๔. สุมังคลชาดก ว่าด้วยคุณธรรมของกษัตริย์
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 495
๔. สุมังคลชาดก
ว่าด้วยคุณธรรมของกษัตริย์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 495
๔. สุมังคลชาดก
ว่าด้วยคุณธรรมของกษัตริย์
[๑๑๔๖] พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่า เรากำลังกริ้วจัด ไม่พึงลงอาชญา อันไม่สมควรแก่ตน โดยไม่ใช่ฐานะก่อน พึงเพิกถอน ความทุกข์ของผู้อื่น อย่างร้ายแรงไว้.
[๑๑๔๗] เนื้อใด พึงรู้ว่าจิตของตนผ่องใส พึงใคร่ครวญความผิด ที่ผู้อื่นทำไว้ พึงพิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้ง ด้วยตนเองว่า นี่ส่วนประโยชน์ นี่ส่วนโทษ เมื่อนั้น พึงปรับไหมบุคคลนั้นๆ ตามสมควร.
[๑๑๔๘] อนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใด ไม่ถูกอคติครอบงำ ย่อมแนะนำผู้อื่น ที่ควรแนะนำ และไม่ควรแนะนำได้ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ชื่อว่า ไม่เผาผู้อื่น และพระองค์เอง พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ใดในโลกนี้ ทรงลงอาชญาสมควรแก่โทษ พระเจ้าแผ่นดินพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 496
องค์นั้น อันคุณความดีคุ้มครองแล้ว ย่อมไม่เสื่อมจากสิริ.
[๑๑๔๙] กษัตริย์เหล่าใด ถูกอคติครอบงำ ไม่ทรงพิจารณาเสียก่อน แล้วทำลงไป ทรงลง พระอาชญาโดยผลุนผลัน กษัตริย์เหล่านั้น ประกอบไปด้วยโทษ น่าติเตียน ย่อมละทิ้งชีวิตไป และพ้นไปจากโลกนี้แล้ว ก็ย่อมไปสู่ทุคติ.
[๑๑๕๐] พระราชาเหล่าใด ทรงยินดีแล้ว ในทศพิธราชธรรม อันพระอริยเจ้าประกาศไว้ พระราชาเหล่านั้น เป็นผู้ประเสริฐ ด้วยกาย วาจา และใจ พระราชาเหล่านั้น ทรงดำรงมั่น อยู่ ในขันติ โสรัจจะ และสมาธิ ย่อมถึงโลกทั้งสอง โดยวิธีอย่างนั้น.
[๑๑๕๑] เราเป็นพระราชา ผู้เป็นใหญ่ของสัตว์ และมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าเราโกรธขึ้นมา เราก็ตั้งตนไว้ ในแบบอย่าง ที่โบราณราชแต่งตั้งไว้ คอย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 497
ห้ามปราม ประชาชนอยู่อย่างนั้น ลงอาชญา โดยอุบายอันแยบคาย ด้วยความปราณี.
[๑๑๕๒] ข้าแต่กษัตริย์ผู้ชนาธิปัตย์ บริวารสมบัติ และปัญญา มิได้ละพระองค์ในกาลไหนๆ เลย พระองค์มิได้มักกริ้วโกรธ มีพระหฤทัยผ่องใสอยู่เป็นนิตย์ ขอพระองค์ทรงปราศจากทุกข์ บำรุงพระชนม์ชีพ ยืนอยู่ ตลอดร้อยพรรษาเถิด.
[๑๑๕๓] ข้าแต่กษัตริย์ ขอพระองค์ จงประกอบด้วยคุณธรรมเหล่านี้ คือ โบราณราชวัตรมั่นคง พระราชทานอภัย ให้ทูลเตือนได้ ไม่ทรงกริ้วโกรธ มีความสุขสำราญ ไม่เดือดร้อน ปกครองแผ่นดินให้ร่มเย็น แม้จุติจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จงทรงถึงสุคติเถิด.
