๓. สุตนชาดก ว่าด้วยเสียเพื่อได้
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 224
๓. สุตนชาดก
ว่าด้วยเสียเพื่อได้
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 224
๓. สุตนชาดก
ว่าด้วยเสียเพื่อได้
[๙๘๓] ดูก่อนมฆเทพ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไทรนี้ พระราชาทรงส่งภัตตาหาร เจือด้วยเนื้อสะอาด มาให้ท่าน ขอท่านจงออกมา รับประทานเถิด.
[๙๘๔] มาเถิดมาณพ จงถือเอาภัตตาหาร ผสมด้วยกับข้าว จงมาเถิดมาณพ ท่านจงกินเถิด ทั้ง ๒ คน คือ เรา และท่านจักกินกัน.
[๙๘๕] ดูก่อนยักษ์ ท่านจักละทิ้งประโยชน์มากมาย เพราะเหตุเล็กน้อย คนทั้งหลาย ผู้ระแวงความตาย จักไม่นำภิกษาหารมาให้ท่าน.
[๙๘๖] ดูก่อนยักษ์ ภัตตาหารที่เรานำมานี้ เป็นของดี เป็นภักษาหาร ประจำของท่าน เป็นของสะอาดประณีต ประกอบด้วยรสอร่อย ถ้าเมื่อท่านกินเราแล้วไซร้ คนที่จะนำอาหารมาให้ท่าน จะหาได้ยากในที่นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 225
[๙๘๗] ดูก่อนสุตนะ ประโยชน์ตามที่ท่านพูดถึง ย่อมเจริญแก่เราทีเดียว เราอนุญาตแล้ว ท่านจงไปหามารดา โดยสวัสดีเถิด.
[๙๘๘] ดูก่อนมาณพ ท่านจงเอาพระขรรค์, ฉัตร และฉลองพระบาทไปเถิด มารดาของท่าน ก็จงเห็นท่าน และท่านก็จงเห็นมารดา โดยสวัสดี เถิด.
[๙๘๙] ดูก่อนยักษ์ ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุข พร้อมกับญาติทั้งหมด เหมือนกัน เราได้ทั้ง ทรัพย์ ทั้งได้ปฏิบัติ ตามพระราชดำรัส.
จบ สุตนชาดกที่ ๓
อรรถกถาสุตนชาดกที่ ๓
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ภิกษุผู้เลี้ยงมารดา จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ราชา เต ภตฺตํ ดังนี้. เรื่องจักมีชัดใน ๓ ชาดก. แต่ในที่นี้ มีดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูล คหบดีผู้ตกยาก. ญาติทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 226
ได้ขนานนามให้ท่านว่า สุตนะ. ท่านเติบโตแล้ว ได้รับจ้างเลี้ยงบิดามารดา เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้ว ก็เลี้ยงมารดา. แต่ในเวลานั้น พระเจ้าพาราณสี ได้ทรงเป็นผู้มีพระทัย ฝักใฝ่ในการล่าเนื้อ. อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปป่า ไกลประมาณ ๑ โยชน์ พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก ตรัสสั่งให้บอกแก่ทุกคนว่า ถ้าเนื้อหนีออกไป ทางที่ผู้ใดยืนอยู่ ผู้นั้น ถูกปรับสินไหม ชื่อนี้. อำมาตย์ทั้งหลาย ได้พากันกั้นซุ้ม ถวายพระราชา ในที่ที่เป็นทางเดิน. บรรดาเนื้อทั้งหลาย ที่ถูกพวกมนุษย์ล้อมที่อยู่ของเนื้อ ไล่ให้ลุกออกไป ด้วยก้อนดิน และท่อนไม้ ละมั่งตัวหนึ่ง วิ่งไปที่ที่พระราชาประทับยืน. พระราชาหมายพระทัยว่า เราจักยิงมัน แล้วได้ทรงยิงลูกศรไป. แต่เนื้อได้ศึกษามารยามาแล้ว รู้ลูกศร ที่บ่ายหน้ามา อย่างสบายมาก. จึงทำเป็นเหมือนต้องลูกศร ล้มกลิ้งลง. พระราชาทรง เข้าพระทัยว่า เนื้อถูกเรายิงแล้ว จึงทรงวิ่งไปเพื่อต้องการจับ. แต่เนื้อลุกขึ้นวิ่งหนีไป โดยเร็วเหมือนลม. พวกอำมาตย์เป็นต้น ได้พากันเยาะเย้ยพระราชา. พระองค์จึงทรงติดตามเนื้อไปทัน ในเวลามันล้า ทรงใช้พระขรรค์ ฟันออกเป็น ๒ ท่อน คล้องไว้ ที่ท่อนไม้ท่อนหนึ่ง เป็นเหมือนคานหามเสด็จมา ทรงแวะเข้าไปต้นไทร ที่อยู่ใกล้ทาง ด้วยพระดำริว่า เราจักพักผ่อนหน่อยหนึ่ง แล้วทรงม่อยหลับไป ก็ยักษ์ ชื่อ มรรคเทพ เกิดที่ต้นไทรนั้น ได้สิทธิที่จะกินสัตว์ ตัวที่เข้าไปใต้ต้นไม้นั้น จากสำนักท้าวเวสสุวรรณ. มันจับพระหัตถ์พระราชา ผู้ทรงลุกขึ้น แล้วกำลังจะเสด็จไปไว้ โดยขู่ว่า หยุด หยุด ท่านเป็นภักษาหารของเราแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 227
พระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร?
