๓. ตุณฑิลชาดก ว่าด้วยธรรมเหมือนน้ํา บาปธรรมเหมือนเหงื่อไคล
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 136
๓. ตุณฑิลชาดก
ว่าด้วยธรรมเหมือนน้ำ บาปธรรมเหมือนเหงื่อไคล
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 136
๓. ตุณฑิลชาดก
ว่าด้วยธรรมเหมือนน้ำ บาปธรรมเหมือนเหงื่อไคล
[๙๑๗] บัดนี้ วันนี้ แม่เราให้อาหารสำหรับขุนใหม่ รางอาหารนี้เต็ม นายแม่ยืนใกล้ราง อาหาร คนหลายคนมีมือถือบ่วง อาหารนั้น ไม่แจ่มชัดสำหรับฉัน เพื่อจะกินอาหาร.
[๙๑๘] เจ้าสะดุ้ง เจ้าหัวหมุนไปไย? เจ้าประสงค์จะหลีกหนีไป เจ้าไม่มีผู้ต้านทาน จักไปไหน? น้องตุณฑิละเอ๋ย เจ้าจงเป็นผู้ขวนขวายแต่น้อย กินไปเถิด พวกเราถูกขุน เพื่อต้องการเนื้อ.
[๙๑๙] เจ้าจงลงสู่ห้วงน้ำ ที่ไม่มีโคลนตม ชำระล้างเหงื่อไคลทั้งหมด แล้วถือเอาเครื่องลูบไล้ใหม่ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา มีกลิ่นหอม ไม่ขาดสาย.
[๙๒๐] ห้วงน้ำอะไรหนอ ที่ไม่มีโคลนตม? อะไรหนอเรียกว่าเหงื่อไคล? อะไรเรียกว่าเครื่อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 137
ลูบไล้ใหม่? กลิ่นอะไรไม่ขาดหาย มาแต่ไหน แต่ไร?
[๙๒๑] ห้วงน้ำคือพระธรรม ไม่มีโคลนตม. บาป เรียกว่าเหงื่อไคล และศีล เรียกว่าเครื่องลูบไล้ใหม่ แต่ไหนแต่ไรมา กลิ่นของศีลนั้น ไม่เคยขาดหายไป.
[๙๒๒] เหล่าชน ผู้ไม่รู้ ผู้ฆ่าสัตว์กินเป็นปกติ จะเพลิดเพลินใจ ส่วนผู้รักษาชีวิตสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์เป็นปกติ จะไม่เพลิดเพลินใจ เมื่อวันเดือนเพ็ญ มีพระจันทร์เต็มดวงแล้ว เหล่าชนผู้รื่นเริงใจอยู่เท่านั้น จึงจะสละชีพได้.
จบ ตุณฑิลชาดกที่ ๓
อรรถกถาตุณฑิลชาดกที่ ๓
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ผู้กลัวตายรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า นวจฺฉทฺทเก ดังนี้.