[๑๑๕๓] พระเจ้าธรรมิกราช ทรงฉลาดในอุบาย เมื่อครองราชสมบัติ ด้วยอุบายอันเป็นธรรม คือ กุศลธรรมบถ ๑๐ อันบัณฑิตแนะนำ กล่าวไว้ดี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 498
แล้วอย่างนี้ พึงยังมหาชน ผู้กำเริบร้อนกาย และจิต ให้ดับหายไป เหมือนมหาเมฆ ยังแผ่นดินให้ชุ่มชื้นด้วยน้ำ ฉะนั้น.
จบ สุมังคลชาดกที่ ๔
อรรถกถาสุมังคลชาดกที่ ๔
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ราโชวาทสูตร จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ภุสมฺหิ กุทฺโธ ดังนี้.
ก็ในครั้งนั้น พระศาสดา อันพระเจ้าปเสนทิโกศล ทูลอาราธนา ให้ตรัสเรื่องราว จึงได้ทรงนำเอา เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี ทรงบำเพ็ญมหาทาน. พระองค์ มีคนเฝ้าพระราชอุทยานคนหนึ่ง ชื่อ สุมังคละ. ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ออกจากเงื้อมภูเขา นันทมูลกะ จาริกไปถึงพระนครพาราณสี อาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน วันรุ่งขึ้นเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร. พระราชาทอดพระเนตร เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นแล้ว ทรงเลื่อมใส ไหว้แล้วนิมนต์ ให้ขึ้นไปสู่ปราสาท นั่งบนราชอาสน์ ทรงอังคาสด้วยของเคี้ยว ของฉัน มีรสเลิศต่างๆ ครั้นได้ทรงสดับอนุโมทนาแล้ว ทรงเลื่อมใสยิ่งขึ้น ขอ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 499
อาราธนา ให้อยู่ในพระราชอุทยาน ของพระองค์ ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า ไปพระราชอุทยาน แม้พระองค์เอง พอเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ก็เสด็จไปจัดแจงที่พักกลางคืน และที่พักกลางวัน เป็นต้น ให้คนเฝ้าพระราชอุทธยาน ทำหน้าที่ไวยาวัจจกร แล้วเสด็จเข้าพระนคร จำเดิมแต่นั้นมา พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ฉันที่พระราชมณเฑียรเป็นนิตย์ อยู่ที่พระราชอุทยานนั้น สิ้นกาลนาน. แม้นายสุมังคละ ก็บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยเคารพ.
อยู่มาวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า เรียกนายสุมังคละ มาบอกว่า เราจักอยู่อาศัยบ้านโน้น ๒ - ๓ วัน แล้วจักมา ท่านจงกราบทูลทระราชาด้วย ดังนี้แล้วก็หลีกไป. นายสุมังคละ ก็ได้กราบทูลพระราชาแล้ว. พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ที่บ้านนั้น ๒ - ๓ วัน เวลาเย็น พระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว กลับมาสู่พระราชอุทยาน. นายสุมังคละไม่รู้ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามา ได้ไปเรือนของตน. พระปัจเจกพุทธเจ้า เก็บบาตรจีวร แล้วจงกรมหน่อยหนึ่ง นั่งอยู่บนแผ่นดิน. ก็ในวันนั้น มีแขกมาเรือนของคนเฝ้าพระราชอุทยานหลายคน. นายสุมังคละคิดว่า เราจักฆ่าเนื้อ ที่พระราชาไม่ห้ามในพระราชอุทยาน เพื่อปรุงสูปะพยัญชนะเลี้ยงแขก จึงถือธนูไปสู่สวน สอดสายตาหาเนื้อ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าใจว่า ชะรอยจักเป็นเนื้อใหญ่ จึงเอาลูกศรพาดสายยิงไป. พระปัจเจกพุทธเจ้า เปิดผ้าคลุมศีรษะกล่าวว่า สุมังคละ. เขามีความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 500
กลัว กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมไม่รู้ว่าท่านมาแล้ว เข้าใจว่า เป็นเนื้อจึงยิงไป ขอท่านได้โปรดงดโทษแก่กระผมเถิด เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ข้อนี้ยกไว้เถอะ บัดนี้ท่านจะกระทำอย่างไร จงมาถอนเอาลูกศรไปเสีย เขาไหว้แล้วถอนลูกศร. เวทนาเป็นอันมากเกิดขึ้นแล้ว. พระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพาน ณ ที่นั้นเอง. คนเฝ้าสวนคิดว่า ถ้าพระราชาทรงทราบ จักไม่ยอมไว้ชีวิตเรา จึงพาลูกเมียหนีไป. ในทันใดนั่นเอง ด้วยเทวานุภาพ ได้ดลบันดาล ให้เกิดโกลาหลทั่วพระนครว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว.