เราเป็นยักษ์ผู้เกิดขึ้นที่นี้ ได้สิทธิกินคน และสัตว์ ผู้เข้ามาในที่นี้ ยักษ์ตอบ.
พระราชาทรงตั้งพระสติ แล้วตรัสถามว่า เจ้าจักกินเฉพาะวันนี้ หรือๆ จักกินเป็นประจำ.
เมื่อได้ก็จักกินเป็นประจำ มันตอบ.
พระราชาตรัสว่า วันนี้เจ้าจงกินเนื้อนี้ แล้วปล่อยเราไป ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะส่งคนมาให้ท่าน ๑ คน พร้อมกับสำรับอาหาร ๑ สำรับ.
ถ้าอย่างนั้น ท่านอย่าลืมในวันที่ท่าน ไม่ได้ส่งคนมา ข้าพเจ้าจะกินตัวท่านเอง ยักษ์พูดย้ำ เราเป็นราชาเมืองพาราณสี ขึ้นชื่อว่า สิ่งไม่มี ไม่มีสำหรับเรา พระราชาตรัสรับรอง.
ยักษ์รับปฏิญญา แล้วได้ปล่อยพระองค์ไป. พระองค์เสด็จเข้าพระนคร แล้วตรัสบอกข้อความนั้นแก่อำมาตย์ ผู้แจ้งความ คือ โฆษกคนหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า บัดนี้ เราควรจะทำอย่างไร?
อำ. ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ทรงทำ การกำหนดวันหรือไม่?
รา. ไม่ได้ทำ.
อำ. พระองค์ทรงทำ สิ่งที่ไม่สมควร แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์อย่าได้ทรงคิด คนในเรือนจำมีอยู่มาก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 228
รา. ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงทำงานนั่น เจ้าจงให้ชีวิตฉันไว้.
อำมาตย์รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมว่า สาธุ แล้วเบิกคนจากเรือนจำ ให้แบกกับข้าวไปส่งยักษ์ทุกวัน โดยไม่ให้รู้เรื่องอะไรเลย. ยักษ์กินภัตตาหาร แล้วก็กินคนด้วย. ต่อมาเรือนจำทั้งหลาย เกิดไม่มีคน คือ นักโทษ. พระราชา เมื่อไม่ได้คน นำสำรับกับข้าวไป ก็ทรงหวาดหวั่น เพราะทรงกลัวความตาย. ลำดับนั้น อำมาตย์เมื่อจะทรงปลอบพระทัย พระองค์จึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ คนมีความหวัง ในทรัพย์มีมากกว่า คนมีความหวังชีวิต ข้าพระองค์ จักให้วางห่อเงิน พันกหาปณะไว้บนคอช้าง แล้วให้เที่ยวตีกลองประกาศว่า ใครจักรับเอาทรัพย์นี้ แล้วถือเอาภัตตาหาร ไปให้ยักษ์ แล้วก็ให้ทำอย่างนั้น. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ ได้ยินคำนั้นแล้ว คิดว่า เราเก็บรวบรวมเงินจากค่าจ้างได้มาสก ๑ บ้าง ครึ่งมาสกบ้าง เลี้ยงมารดาโดยยากลำบาก เราจักรับเอาทรัพย์นี้ให้มารดา แล้วจักไปสำนักของยักษ์ ถ้าหากเราจักอาจทรมานยักษ์ได้ไซร้ ข้อนี้ จะเป็นกุศล แต่ถ้าจักไม่อาจไซร้ มารดาของเรา ก็จักมีชีวิตอยู่อย่างสบาย. เขาทำความตกลงใจ แล้วจึงบอกข้อความนั้น ให้มารดาทราบ ถูกมารดาห้ามถึง ๒ ครั้งว่า อย่าเลยลูก แม่ไม่ต้องการทรัพย์ ครั้งที่ ๓ ไม่บอก กล่าวมารดาเลย บอกอำมาตย์ว่า นำมาเถิดพ่อมหาจำเริญ ทรัพย์ ๑ พัน ข้าพเจ้าจักนำภัตตาหาร ไปให้ยักษ์ ให้ทรัพย์แก่มารดา แล้วพูดว่า แม่ แม่อย่าคิดอะไร ผมจะทรมานยักษ์ ทำความสวัสดีแก่มหาชน แล้วจัก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 229
กลับมา. ให้ดวงหน้าของคุณแม่ ที่เปียกน้ำตา ยิ้มแย้ม ในวันนี้ทีเดียว ไหว้แม่ให้เบาใจ แล้วไปราชสำนักกับราชบุรุษ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่. ต่อแต่นั้น ตัวเขา เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าหรือ จักนำภัตตาหารไป? จึงทูลว่า ใช่แล้ว พระพุทธเจ้าข้า.
