๕. หริตจชาดก ว่าด้วยกิเลสที่มีกําลังกล้า
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 647
๕. หริตจชาดก
ว่าด้วยกิเลสที่มีกําลังกล้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 647
๕. หริตจชาดก
ว่าด้วยกิเลสที่มีกำลังกล้า
[๑๒๔๖] ข้าแต่มหาพรหม โยมได้ยินเขาพูดกันว่า พระหาริตดาบสบริโภคกาม คำนี้ไม่เป็น จริงกระมัง ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แลหรือ?
[๑๒๔๗] ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองค์ได้ทรงสดับถ้อยคำ มีแล้วอย่างใด ถ้อยคำนั้น ก็เป็นจริงอย่างนั้น อาตมภาพเป็นผู้หมกมุ่น อยู่ในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความหลง เดินทางผิดแล้ว.
[๑๒๔๘] ปัญญาที่ละเอียด คิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องบรรเทาราคะ ที่เกิดขึ้นแล้วของท่าน มีไว้เพื่อประโยชน์อะไร ท่านไม่อาจบรรเทา ความคิดที่แปลกได้.
[๑๒๔๙] ข้าแต่มหาบพิตร กิเลส ๔ อย่างเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มทะ เป็นของมี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 648
กำลังกล้า หยาบคายในโลก เมื่อกิเลสเหล่าใด รึงรัดแล้ว ปัญญาก็หยั่งไม่ถึง.
[๑๒๕๐] โยมได้ยกย่องท่านแล้ว อย่างนี้ว่า หาริตดาบสเป็นพระอรหันต์ สมบูรณ์ด้วยศีล ประพฤติบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิต มีปัญญาแท้.
[๑๒๕๑] ข้าแต่มหาบพิตร วิตกอันลามก เป็นไปด้วยการยึดถือนิมิตว่างาม ประกอบด้วย ความกำหนัด ย่อมเบียดเบียนแม้ผู้มีปัญญา ผู้ยินดีแล้ว ในคุณธรรมของฤๅษี.
[๑๒๕๒] ความกำหนัดนี้ เกิดในกาย เกิดขึ้นมาแล้ว เป็นของทำลายวรรณะของท่าน ท่านจงละความกำหนัดนั้นเสีย ความเจริญย่อมมีแก่ท่าน ท่านเป็นผู้อันชนหมู่มาก ยกย่องแล้วว่า เป็นคนมีปัญญา.
[๑๒๕๓] กามเหล่านั้น ทำแต่ความมืด ให้มีทุกข์มาก มีพิษใหญ่หลวง อาตมภาพจักค้นหามูลราก แห่งธรรมเหล่านั้น จักตัดความกำหนัด พร้อมเครื่องผูกเสีย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 649
[๑๒๕๔] ครั้นพระหาริตฤๅษี กล่าวคำนี้แล้ว มีความบากบั่นอย่างแท้จริง คลายกามราคะได้ แล้ว ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.
จบ หริตจชาดกที่ ๕
อรรถกถาหริตจชาดกที่ ๕
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้กระสัน จึงได้ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สุตเมตํ มหาพฺรหเม ดังนี้.