วันรุ่งขึ้น ผู้คนพากันไปพระราชอุทยาน เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลพระราชาว่า คนเฝ้าสวน ฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว หนีไป. พระราชาเสด็จไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ทรงบูชาศพเจ็ดวัน แล้วทรงทำฌาปนกิจ ด้วยสักการะใหญ่ เก็บพระธาตุ ก่อพระเจดีย์ บรรจุพระธาตุ บูชาพระเจดีย์นั้น ครอบครองราชสมบัติโดยธรรม. ฝ่ายนายสุมังคละ พอล่วงไปหนึ่งปี คิดว่า เราจักรู้วาระน้ำจิต ของพระวาชา จึงมาหาอำมาตย์คนหนึ่ง กล่าวว่า ท่านจงรู้ว่า พระราชาทรงรู้สึกในเรา อย่างไร? อำมาตย์นั้นกล่าวพรรณาคุณ ของนายสุมังคละ ในสำนักของพระราชา. พระราชาทำเป็นไม่ได้ยินเสีย. อำมาตย์ไม่ได้กล่าวอะไรๆ อีก กลับมาบอกนายสุมังคละว่า พระราชาทรงไม่พอพระทัย. พอล่วงไปปีที่สอง นายสุมังคละ ย้อนมาอีก พระราชาได้ทรงนิ่งเสีย เช่นคราวก่อน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 501
พอล่วงไปปีที่ ๓ นายสุมังคละ ได้พาลูกเมียมา. อำมาตย์รู้ว่า พระราชา มีพระทัยอ่อนลงแล้ว จึงพานายสุมังคละ ไปยืนที่ประตูพระราชวัง แล้วกราบทูลพระราชาว่า นายสุมังคละมา. พระราชารับสั่งให้เรียก นายสุมังคละมา ทรงทำปฏิสัณถาร แล้วตรัสว่า สุมังคละ เหตุไร ท่านจึงฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นบุญเขตของเราเสีย? นายสุมังคละกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์มิได้มีเจตนาฆ่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ข้าพระองค์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นเนื้อ จึงได้ยิงไป ดังนี้แล้ว ได้กราบทูลเหตุการณ์ ที่เป็นมานั้น ให้ทรงทราบ. ลำดับนั้น พระราชาทรง ปลอบโยนเขาว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านอย่ากลัวเลย แล้วตั้งให้ เป็นผู้เฝ้าพระราชอุทยานอีก.
ลำดับนั้น อำมาตย์ได้กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เหตุไรพระองค์ แม้ได้ฟังคุณของนายสุมังคละถึง ๒ ครั้ง ก็ไม่ตรัสอะไรๆ แต่พอได้ฟังในครั้งที่ ๓ เหตุไร จึงทรงเรียกมาอนุเคราะห์. พระราชาตรัสว่า แน่ะพ่อ ธรรมดาพระราชากำลังพิโรธ ทำอะไรลงไป ด้วยความผลุนผลัน ไม่สมควร ฉะนั้น ครั้งก่อนๆ เราจึงนิ่งเสีย ครั้งที่ ๓ เรารู้ใจของเราว่า ความโกรธนายสุมังคละ อ่อนลงแล้ว จึงให้เรียกเขามา ดังนี้ เมื่อจะทรงแสดงราชวัตร ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ ความว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 502
พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่า เรากำลังกริ้วจัด ไม่พึงลงอาชญา อันไม่สมควรแก่ตน โดยไม่ใช่ฐานะก่อน พึงเพิกถอนความทุกข์ของผู้อื่น อย่างร้ายแรงไว้.
เมื่อใด พึงรู้ว่า จิตของตนผ่องใส พึงใคร่ครวญความผิด ที่ผู้อื่นทำไว้ พึงพิจารณาให้เห็น แจ่มแจ้ง ด้วยตนเองว่า นี่ส่วนประโยชน์ นี่ส่วนโทษ เมื่อนั้น จึงปรับไหมบุคคลนั้นๆ ตามสมควร.