ได้ยินว่า กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีนั้น บวชในพระศาสนา แต่ได้เป็นผู้กลัวตาย. เธอได้ยินเสียงกิ่งไม้สั่นไหว. ท่อนไม้ตก. เสียงนก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 138
หรือสัตว์สี่เท้า แม้เพียงเล็กน้อย คือ เบาๆ หรือเสียงอย่างอื่นแบบนั้น ก็จะเป็นผู้ถูกภัย คือ ความตายขู่ เดินตัวสั่นไป เหมือนกระต่ายถูกแทงที่ท้อง ฉะนั้น. ภิกษุทั้งหลาย พากันตั้งคาถา คือเรื่องสนทนา ขึ้นในธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโส ภิกษุชื่อโน้นกลัวตาย ได้ยินเสียงแม้เพียงเล็กน้อย ก็ร้องพลาง วิ่งพลาง หนีไป ควรจะมนสิการว่า ก็ความตายของสัตว์ทั้งหลาย เหล่านี้เท่านั้น เป็นของเที่ยง แต่ชีวิตไม่เที่ยง ดังนี้. พระศาสดาเสด็จมาถึง ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไรนะ เมื่อภิกษุทั้งหลาย ทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ ดังนี้แล้ว ตรัสสั่งให้หาภิกษุนั้นมา แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ทราบว่า เธอกลัวตายจริงหรือ? เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า ถูกแล้วพระเจ้าข้า ดังนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่เฉพาะในปัจจุบันนี้ เท่านั้น แม้ในชาติก่อน ภิกษุนี้ ก็กลัวตายเหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ ได้ถือปฏิสนธิ ในท้องของแม่สุกร. แม่สุกรท้องแก่ ครบกำหนดแล้ว คลอดลูก ๒ ตัว. อยู่มาวันหนึ่งมันพาลูก ๒ ตัวนั้น ไปนอนที่หลุมแห่งหนึ่ง. กาละครั้งนั้น หญิงชราคนหนึ่ง มีปกติอยู่บ้านใกล้ประตูนครพาราณสี เก็บฝ้ายได้เต็มกระบุง จากไร่ฝ้าย เดินเอาไม้เท้ายันดินมา. แม่สุกรได้ยินเสียงนั้นแล้ว ทิ้งลูกน้อยหนีไป เพราะกลัวตาย. หญิงชราเห็นลูกสุกร กลับได้ความสำคัญว่า เป็นลูก จึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 139
เอาใส่กระบุงไปถึงเรือน แล้วตั้งชื่อตัวพี่ว่า มหาตุณฑิละ ตัวน้องว่า จุลตัณฑิละ เลี้ยงมันเหมือนลูก. ในเวลาต่อมามันเติบโตขึ้น ได้มีร่างกายอ้วน. หญิงชราถึงจะถูกทาบทามว่า จงขายหมูเหล่านี้ให้พวกฉันเถิด ก็บอกว่า ลูกของฉัน แล้วไม่ให้ใคร. ภายหลังในวันมหรสพ วันหนึ่งพวกนักเลงดื่มสุรา เมื่อเนื้อหมดก็หารือกันว่า พวกเราจะได้เนื้อ จากที่ไหนหนอ ทราบว่า ที่บ้านหญิงชรามีสุกร จึงพากันถือเหล้า ไปที่นั้น พูดว่า คุณยายครับ ขอให้คุณยายรับเอาราคาสุกร แล้วให้สุกรตัวหนึ่ง แก่พวกผมเถิด. หญิงชรานั้น แม้จะปฏิเสธว่า อย่าเลยหลานเอ๋ย สุกรนั่นเป็นลูกฉัน ธรรมดาคนจะให้ลูกแก่คน ที่ต้องการจะกินเนื้อไม่มีหรอก. พวกนักเลงแม้จะอ้อนวอนแล้ว อ้อนวอนเล่าว่า ขึ้นชื่อว่า หมู จะเป็นลูกของคนไม่มีนะ ให้มันแก่พวกผมเถิด ก็ไม่ได้สุกร จึงให้หญิงชราดื่มสุรา เวลาแกเมาแล้ว ก็พูดว่า ยาย ยายจะทำอะไรกับหมู? ยายเอาราคาหมูนี้ไป ไว้ทำเป็นค่าใช้จ่ายเถิด แล้ววางเหรียญกระษาปณ์ ไว้ในมือหญิงชรา. หญิงชรารับเอาเหรียญกระษาปณ์ พูดว่า หลายเอ๋ย ยายไม่อาจจะให้สุกร ชื่อ มหาตุณฑิกะได้ แกจงพากันเอาจุลตุณฑิละไป.
มันอยู่ที่ไหน? นักเลงถาม.
ที่กอไม้กอโน้น หญิงชราตอบ.
ยายให้เสียง เรียกมันสิ นักเลงสั่ง.