ความย่อมีว่า ภิกษุรูปนั้น เห็นมาตุคามคนหนึ่ง แต่งตัวสวยงาม เกิดความกระสัน ปล่อยผมเล็บ และหนวดไว้จนยาว อยากจะสึก พระอุปัชฌาย์อาจารย์แนะนำ ก็ไม่พอใจ พระศาสดาตรัสถามว่า จริงหรือภิกษุ ได้ยินว่าเธอกระสัน? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า จึงตรัสถามว่า เหตุไรเธอจึงกระสัน เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า กระสันด้วยอำนาจกิเลส และได้เห็นมาตุคาม แต่งตัวสวยงามพระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ธรรมดากิเลส ย่อมไม่มีความชื่นบาน เพราะขจัดคุณความดี มีแต่จะให้ตกนรก และกิเลสนั้น ทำไมจักไม่ทำให้เธอลำบากเล่า มีแรงพัดเขาสิเนรุ ทำไมจักไม่พัดใบไม้เก่าๆ ให้กระจัดกระจายได้ แม้พระมหาบุรุษ ผู้วิสุทธิชาติได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ดำเนินตาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 650
รอยพระโพธิญาณ เพราะอาศัยกิเลสชนิดนี้ จึงไม่อาจจะดำรงสติอยู่ได้ ยังต้องเสื่อมไปจากฌาน. ดังนี้แล้ว ทรงนำเอา เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี. พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ ผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในนิคมแห่งหนึ่ง มารดาบิดา ได้ขนานนามให้พระองค์ว่า หาริตกุมาร เพราะพระองค์มีผิวเหลืองดังทอง กุมารนั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษา ที่เมืองตักกศิลา รวบรวมทรัพย์ไว้ ครั้นมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว ได้ตรวจตราดูทรัพย์สมบัติ ได้ความคิดขึ้นว่า ทรัพย์เท่านั้น ที่ยังปรากฏอยู่ ส่วนผู้ทำให้ทรัพย์เกิดขึ้น หาปรากฏอยู่ไม่ แม้เราก็จะต้องแหลกละเอียด ไปในปากแห่งความตาย ดังนี้ กลัวต่อมรณภัย ได้ให้ทานเป็นการใหญ่ แล้วเข้าไปยังหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤๅษี ในวันที่ ๗ ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ มีเผือกมัน และผลไม้ในป่า เป็นอาหาร ดำรงชีพอยู่ในที่นั้น เป็นเวลานาน ต้องการจะเสพอาหาร ที่มีรสเค็ม รสเปรี้ยว จึงลงจากบรรพตไปโดยลำดับ ถึงพระนครพาราณสี เข้าไปอยู่ในสวนหลวง วันรุ่งขึ้นเที่ยวภิกขาจาร ในพระนครพาราณสี บรรลุถึงพระลานหลวง พระราชาทอดพระเนตร เห็นดาบสนั้น มีพระทัยเลื่อมใส รับสั่งให้นิมนต์ นั่งบนราชบัลลังก์ ภายใต้เศวตฉัตร ให้ฉันโภชนะที่มีรสอันเลิศต่างๆ เมื่อดาบสฉันแล้ว อนุโมทนาจบลง พระองค์ยิ่งทรงเลื่อมใสมากขึ้น ตรัส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 651
ถามว่า พระผู้เป็นเจ้าจะไป ณ ที่ไหน? เมื่อดาบสถวายพระพรว่า อาตมภาพเที่ยวหา ที่จำพรรษา มหาบพิตร. จึงตรัสว่า ดีแล้วพระผู้เป็นเจ้า. ครั้นเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จแล้ว ทรงพาดาบสไปพระราชอุทยาน รับสั่งให้สร้าง ที่เป็นที่พักกลางคืน และที่เป็นที่พักกลางวัน เป็นต้น ถวายพระดาบส ให้คนรักษาพระราชอุทยาน เป็นผู้คอยปฏิบัติ ทรงอภิวาทแล้ว เสด็จกลับ แต่นั้นมา พระมหาสัตว์ ได้ฉันที่พระราชมณเฑียร เป็นนิตย์อยู่ตลอด ๑๒ ปี.
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาจะเสด็จไปปราบ ประเทศชายแดน ที่ก่อความไม่สงบขึ้น ทรงมอบหมาย พระมหาสัตว์ไว้แก่ พระราชเทวีว่า เธอจงอย่าลืมบุญเขตของเราเสีย. แล้วเสด็จไป ตั้งแต่นั้น พระราชเทวี ได้ทรงอังคาสพระมหาสัตว์ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ ครั้นวันหนึ่ง พระนางทรงตกแต่งโภชนะไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อพระดาบสยังช้าอยู่ พระนางจึงสรงสนาน ด้วยน้ำหอม แล้วทรงนุ่งพระภูษาเลี่ยน เนื้อละเอียด รับสั่งให้เผยสีหบัญชร ประทับบนเตียงน้อย ให้ลมพัดต้องพระวรกายอยู่ พระมหาสัตว์นุ่งห่มเรียบร้อยแล้ว ถือภาชนะสำหรับใส่ภิกษา เหาะมาถึงสีหบัญชร พระราชเทวี ได้สดับเสียงผ้าคากรอง ของพระมหาสัตว์ ก็เสด็จลุกขึ้นโดยเร็ว พระภูษาเลื่อนหลุดหล่นลง วิสภาคารมณ์ ได้กระทบจักษุพระมหาสัตว์ ทันใดนั้น กิเลสซึ่งหมักดองอยู่ภายในพระมหาสัตว์นั้น หลายแสนโกฏิปี มีอาการดังอสรพิษ ที่นอนขดอยู่ในข้อง ก็กำเริบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 652
ขึ้น ทำฌานให้อันตรธานไป พระมหาสัตว์ไม่สามารถ จะดำรงสติไว้ได้ จึงเข้าไปจับพระหัตถ์พระราชเทวี แล้วทั้งสองก็รูดม่านลงกั้น ในทันใดนั้น แล้วเสพโลกธรรมด้วยกัน ครั้นแล้วพระมหาสัตว์ก็ฉันภัตตาหารแล้ว เดินไปพระราชอุทยาน ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้ทำเช่นนั้นทุกๆ วัน.