อนึ่ง พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ใด ไม่ถูกอคติครอบงำ ย่อมแนะนำผู้อื่น ที่ควรแนะนำ และไม่ควรแนะนำได้ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ชื่อว่า ไม่เผาผู้อื่น และพระองค์เอง พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใด ในโลกนี้ ทรงลงอาชญาสมควรแก่โทษ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น อันคุณงามความดี คุ้มครองแล้ว ย่อมไม่เสื่อมจากสิริ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 503
กษัตริย์เหล่าใด ถูกอคติครอบงำ ไม่ทรงพิจารณาเสียก่อน แล้วทำลงไป ทรงลงอาชญา โดยผลุนผลัน กษัตริย์เหล่านั้น ประกอบไปด้วยโทษ น่าติเตียน ย่อมละทิ้งชีวิตไป และพ้นไปจากโลกนี้แล้ว ก็ย่อมไปสู่ทุคติ.
พระราชาเหล่าใด ทรงยินดีแล้วในทศพิธราชธรรม อันพระอริยเจ้าประกาศไว้ พระราชาเหล่านั้น เป็นผู้ประเสริฐ ด้วยกาย วาจา และใจ พระราชาเหล่านั้น ทรงดำรงมั่น อยู่แล้วในขันติ โสรัจจะ และสมาธิ ย่อมถึงโลกทั้งสอง โดยวิธีอย่างนั้น.
เราเป็นพระราชา ผู้เป็นใหญ่ของสัตว์ และมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าเราโกรธขึ้นมา เราก็ตั้งตนไว้ ในแบบอย่างที่โบราณราช แต่งตั้งไว้ คอยห้ามปรามประชาชน อยู่อย่างนั้น ลงอาชญา โดยอุบายอันแยบคาย ด้วยความปราณี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 504
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเปกฺขิยาน ความว่า ได้เห็น คือ รู้. ท่านกล่าวอธิบายไว้ ดังนี้. แน่ะพ่อ ธรรมดาพระราชา ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินรู้ว่า เรากำลังโกรธจัด คือ ถูกความโกรธ ที่มีกำลังครอบงำ ไม่พึ่งด่วนลงอาชญา อันต่างด้วยอาชญา มีวัตถุ ๘ ประการ เป็นต้น ต่อผู้อื่น คือ ไม่พึงยังอาชญาให้เป็นไป.
เพราะเหตุไร?
เพราะว่า พระราชาทรงกริ้วแล้ว ไม่พึงรีบลงอาชญา ๘ อย่าง ๑๖ อย่าง โดยอฐานะ คือ โดยเหตุอันไม่บังควร ไม่พึงรับสั่ง ให้เขานำสินไหมมาเท่านี้ หรือให้ลงทัณฑ์นี้แก่เขา ซึ่งไม่สมควรแก่ความเป็นพระราชาของตน พึงถอนความทุกข์ร้ายแรง คือ ทุกข์ที่มีกำลังของผู้อื่นเสีย.
บทว่า ยโต แปลว่า ในเวลาใด.
ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ ดังนี้ ก็เมื่อใดพระราชารู้ ความผ่องใสแห่งจิตของตน ซึ่งเกิดขึ้นในผู้อื่น พึงประกอบ คือ กำหนดความผิด คือ คดีที่ผู้อื่นทำไว้แผนกหนึ่ง เมื่อนั้น ทรงใคร่ครวญอย่างนี้ แล้วพึงทำข้อความให้แจ่มแจ้ง ด้วยตนเองว่า ในคดีนี้ นี้เป็นส่วนประโยชน์ นี้เป็นส่วนโทษของผู้นั้น ดังนี้แล้ว จึงเรียกเอาทรัพย์ ของผู้ทำผิดนั้น ๘ กหาปณะ หรือ ๑๖ กหาปณะ ให้พอแก่แปด หรือสิบหกกระทง มาตั้งลงปรับไหม คล้ายลงอาชญา คือ ใช้แทนโทษ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 505
บทว่า อมุจฺฉิโต ความว่า อนึ่ง พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ใด ไม่ถูกกิเลส มีฉันทาคติ เป็นต้น แปดเปื้อนครอบงำ ย่อมแนะนำ คือ กำหนดรู้ ผู้ควรแนะนำ และไม่ควรแนะนำได้ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ชื่อว่า ไม่เผาผู้อื่น และไม่เผาพระองค์เอง. อธิบายว่า พระเจ้าแผ่นดิน ลงพระอาชญา โดยหาเหตุมิได้ ด้วยอำนาจแห่งอคติ มีฉันทาคติ เป็นต้น ชื่อว่า ย่อมเผา คือ ทำให้ไหม้ได้แก่ เบียนเบียนทั้งผู้อื่น ทั้งพระองค์เอง เพราะบาปกรรม มีฉันทาคติ เป็นต้น นั้นเป็นเหตุ ก็พระราชาเช่นนี้ ชื่อว่า เผาผู้อื่น เผาพระองค์เอง ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า โย ทณฺฑธโร ภวตีธ อิสฺสโร ความว่า พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ใดในโลกนี้ ทรงลงอาชญา เหมาะสมแก่โทษ ในหมู่สัตวโลกนี้ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ชื่อว่า ทัณฑธร.
บทว่า ส วณฺณคุตฺโต ความว่า พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์นั้น เป็นผู้อันความสรรเสริญถึงคุณ และความสรรเสริญ คือ ยศ คุ้มครองรักษา ย่อมไม่กำจัด คือ ไม่เสื่อมจากสิริเลย.
บทว่า อวณฺณสํยุตฺตาว ชหนฺติ ความว่า กษัตริย์เหล่านั้น ไม่ดำรงธรรม เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เหลาะแหละ เป็นผู้ประกอบไปด้วยโทษ ย่อมละทิ้งชีวิตไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 506
บทว่า ธมฺเม จ เย อริยปฺปเวทิเต ความว่า พระราชาเหล่าใด ทรงยินดีในทศพิธราชธรรม ที่พระธรรมิกราชเจ้า ผู้ประเสริฐ ด้วยอาจาระประกาศไว้.
บทว่า อนุตฺตรา เต ความว่า พระราชาเหล่านั้น เป็นผู้ประเสริฐ ด้วยกาย วาจา ใจ ยอดเยี่ยมครบไตรทวาร.
บทว่า เต สนฺติโสรจฺจสมาธิสณฺิตา ความว่า พระราชาเหล่านั้น ดำรงอยู่ ในความสงบกิเลส ในโสรัจจะ กล่าวคือ ความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ และในสมาธิ คือ ความเป็นผู้มีจิต เป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นธรรมิกราช.
บทว่า วชนฺติ โลกํ ทุภยํ ความว่า พระราชาเหล่านั้น ครองราชสมบัติ โดยยุติธรรม ย่อมถึงโลกทั้งสองเท่านั้น คือจากมนุษยโลกถึงเทวโลก จากเทวโลกถึงมนุษยโลก ไม่ต้องไปเกิดในทุคติ มีนรก เป็นต้น.
บทว่า นรปมุทานํ ความว่า เราเป็นพระราชาผู้เป็นใหญ่ ของสัตว์ และมนุษย์ทั้งหลาย.
บทว่า เปมิ อตฺตานํ ความว่า ถึงแม้เราโกรธขึ้นมา ก็ต้องไม่ลุอำนาจความโกรธ ตั้งตนไว้ในแบบอย่าง อันโบราณราช ทรงบัญญัติไว้ ไม่ทำลายหลักธรรม อันเป็นเครื่องวินิจฉัย ของท่านเสีย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 507
เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ตรัสแสดงคุณ ของพระองค์ ด้วยคาถา ๖ คาถาอย่างนี้แล้ว ราชบริษัททั้งหมด พากันชื่นชมยินดี กล่าวสรรเสริญคุณ ของพระราชาว่า คุณสมบัติ คือ ศีล และอาจาระนี้ สมควรแก่พวกเราทีเดียว. ส่วนนายสุมังคละ เมื่อพวกบริษัทกล่าวจบแล้ว ก็ลุกขึ้น ถวายบังคมพระราชา ประคองอัญชลี กล่าวสรรเสริญพระราชา ได้กล่าวคาถา ๓ คาถาความว่า :-
ข้าแต่กษัตริย์ ผู้ชนาธิปัตย์ บริวารสมบัติ และปัญญา มิได้ละพระองค์ ในกาลไหนๆ เลย พระองค์มิได้มักกริ้วโกรธ มีพระหฤทัย ผ่องใสอยู่เป็นนิตย์ ขอพระองค์ ทรงปราศจากทุกข์ บำรุงพระชนม์ชีพ ยืนอยู่ตลอด ๑๐๐ พรรษาเถิด.