รา. เธอควรจะได้อะไร?
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ฉลองพระบาททองคำ ของใต้ฝ่าละออง ธุลีพระบาท.
รา. เพราะเหตุไร?
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ยักษ์นั้น จะได้กินเฉพาะคนที่ยืนอยู่บน พื้นที่ภายใต้ควงไม้ของตน ข้าพระพุทธเจ้า จะไม่ยืนบนพื้นที่ ที่เป็นของยักษ์นั้น แต่จักยืนอยู่บนฉลองพระบาท.
รา. ควรจะได้อะไร อย่างอื่นอีก?
โพ. ฉัตรพระพุทธเจ้าข้า.
รา. ฉัตรนี้ เพื่อประโยชน์อะไร?
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ยักษ์นั้น จะได้กินเฉพาะคน ที่ยืนอยู่ภายใต้ร่มไม้ของตน ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยืนอยู่ภายใต้ร่มไม้ แต่จักยืนอยู่ ภายใต้ร่มฉัตร.
รา. ควรจะได้อะไรอย่างอื่นอีก?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 230
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ พระขรรค์ ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท.
รา. จักมีประโยชน์อะไร ด้วยพระขรรค์นี้?
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ยักษ์ทั้งหลาย กลัวพระขรรค์ แม้มนุษย์ทั้งหลาย ก็กลัวพระขรรค์ เหมือนกัน.
รา. ควรจะได้อะไรอย่างอื่นอีก?
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ เครื่องต้นเต็ม พระสุวรรณภาชน์ ของพระองค์.
รา. เพราะเหตุไร พ่อคุณ.
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ เพราะว่า ธรรมดาการนำโภชนาหาร ที่เลวๆ บรรจุถาดดิน คือ กระเบื้องไป ไม่สมควรแก่ชายชาติบัณฑิต ผู้เช่นกับข้าพระพุทธเจ้า.
พระราชาตรัสสั่งว่าแล้ว พ่อคุณ ทรงประทานทุกอย่างแล้ว ทรงมอบให้คนรับใช้พระโพธิสัตว์ไป. พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์อย่าทรงกลัว วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าจักทรมานยักษ์ ทำความสวัสดี แด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แล้วจึงจะมา. ถวายบังคมพระราชา แล้วให้คนถือเครื่องอุปกรณ์ไป ณ ที่นั้น ให้คนทั้งหลาย ยืนอยู่ไม่ไกลต้นไม้ สวมฉลองพระบาททองคำ ขัดพระขรรค์ กั้นเศวตรฉัตรบนศีรษะ ถือภัตตาหาร บรรจุถาดทองคำ ไปยังสำนักของยักษ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 231
ยักษ์มองดูทาง เห็นพระโพธิสัตว์นั้น แล้วจึงคิดว่า ชายคนนี้ไม่มา โดยทำนองการมา ในวันอื่นๆ จักมีเหตุอะไรหนอ? พระโพธิสัตว์ไปใกล้ต้นไม้ เอาปลายดาบผลัก ถาดภัตตาหารเข้าไป ภายในร่มไม้ ตนเองยืนอยู่สุดร่มไม้ นั่นเอง กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ดูก่อนมฆเทพ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไทรนี้ พระราชาทรง ส่งภัตตาหาร เจือด้วยเนื้อสะอาด มาให้ท่าน ขอท่านจงออกมา รับประทานเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาเหสิ ความว่า ทรงส่งมา. บทว่า มฆเทวสฺมึ อธิวตฺเถ ความว่า ต้นไทร เขาเรียกว่า มฆเทพ พระโพธิสัตว์ เรียกเทวดาว่า ท่านผู้สิงอยู่ในต้นไทรนั้น.