ฉันไม่เห็นอาหาร หญิงชราตอบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 140
นักเลงทั้งหลายจึงให้ค่าอาหาร ให้ไปนำข้าวมา ๑ ถาด. หญิงชรา รับเอาค่าอาหารนั้น จัดชื้อข้าว เทให้เต็มรางหมู ที่วางไว้ใกล้ประตูแล้ว ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ ราง. นักเลงประมาณ ๓๐ คน มีบ่วงในมือ ได้ยืนอยู่ ณ ที่นั้น นั่นเอง. หญิงชราได้ให้เสียงร้องเรียกหมูว่า ลูกจุลตุณฑิละ มาโว้ย. มหาตุณฑิละได้ยินเพียงนั้นแล้ว รู้แล้วว่า ตลอดเวลาประมาณเท่านี้ แม่เราไม่เคยให้เสียงแก่ จุลตุณฑิละ ส่งเสียงถึงเราก่อนทั้งนั้น วันนี้คงจักมีภัยเกิดขึ้น แก่พวกเราแน่แท้. มหาตุณฑิละ จึงเรียกจุลตุณฑิละมาแล้วบอกว่า น้องเอ๋ย แม่ของเราเรียกเจ้า เจ้าลงไปให้รู้เรื่องก่อน. จุลตุณฑิละ. ก็ออกจากกอไม้ไป เห็นว่านักเลงเหล่านั้น ยืนอยู่ใกล้รางข้าวก็รู้ว่า วันนี้ความตายจะเกิดขึ้นแก่เราแล้ว ถูกมรณภัย คุกคามอยู่ จึงหันกลับตัวสั่น ไปหาพี่ชาย ไม่อาจจะยืนอยู่ได้ ตัวสั่นหมุนไปรอบๆ. มหาตุณฑิละเห็นเขาแล้ว จึงถามว่า น้องเอ๋ย ก็วันนี้เจ้าสั่นเทาไป เห็นสถานที่เป็นที่เข้าไปแล้ว เจ้าทำอะไรนั่น. มันเมื่อจะบอกเหตุ ที่ตนได้เห็นมา จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-
บัดนี้ วันนี้แม่เราให้อาหารสำหรับขุนใหม่ รางอาหารนี้เต็ม นายแม่ยืนใกล้รางอาหาร คน หลายคน มีมือถือบ่วง อาหารนั้น ไม่แจ่มชัดสำหรับฉัน เพื่อกินอาหาร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 141
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นวจฺฉทฺทเก ทานิ ทิยฺยติ ความว่า พี่ เมื่อก่อนแม่ให้ข้าวต้ม ที่ปรุงด้วยรำ หรือข้าวสวยที่ปรุงด้วยข้าวตัง แก่พวกเรา แต่วันนี้ให้อาหารสำหรับขุนใหม่ คือ ทานมีอาหารใหม่. บทว่า ปุณฺณายํ โทณิ ความว่า รางอาหารของพวกเรานี้ เต็มไปด้วยข้าวสวยล้วนๆ. บทว่า สุวามินี ิตา ความว่า ฝ่ายนายแม่ของพวกเรา ก็ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ รางอาหารนั้น. บทว่า พหุโก ชโน ความว่า มิใช่แต่นายแม่ ยืนอย่างเดียวเท่านั้น แม้คนอื่นอีกหลายคน ได้ยืนมีมือถือบ่วงอยู่. บทว่า โน จ โข เม ปฏิภาติ ความว่า แม้ภาวะที่คนเหล่านี้ ยืนอยู่แล้วอย่างนี้ ไม่แจ่มกระจ่างสำหรับฉัน อธิบายว่า ฉันไม่ชอบใจ แม้เพื่อจะกินข้าวนี้.
มหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว พูดว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย ได้ทราบว่า ธรรมดาแม่ของเรา เมื่อเลี้ยงสุกรไว้ ในที่นี้ นั่นเอง ย่อมเลี้ยงเพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์อันนั้นของท่าน ถึงที่สุดแล้ว ในวันนี้ น้องอย่าคิดเลย เมื่อจะแสดงธรรมโดยลีลาพระพุทธเจ้า ด้วยเสียงที่ไพเราะ จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
เจ้าสะดุ้ง เจ้าหัวหมุนไปไย? เจ้าประสงค์จะหลีกหนีไป เจ้าไม่มีผู้ต้านทาน จักไปไหน? น้องตุณฑิละเอ๋ย เจ้าจงเป็นผู้ขวนขวายแต่น้อย กินไปเถิด พวกเราถูกเขาขุนเพื่อต้องการเนื้อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 142
เจ้าจงลงสู่ห่วงน้ำที่ไม่มีโคลนตม ชำระล้างเหงื่อไคลทั้งหมด แล้วถือเอาเครื่องลูบไล้ใหม่ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา มีกลิ่นหอมไม่ขาดสาย.
เมื่อมหาตุณฑิละมหาสัตว์นั้น รำลึกถึงบารมีทั้งหลาย แล้วทำเมตตาบารมี ให้เป็นปุเรจาริก ออกหน้า ยกบทแรกมาเป็นตัวอย่างอยู่ นั่นเอง เสียงได้ดังไปท่วมนครพาราณสี ที่กว้างยาวทั้งสิ้น ๑๒ โยชน์. ในขณะที่คนทั้งหลายได้ยินๆ นั่นแหละ ชาวนครพาราณสี ตั้งต้นแต่ พระราชา และพระอุปราช เป็นต้น ได้พากันมาตามเสียง. ฝ่ายผู้ไม่ได้มา อยู่ที่บ้านนั่นเอง ก็ได้ยิน. ราชบุรุษทั้งหลาย พากันถางพุ่มไม้ ปราบพื้นที่ให้เสมอแล้วเกลี่ยทรายลง. ผู้ให้สุราแก่นักเลงทั้งหลาย ก็งดให้. พวกนักเลงพากันทิ้งบ่วงแล้ว ได้ยินฟังธรรมกันทั้งนั้น. ฝ่ายหญิงชราก็หายเมา. มหาสัตว์ได้กล่าว ปรารภเทศนาแก่จุลตุณฑิละท่ามกลางมหาชน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสสิ ภมสิ ความว่า หวาดสะดุ้ง เพราะกลัวตาย เมื่อลำบากด้วยความหวาดสะดุ้ง เพราะความกลัวตายนั้น นั่นแหละ เธอจึงหัวหมุน. บทว่า เลณมิจฺฉสิ ได้แก่ มองหาที่พึ่ง บทว่า อตาโณสิ ความว่า น้องเอ๋ย เมื่อก่อนมารดาของเรา เป็นที่พึ่ง ที่ระลึกได้ แต่วันนี้ ท่านหมดอาลัย ทอดทิ้งเราแล้ว บัดนี้เจ้าจักไปไหน? บทว่า โอคาห ได้แก่ ลงไปอยู่. อีกอย่างหนึ่งปาฐะว่า อย่างนี้เหมือนกัน บทว่า ปวาหย ได้แก่ ให้เหงื่อไคลทั้งหมดลอยไป. บทว่า น ฉิชฺชติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 143
ได้แก่ ไม่หายไป. มีอธิบายว่า ถ้าหากเจ้าสะดุ้งกลัวความตายไซร้ ก็จงลงสู่สระโบกขรณี ที่ไม่มีโคลนตม ชำระล้างเหงื่อ และไคลทั้งหมด ในตัวของเจ้า แล้วลูบไล้ด้วยเครื่องลูบไล้ที่หอมฟุ้งอยู่เป็นนิตย์.
จุลตุณฑิละได้ยินคำนั้นแล้ว คิดว่า พี่ชายของเราพูดอย่างนี้ วงศ์ของพวกเรา ไม่มีการลงสระโบกขรณี แล้วอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคล ออกจากสรีระร่าง การนำเอาเครื่องลูบไล้เก่าออกไป แล้วเอาเครื่องลูบไล้ใหม่ ที่มีกลิ่นหอมฟุ้งลูบไล้ ไม่มีในกาลไหนเลย พี่ชายของเราพูดอย่าง นี้ หมายถึง อะไรกันหนอ ดังนี้แล้ว เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า :-
ห้วงน้ำอะไรหนอ ที่ไม่มีโคลนตม? อะไรหนอ เรียกว่าเหงื่อไคล? อะไรเรียกว่า เครื่องลูบไล้ใหม่? กลิ่นอะไรไม่ขาดหายมาแต่ไหน แต่ไร?