ข้าแต่กษัตริย์ ขอพระองค์ จงประกอบด้วยคุณธรรม เหล่านี้ คือ โบราณราชวัตรมั่นคง พระราชทานอภัย ให้ทูลเตือนได้ ไม่ทรงกริ้วโกรธ มีความสุขสำราญ ไม่เดือดร้อน ปกครอง แผ่นดิน ให้ร่มเย็น แม้จุติจากโลกนี้ ไปแล้ว ก็จงทรงถึงสุคติเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 508
พระเจ้าธรรมิกราช ทรงฉลาดในอุบาย เมื่อครองราชสมบัติ ด้วยอุบาย อันเป็นธรรม คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ อันบัณฑิตแนะนำ กล่าวไว้ดี แล้วอย่างนี้ พึงยังมหาชน ผู้กำเริบร้อนกาย และจิต ให้ดับหายไป เหมือนมหาเมฆ ยังแผ่นดินให้ชุ่นชื้นด้วยน้ำ ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิรี จ ลกฺขี จ ได้แก่ บริวาร สมบัติ และปัญญา.
บทว่า อนีโฆ แปลว่า จงเป็นผู้ปราศจากทุกข์.
บทว่า อุเปต ขตฺติย ความว่า ข้าแต่บรมกษัตริย์ ขอพระองค์ จงประกอบด้วยคุณธรรม เหล่านี้. พระบาลีก็อย่างเดียวกัน นี้แหละ.
บทว่า ิตมาริยวตฺตี ความว่า โบราณราชวัตร กล่าวคือ ทศพิธราชธรรม ชื่อว่า ฐิตอริยวัตร จงเป็นผู้ดำรงมั่นในราชธรรม เพราะ ตั้งมั่นอยู่ในโบราณราชวัตร คือ ทศพิธราชธรรมนั้น.
บทว่า อนุปฺปีฬ ปสาส เมทนึ ความว่า และจงปกครองแผ่นดิน ไม่ให้พสกนิกรเดือดร้อน.
พระบาลีก็อย่างเดียวกันนี้แหละ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 509
บทว่า สุนีเตน ความว่า อันบัณฑิตแนะนำไว้ดี คือ ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม.
บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ ธรรม คือ กุศลกรรมบถ ๑๐.
บทว่า าเยน นี้ เป็นไวพจน์ของบทต้น นั่นเอง.
บทว่า อุปายโส แปลว่า ด้วยความฉลาดในอุบาย.
บทว่า นยํ ความว่า พระเจ้าธรรมิกราช เมื่อทรงแนะนำ คือ ครองราชสมบัติ.
บทว่า นิพฺพาปเย ความว่า เมื่อนายสุมังคละ จะแสดงความว่า พระเจ้าธรรมิกราช เมื่อบำบัดความกระวนกระวาย ทางกายและทางใจ ได้ด้วยข้อปฏิบัตินี้ ชื่อว่า พึงทำมหาชน ผู้กำเริบร้อน ด้วยทุกข์กาย ทุกข์ใจ ให้สดับเย็นได้ เหมือนมหาเมฆ ยังแผ่นดินให้ชุ่มชื่น ด้วยน้ำ ฉะนั้น ขอพระองค์จะทำมหาชนให้ดับเข็ญ เช่นนั้นเถิด.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาแสดง ด้วยการประทานโอวาท แก่พระเจ้าโกศล แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ในครั้งนั้นได้ปรินิพพานแล้ว นายสุมังคละ คนเฝ้าพระราชอุทยานในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ในบัดนี้ พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถา สุมังคลชาดกที่ ๔