ยักษ์ได้ฟังคำนั้นแล้ว คิดว่า เราจักลวงชายคนนี้ ให้เข้ามาภายในร่มไม้ แล้วจึงจะกิน ดังนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
มาเถิดมาณพ จงถือเอาภัตตาหาร ผสมด้วยกับข้าว จงมาเถิดมาณพ ท่านจงกินเถิด เราทั้ง ๒ จักกินด้วยกัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขํ ได้แก่ ภัตตาหารประจำ. บทว่า สูปิตํ ความว่า ถึงพร้อมด้วยกับข้าว.
ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 232
ดูก่อนยักษ์ ท่านจักละทิ้งประโยชน์มากมาย เพราะเหตุเล็กน้อย คนทั้งหลาย ผู้ระแวงความตาย จักไม่นำภิกษาหาร มาให้ท่าน ดูก่อนยักษ์ ภัตตาหารที่เรานำมานี้ เป็นของดี เป็นภัตตาหารประจำ ของท่าน เป็นของสะอาดประณีต ประกอบด้วยรสอร่อย ถ้าเมื่อท่านกินเราแล้วไซร้ คนที่จะนำภัตตาหาร มาให้ท่าน จะหาได้ยากในที่นี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถูลฺลมตฺถํ ความว่า พระโพธิสัตว์ แสดงว่า ท่านจักละประโยชน์มากมาย เพราะเหตุประมาณเล็กน้อย. บทว่า นาหริสฺสนฺติ ความว่า จำเดิมแต่นี้ไป คนทั้งหลาย ผู้ระแวงความตาย จักไม่นำภัตตาหารมาให้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็จักเป็นผู้ไม่มีอาหาร มีกำลังน้อย เหมือนต้นไม้ ที่มีกิ่งเหี่ยวแห้งแล้ว ดังนี้. บทว่า ลทฺธายํ ความว่า เป็นของดี คือ เป็นของที่มาดี มีอธิบายว่า สหายยักษ์ วันนี้เรานำภิกษาหารมา ภิกษาหารที่เรานำมานี้ เป็นภิกษาหารประจำของท่าน เป็นของสะอาดประณีต ประกอบด้วยรสที่ยอดเยี่ยม เป็นสิ่งที่มาดี คือ จักมาหาท่านทุกวัน. บทว่า อาหริโย ได้แก่ เป็นผู้นำมา มีอธิบายว่า ถ้าหากท่านจะกินเรา ผู้ถือภิกษาหารนี้ มาให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 233
ไซร้ ภายหลังเมื่อเราถูกกินอย่างนี้ แล้วคนอื่น ผู้จะนำภิกษาหารมาให้ท่าน จักหาได้ยากมากในที่นี้. เพราะเหตุไร? เพราะคนอื่นที่เป็นคนฉลาด เช่นกับเรา ในเมืองพาราณสีไม่มี. แต่เมื่อเราถูกกินแล้ว คนทั้งหลายก็จะพูดว่า ยักษ์กินคน ชื่อ สุตนะ มันไม่ละอายใจ ต่อใครคนอื่นเลย. ท่านก็จักไม่ได้ คนนำภัตตาหารมาให้. เมื่อเป็นเช่นนั้น เริ่มต้น แต่นี้ไป โภชนาหาร จักเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับท่าน. ฝ่ายท่านก็จัก จับพระราชาของเราไม่ได้. เพราะเหตุไร? เพราะการยืนอยู่ นอกต้นไม้ แต่ถ้าท่านรับประทาน ภัตตาหารนี้ แล้วจักส่งเราไปไซร้ เราก็จักทูล พระราชาให้ทรงสั่ง ภัตตาหารประจำแก่ท่าน. เราแม้ตนเอง ก็จักไม่ให้ท่านกิน. เพราะว่า เราจักไม่ยืนอยู่ ในสำนักของท่าน จักยืนบนฉลองพระบาท ทั้งจักไม่ยืนใต้ร่มไม้ของท่าน. เราจักยืนใต้ร่มฉัตรของตน เท่านั้น. แต่ถ้าท่านจักต่อสู้กับเรา เราก็จักใช้พระขรรค์นี้ ฟันท่าน ออกเป็น ๒ ท่อน เพราะวันนี้ เราเป็นผู้เตรียมตัวแล้ว จึงมาเพื่อประโยชน์นี้เท่านั้น. ได้ทราบว่า พระมหาสัตว์ขู่ยักษ์นั้น อย่างนี้.