พระมหาสัตว์ได้ยินคำตอบนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเธอจงเงี่ยโสตฟัง เมื่อจะแสดงธรรมด้วยพุทธลีลา ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า:-
ห้วงน้ำ คือ พระธรรมไม่มีโคลนตม บาป เรียกว่า เหงื่อไคล และศีล เรียกว่า เครื่องลูบไล้ ใหม่ แต่ไหนแต่ไรมา กลิ่นของศีลนั้น ไม่ขาดหายไป เหล่าชนผู้ไม่รู้ ผู้ฆ่าสัตว์กิน เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 144
ปกติ จะเพลิดเพลินใจ ส่วนผู้รักษาชีวิตสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์เป็นปกติ จะไม่เพลิดเพลินใจ เมื่อวันเดือนเพ็ญ มีพระจันทร์เต็มดวงแล้ว เหล่าชนผู้รื่นเริงใจอยู่ เท่านั้น จึงจะสละชีพได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ความว่า ธรรมะแม้ทั้งหมด นี้คือ ศีล ๕ ศีล ๑๐ สุจริต ๓ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ และอมตมหานิพพาน ชื่อว่า ธรรม. บทว่า อกทฺทโม ความว่า ชื่อว่า ไม่ มีโคลนตม เพราะไม่มีโคลนตม คือกิเลส ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ และทิฏฐิ. ด้วยบทนี้ มหาตุณฑิละ งดธรรมที่เหลือไว้ แสดงพระนิพพานเท่านั้น เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย มีปัจจัยปรุงแต่งก็ตาม ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็ตาม มีประมาณเท่าใด วิราคธรรม ท่านกล่าวว่า ล้ำเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ได้แก่ ธรรมให้สร่างเมา. ปราศจากความหิวกระหาย. ถอนอาลัยออกได้ ตัดวัฏฏะได้ เป็นที่สิ้นตัณหา วิราคะ คือคลายกำหนัด นิโรธ คือดับ ตัณหาไม่มีเหลือ นิพพาน คือ ดับกิเลส และทุกข์หมด. นัยว่าพระโพธิสัตว์ เมื่อจะแสดงพระนิพพานนั้น นั่นแหละ จึงกล่าวอย่างนี้ ด้วยอำนาจอุปนิสสัยปัจจัยว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย เราเรียก สระ คือพระนิพพานว่าห้วงน้ำ เพราะในพระนิพพานนั้น นั่นเอง ไม่มีชาติ ชรา พยาธิ และมรณทุกข์ เป็นต้น แม้ว่าหากจะมีผู้ประสงค์จะพ้นจากมรณะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 145
ก็จงเรียนข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงพระนิพพาน. บทว่า ปาปํ เสทมลํ ความว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย บัณฑิตในสมัยก่อนทั้งหลาย เรียกบาปว่าเป็นเหงื่อไคล เพราะเป็นเช่นกับเหงื่อไคล. ก็บาปนี้นั้น มีอย่างเดียวคือ กิเลส เครื่องประทุษร้ายใจ บาปมี ๒ อย่างคือ ศีลที่เลวทราม กับทิฏฐิที่เลวทราม. บาปมี ๓ อย่าง คือ ทุจริต ๓. บาปมี ๔ อย่าง คือ การลุอำนาจอคติ ๔ อย่าง. บาปมี ๕ อย่าง คือ สลักใจ ๕ อย่าง. บาปมี ๖ อย่าง คือ อคารวะ ๖ อย่าง. บาปมี ๗ อย่าง คือ อสัทธรรม ๗ ประการ. บาปมี ๘ อย่าง คือ ความเป็นผิด ๘ ประการ. บาปมี ๙ อย่าง คือ เหตุ เป็นที่ตั้งแห่งความอาฆาต ๙ อย่าง. บาปมี ๑๐ อย่าง คือ อกุศลธรรมบถ ๑๐. บาปมีมากอย่าง คือ อกุศลธรรมทั้งหลาย ที่ทรงจำแนกออกไป โดยเป็นธรรมหมวด ๑ หมวด ๒ และหมวด ๓ เป็นต้น อย่างนี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ. บทว่า ศีล ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๑๐ และปาริสุทธศีล ๔. น้องเอ๋ย บัณฑิตทั้งหลาย เรียกศีลนี้ว่าเป็นเสมือนเครื่องลูบไล้ใหม่. บทว่า ตสฺส ความว่า กลิ่นของศีลนั้น แต่ไหน แต่ไรมา ไม่ขาดหายไปในวัยทั้ง ๓ คือ ไม่แผ่ไปทั่วโลก.