ข่าว ณ ที่พระมหาสัตว์ เสพโลกธรรม กับพระราชเทวี ได้แพร่สะพัดไป ทั่วพระนคร พวกอำมาตย์ได้ส่งหนังสือ ไปกราบทูลพระราชาว่า. หาริตดาบสได้ทำอย่างนี้. พระราชามิได้ทรงเชื่อ โดยทรงพระดำริว่า พวกอำมาตย์ประสงค์จะทำลายเรา จึงได้กล่าวอย่างนี้ ครั้นทรงปราบ ประเทศชายแดน ให้สงบลงแล้ว ก็เสด็จกลับพระนครพาราณสี ทรงทำประทักษิณพระนครแล้ว เสด็จไปสำนักพระราชเทวี มีพระดำรัสถามว่า ได้ข่าวว่า หาริตดาบส พระผู้เป็นเจ้าของเรา เสพโลกธรรมกับเธอ เป็นความจริงหรือ? พระราชเทวีกราบทูลว่า จริงเพคะ. พระราชายังไม่ทรงเชื่อ แม้พระราชเทวีทรงดำริว่า จักถามพระดาบส นั้นเอง. จึงเสด็จไปพระราชอุทยาน นมัสการแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง เมื่อตรัสถามความนั้น ได้ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่มหาพรหม โยมได้ยินเขาพูดกันว่า พระหาริตดาบสบริโภคกาม คำนี้ไม่เป็นจริง กระมัง ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แลหรือ?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 653
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กจฺเจตํ เป็นต้น ความว่า คำที่โยมได้ยินว่า พระหาริตดาบสบริโภคกาม ดังนี้นั้น เป็นคำเปล่า คือ เป็นคำไม่จริงกระมัง ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แลหรือ?
พระดาบสคิดว่า เมื่อเราทูลว่า เราไม่ได้บริโภคกาม พระราชานี้ ก็จักทรงเชื่อเราเท่านั้น แต่ว่าในโลกนี้ ขึ้นชื่อว่า ที่พึ่งที่เช่นกับความสัตย์ไม่มี เพราะว่าผู้ที่ทิ้งความสัตย์เสียแล้ว ย่อมไม่สามารถจะนั่ง ที่โพธิบัลลังก์ บรรลุพระโพธิญาณได้ เราควรกล่าวแต่ความสัตย์เท่านั้น. จริงอยู่ปาณาติบาตก็ดี อทินนาทานก็ดี กาเมสุมิจฉาจารก็ดี สุราบานก็ดี ย่อมมีแก่พระโพธิสัตว์ได้บ้างในฐานะบางอย่าง แต่มุสาวาท ที่มุ่งกล่าวให้คลาดเคลื่อน หักประโยชน์เสีย ย่อมไม่มีแก่พระโพธิสัตว์เลย ฉะนั้น เมื่อพระดาบสจะกล่าวความสัตย์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองค์ได้ ทรงสดับถ้อยคำมาแล้วอย่างใด ถ้อยคำนั้น เป็นจริงอย่างนั้น อาตมภาพเป็นผู้หมกมุ่น อยู่ในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความหลง เดินทางผิด แล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โมหเนยฺเยสุ คือ ในกามคุณ จริงอยู่ชาวโลกทั้งหลาย ย่อมลุ่มหลงกามคุณ เพราะเหตุนั้น กามคุณ ท่านจึงเรียกว่า โมหเนยยะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 654
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๓ ว่า :-
ปัญญาที่ละเอียด คิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องบรรเทาราคะ ที่เกิดขึ้นแล้วของท่าน มี ไว้เพื่อประโยชน์อะไร ท่านไม่อาจบรรเทาความคิด ที่แปลกได้.
ศัพท์ว่า อทุ ในคาถานั้น เป็นนิบาต.