ยักษ์สังเกตเห็นว่า มาณพพูดถูกแบบ มีจิตเลื่อมใส ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ว่า :-
ดูก่อนสุตนะ ประโยชน์ตามที่ท่านพูดถึง ย่อมเจริญแก่เราทีเดียว เราอนุญาตแล้ว ท่านจงไปหามารดา โดยสวัสดีเถิด ดูก่อนมาณพ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 234
ท่านเอาจงพระขรรค์, ฉัตร และฉลองพระบาท ไปเถิด มารดาของท่านก็จงเห็นท่าน และท่าน ก็จงเห็นมารดา โดยสวัสดีเถิด.
พึงทราบวินิจฉัย ในคาถานั้น. ยักษ์เรียก พระโพธิสัตว์ว่า สุตนะ. บทว่า ยถา ภาสสิ ความว่า ประโยชน์ของเรา นั่นเอง ตามที่ท่านพูดถึง ย่อมเจริญแก่เราทีเดียว.
พระโพธิสัตว์ ได้ยินคำของยักษ์นั้น แล้วปลื้มใจว่า งานของเราสำเร็จแล้ว ยักษ์เราทรมานได้แล้ว เราได้ทรัพย์จำนวนมาก ทั้งได้ปฏิบัติตาม พระราชดำรัสแล้ว เมื่อจะทำการอนุโมทนา จึงได้กล่าวคาถา สุดท้าย ว่า :-
ดูก่อนยักษ์ ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุข พร้อมกับญาติทั้งหมด เหมือนกัน. เราได้ทั้งทรัพย์ ทั้งได้ปฏิบัติตาม พระราชดำรัส.
ก็แหละพระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวคาถาแล้ว ก็เรียกยักษ์มา แล้วบอกอานิสงส์ศีล และโทษทุศีลว่า ดูก่อนสหาย เมื่อก่อนท่านทำ อกุศลกรรมไว้ จึงเกิดเป็นคนกักขฬะหยาบคาย มีเนื้อเลือดผู้อื่นเป็นภักษาหาร ต่อแต่นี้ไป ท่านอย่าได้ทำอกุศลกรรม มีปาณาติบาต เป็นต้น แล้วให้ยักษ์ ตั้งอยู่ในศีล ๕ กล่าวว่า ท่านจะมีประโยชน์อะไร ด้วยการอยู่ในป่า มาเถิด เราจะให้ท่านนั่งที่ประตูพระนคร แล้วทำให้มีลาภ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 235
มีภัตตาหารที่เลิศ เป็นต้น ออกไปกับยักษ์ ให้ยักษ์นั่นแหละ ถือพระขรรค์ เป็นต้น ได้ไปเมืองพาราณสี. อำมาตย์ทั้งหลาย พากันกราบทูลพระราชาว่า สุตนมาณพพายักษ์มา. พระราชามีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม ทำการต้อนรับ. พระโพธิสัตว์ ให้ยักษ์นั่งที่ประตูนคร ทำให้เขามีลาภ มีภัตตาหารที่เลิศ เป็นต้น แล้วเสด็จเข้าพระนคร ทรงให้ตีกลองเที่ยวประกาศ ให้ชาวพระนครประชุมกัน ตรัสบอกคุณงามความดี ของพระโพธิสัตว์ แล้วโปรดเกล้าๆ พระราชทานตำแหน่งเสนาบดี แก่พระโพธิสัตว์ และพระองค์เอง ก็ทรงดำรงอยู่ในโอวาท ของพระโพธิสัตว์ ทรงทำบุญทั้งหลาย มีทาน เป็นต้น แล้วได้ทรงมีสวรรค์ เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาทรงประกาศ สัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจธรรม พระภิกษุผู้เลี้ยงมารดา ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. ยักษ์ในครั้งนั้น ได้แก่ พระองคุลิมาล ในบัดนี้ พระราชา ได้แก่ พระอานนท์ ส่วนมาณพ ได้แก่ เราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบอรรถกถา สุตนชาดกที่ ๓