กลิ่นดอกไม้จะไม่หอมทวนลมไป กลิ่นจันทน์กฤษณา หรือดอกมะลิก็ไม่หอมทวนลมไป แต่กลิ่นของสัตบุรุษหอมทวนลมไป สัตบุรุษฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ. กลิ่นศีล หอมยิ่งกว่าคันธชาติเหล่านี้ คือ จันทน์กฤษณะ ดอกอุบล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 146
หรือดอกมะลิ. เพราะกลิ่นกฤษณา และจันทน์นี้หอมน้อย ส่วนกลิ่นของผู้มีศีลทั้งหลาย หอมมากฟุ้งขจรไป ในเทวโลก และมนุษยโลก.
บทว่า นนฺทนฺติ สรีรฆาติโน ความว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย คนผู้ไม่มีความรู้ทั้งหลาย เหล่านี้ เมื่อทำปาณาติบาต จะเพลิดเพลิน คือ พอใจว่า พวกเราจักกินเนื้ออร่อยบ้าง จักให้ลูกเมียกินบ้าง คือ ไม่รู้โทษของปาณาติบาต เป็นต้นนี้ว่า ปาณาติบาตที่ประพฤติจนชิน อบรมมาทำให้มากแล้ว จะเป็นเพื่อให้เกิดในนรก จะเป็นไป เพื่อให้เกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ฯลฯ จะเป็นไปเพื่อให้เกิด ในเปรตวิสัย วิบากของปาณาติบาต ที่เบากว่าวิบากทั้งหมด จะเป็นไปเพื่อให้ผู้เกิดเป็นมนุษย์ มีอายุน้อย ดังนี้ เมื่อไม่รู้ ก็จะเป็นผู้สำคัญบาปว่า เป็นน้ำผึ้ง ตามพระพุทธภาษิตว่า :-
คนโง่ ย่อมสำคัญบาปว่า เป็นเหมือนน้ำผึ้ง ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ให้ผล แต่เมื่อใด บาปให้ผล เมื่อนั้น คนโง่ก็จะเข้าถึงทุกข์.
ไม่รู้แม้เหตุมีประมาณเท่านี้ว่า :-
คนเขลา เบาปัญญา เที่ยวทำบาปกรรม ซึ่งมีผลเผ็ดร้อนด้วยตนเอง ที่เป็นเหมือนศัตรู กรรมที่มีผลเผ็ดร้อน ทำให้คนมีน้ำตานองหน้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 147
ร้องไห้ไปพลาง เสวยผลกรรมไปพลาง ทำแล้วไม่ดี.
บทว่า น จ นนฺทนฺติ สรีรธาริโน ความว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย สัตว์เหล่านี้ใด ผู้รักษาชีวิตสัตว์ไว้ ไม่ฆ่าสัตว์เป็นปกติ สัตว์เหล่านั้นที่เหลือ ตั้งต้นแต่พระโพธิสัตว์ไป เว้นไว้แต่มฤคราชสีห์ ช้าง อาชาไนย ม้าอาชาไนย และพระขีณาสพ เมื่อความตายมาถึงตน ชื่อว่า ไม่กลับไม่มี.
