโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยอธิวาสนขันติ คือความอดทน ที่ยับยั้งอารมณ์ไว้ได้. บทว่า มิตฺตวา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยกัลยาณมิตร. บทว่า จาควา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยการบริจาคทรัพย์. บทว่า สงฺคาหโก ได้แก่ ผู้ทำการสงเคราะห์มิตร การสงเคราะห์ด้วยอามิส และการสงเคราะห์ด้วยธรรม. บทว่า สขิโล ได้แก่ เป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน. บทว่า สณฺหวาโจ ได้แก่ เป็นผู้มีถ้อยคำสละสลวย. บทว่า มหตฺตปตฺโตปิ นิวาตวุตฺติ ความว่า ถึงแม้จะดำรงตำแหน่งใหญ่ คือ อิสริยยศที่กว้างขวาง แต่ก็ไม่ผยองด้วยยศ ถ่อมตน ทำตามโอวาทของบัณฑิต. บทว่า ตสฺสาห โปเส ความว่า ดิฉันเป็นคนกว้างขวาง สำหรับชายคนนั้น. บทว่า วิปุลา ภวามิ ความว่า เราไม่ใช่คนเล็ก ความจริงชายนั้นเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 88
พื้นฐานของสิริอันยิ่งใหญ่ บทว่า อุมฺมี สมุทฺทสฺส ยถาปิ วณฺณํ ส่องความว่า อุปมาเสมือนหนึ่งว่า ลูกคลื่นที่ทยอยกันมา จะปรากฏแก่คนที่มองดู สีของมหาสมุทร เหมือนกะใหญ่โต ฉันใด ดิฉันก็ฉันนั้น เป็นเสมือนใหญ่โต ในเพราะคนๆ นั้น. บทว่า อาวี รโห ความว่า ทั้งต่อหน้าทั้งลับหลัง. บทว่า สงฺคหเมว วตฺเต ความว่า เขาให้สังคหธรรมทั้ง ๔ อย่าง นั่นแหละเป็นไป คือ เป็นไปคือทั่วถึงในบุคคลนั้น แยกประเภทเป็นมิตร เป็นต้น. บทว่า น วชฺชา ความว่า ผู้ใด ครั้งไร คือ ในกาลไหนไม่พึงกล่าวคำหยาบ คือ เป็นผู้มีถ้อยคำไพเราะเท่านั้น. บทว่า มตสฺส ชีวสฺส ความว่า บุคคลนั้นตายแล้วก็ตาม มีชีวิตอยู่ก็ตาม ดิฉันก็ภักดีต่อ. สิริเทพธิดาแสดงว่า ดิฉันคบหาคนเช่นนั้น ทั้งในโลกนี้ ทั้งในโลกหน้า. บทว่า เอเตส โย ความว่า บุคคลใดประมาท คือ ลืมคุณความดีแม้อย่างเดียว บรรดาคุณความดีเหล่านี้ คือ คุณความดีที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในหนหลัง มีการครอบงำความหนาวได้ เป็นต้น อธิบายว่า ไม่เพียรประกอบบ่อยๆ ซึ่งคุณนั้น. บทว่า สิริ มีปาฐะถึง ๓ อย่าง คือ กนฺตา สิริ, กนฺตสิริ และ กนฺตํ สิริ แปลว่า สิริที่น่าใคร่. ด้วยอำนาจปาฐะทั้ง ๓ เหล่านั้น มีการประกอบเนื้อความ ดังต่อไปนี้ บุคคลใดได้สิริแล้ว คิดว่า สิริของเราที่น่าใคร่ ดำรงอยู่แล้ว ตามฐานะ ย่อมประมาท คือ ลืมคุณความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาคุณความดีเหล่านี้. อีกอย่างหนึ่ง บุคคลใดปรารถนาสิริ เหมือนคนที่มีสิริ ที่น่าใคร่ ได้คุณความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาคุณความดีเหล่านี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 89
แล้วจึงประมาท. อีกอย่างหนึ่ง บุคคลใดได้สิริน่าใคร่ น่าชอบใจแล้ว จึงประมาท คุณความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาคุณความดีเหล่านี้. บทว่า อปฺปปญฺโ ได้แก่ ไม่มีปัญญา. บทว่า ตํ ทิตฺตรูปํ วิสเม จรนฺตํ ความว่า ดิฉันเว้นคน ที่มีสภาพร้อนรน ประพฤติไม่สม่ำเสมอ มีกายทุจริตเป็นต้น เป็นประเภทเหมือนมนุษย์ หรือบุคคลผู้มีความสะอาดโดยกำเนิด เว้นหลุมคูถแต่ไกลฉะนั้น. บทว่า อญฺโ อญฺสฺส การโก ความว่า เป็นเช่นนี้ ชายที่ชื่อว่า สร้างโชค สร้างเคราะห์ให้คนอื่น ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งก็สร้างโชค หรือเคราะห์ให้แก่ตน ดังนี้.
พระมหาสัตว์ครั้นกล่าวถามอย่างนี้ และได้ฟังคำตอบของ สิริเทพธิดาแล้ว ชื่นชม จึงได้กล่าวว่า แท่นเตียงนอนนี้ เหมาะสมสำหรับเธอ และที่นั่งก็เหมาะสม สำหรับเธอทีเดียว เพราะฉะนั้น ขอเชิญนั่งบนที่นั่ง และนอนบนแท่นเถิด. นางอยู่ ณ ที่นั้น แล้วรุ่งเช้าก็ออกไป ที่เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา ได้อาบน้ำที่สระอโนดาตก่อน. ที่นอน แม้แห่งนั้น จึงเกิดมีชื่อว่า สิริสยนะ เพราะว่านางสิริเทพธิดา ใช้นอนก่อนคนอื่น. นี้คือ วงศ์ประวัติของสิริสยนะ คือ ที่นอนที่เป็นมิ่งขวัญ. ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเรียกกันว่า สิริสยนะ ที่นอน ที่เป็นมิ่งขวัญ มาจนตราบเท่าทุกวันนี้.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาแล้ว ทรงประมวลชาดกไว้ว่า สิริเทพธิดาในครั้งนั้น ได้แก่ พระอุบลวรรณา ในบัดนี้ ส่วนสุจิปริวารเศรษฐี คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถา สิริกาลกรรณิชาดกที่ ๗