สัตว์ทั้งหลาย สะดุ้งต่ออาชญากันหมด เพราะชีวิต เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลาย ฉะนั้น คนควรเอาตน เป็นเครื่องเปรียบเทียบแล้ว ไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่ากัน.
บทว่า ปุณฺณาย ความว่า เต็มด้วยคุณค่า.บทว่า ปุณฺณมาสิยา ความว่า เมื่อเดือนประกอบด้วยจันทร์เพ็ญ สถิตอยู่เต็มดวงแล้ว. ได้ทราบว่า เมื่อนั้น เป็นวันอุโบสถ ที่มีพระจันทร์เต็มดวง. บทว่า รมมานาว ชหนฺติ ชีวิตํ ความว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย เธออย่าเศร้าโศก อย่าร้องไห้ ขึ้นชื่อว่า ความตาย ไม่ใช่เฉพาะเราเท่านั้น แม้สัตว์ที่เหลือทั้งหลาย ก็มีความตาย สัตว์ผู้ไม่มีคุณมีศีล เป็นต้น อยู่ในภายในย่อมจะกลัว แต่พวกเราผู้สมบูรณ์ด้วยศีล และอาจาระ เป็นผู้มีบุญ คือจะไม่กลัว เพราะฉะนั้น สัตว์ที่เช่นกับเรา จะยินดีสละชีวิตทีเดียว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 148
มหาสัตว์แสดงด้วยเสียงอันไพเราะ ด้วยพุทธลีลาอย่างนี้แล้ว. ชุมนุมชนมีการปรบมือ และการชูผ้าจำนวนพัน เป็นไปแล้ว. ท้องฟ้าได้เต็มไปด้วย เสียงสาธุการ. พระเจ้าพาราณสี ทรงบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติ ประทานยศแก่หญิงชรา ทรงรับเอาสุกรทั้ง ๒ ตัวไว้ ทรงให้อาบด้วยน้ำหอม ให้ห่มผ้า ให้ไล้ทาด้วยของหอม เป็นต้น ให้ประดับแก้วมณีที่คอ แล้วทรงนำเข้าไปสู่พระนคร สถาปนาไว้ในตำแหน่งราชบุตร ทรงประคับประคองด้วยบริวารมาก. พระโพธิสัตว์ได้ให้ศีล ๕ แก่ข้าราชบริพาร. ชาวนครพาราณสี และชาวกาสิกรัฐ พากันรักษาศีล ๕ ศีล ๑๐ ทุกคน. ฝ่ายมหาสัตว์ ได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้น ทุกวันปักษ์ นั่งในที่วินิจฉัยศาล พิจารณาคดี เมื่อมหาสัตว์นั้น ยังมีชีวิตอยู่ ขึ้นชื่อว่า การโกงไม่มีแล้ว. ในกาลต่อมาพระราชาสวรรคต. ฝ่ายมหาสัตว์ ให้ประชาชนถวายพระเพลิง พระสรีระพระองค์ แล้วให้จารึกคัมภีร์ วินิจฉัยคดีไว้ แล้วบอกว่า ท่านทั้งหลาย ต้องดูคัมภีร์นี้ พิจารณาคดี แล้วแสดงธรรมแก่มหาชน โอวาทด้วยความไม่ประมาท แล้วเข้าป่าไป พร้อมกับจุลตุณฑิละ ทั้งๆ ที่คนทั้งหมด พากันร้องไห้ และคร่ำครวญอยู่นั่นเอง. โอวาทของพระโพธิสัตว์ ครั้งนั้น เป็นไปถึง ๖ หมื่นปี.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจจธรรม ภิกษุผู้กลัวตายนั้น ดำรงอยู่แล้ว ในโสดาปัตติผล. พระราชาในครั้งนั้นได้แก่ พระอานนท์ใน