ท่านอธิบายคำนี้ไว้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมดาเภสัช ย่อมเป็นที่พึ่งของคนไข้ น้ำดื่มเป็นที่พึ่งของคนกระหายน้ำ ก็ปัญญาที่ละเอียด คิดสิ่งที่ดีคือที่เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องบรรเทาราคะ เกิดขึ้นแล้วของท่าน มีไว้เพื่อประโยชน์อะไร?
บทว่า กึมโน น วิโนทเย ความว่า เหตุไร? ท่านจึงไม่อาจใช้ปัญญานั้น บรรเทาความคิด ที่แปลกได้.
ลำดับนั้น หาริตดาบส เมื่อจะแสดงกำลังของกิเลส แก่พระราชา ได้กล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
ข้าแต่มหาบพิตร กิเลส ๔ อย่างเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มทะ เป็นของมีกำลังกล้า หยาบคายในโลก เมื่อกิเลสเหล่าใด รึงรัดแล้ว ปัญญาก็หยั่งไม่ถึง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 655
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺถ เป็นต้น ความว่า เมื่อกิเลสเหล่าใด ถึงการรึงรัดแล้ว ปัญญาก็ย่อมไม่ได้การหยั่งถึง คือ การตั้งอยู่ เหมือนคนตกลงไป ในห้วงน้ำใหญ่ ฉะนั้น.
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๕ ว่า :-
โยมได้ยกย่องท่านแล้ว อย่างนี้ว่า หาริตดาบสเป็นพระอรหันต์ สมบูรณ์ด้วยศีล ประพฤติบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิต มีปัญญาแท้.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อิติ โน สมฺมโต ความว่า โยมได้ยกย่อง คือ ได้สรรเสริญท่านแล้ว อย่างนี้. หาริตดาบสได้ฟัง ดังนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถาที่ ๖ ต่อจากนั้นว่า :-
ข้าแต่มหาบพิตร วิตกอันลามก เป็นไปด้วยการยึดถือ นิมิตรว่างาม ประกอบด้วยความกำหนัด ย่อมเบียดเบียนแม้ผู้มีปัญญา ผู้ยินดีแล้ว ในคุณธรรมของฤๅษี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุภา คือ เป็นไปแล้ว ด้วยการยึดถือ นิมิตรว่างาม.
ลำดับนั้น พระราชา เมื่อจะให้หาริตดาบส เกิดอุตสาหะ ในการละกิเลส จึงตรัสคาถาที่ ๗ ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 656
ความกำหนัดนี้ เกิดในกาย เกิดขึ้นมา แล้วเป็นของทำลายวรรณะของท่าน ท่านจงละความกำหนัดนั้นเสีย ความเจริญย่อมมีแก่ท่าน ท่านเป็นผู้อันชนหมู่มาก ยกย่องแล้วว่า เป็นคนมีปัญญา.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า วณฺณวิทูสโน ตว คือ เป็นของทำลายสีกาย และคุณความดีของท่าน. บทว่า พหุนาสิ ความว่า ท่านเป็นผู้อันชนหมู่มาก ยกย่องแล้วว่า เป็นคนมีปัญญา.
คราวนี้ พระมหาสัตว์ได้ฟัง ดังนั้นแล้ว กลับได้สติ กำหนดโทษ ในกามทั้งหลาย แล้วกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า :-
กามเหล่านั้น ทำแต่ความมืดให้ มีทุกข์มาก มีพิษใหญ่หลวง อาตมภาพจักค้นหา มูลรากแห่งกามเหล่านั้น จะตัดความกำหนัด พร้อมเครื่องผูกเสีย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺธกรเณ คือ ชื่อว่าทำแต่ความมืดให้ เพราะทำปัญญาจักขุให้พินาศ. ในบทว่า พหุทุกฺเข นี้ บัญฑิตพึงนำสูตรว่า กามทั้งหลาย มีความแช่มชื่นน้อย ดังนี้เป็นต้น มาแสดง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 657
ถึงความที่กามเหล่านั้น มีทุกข์มาก. บทว่า มหาวิเส คือ ชื่อว่ามีพิษใหญ่หลวง เพราะพิษ คือสัมปยุตตกิเลส และพิษ คือวิบาก เป็นของยิ่งใหญ่.
สองบทว่า เตสํ มูลํ ความว่า อาตมภาพจักค้นหา คือ จักแสวงหามูลราก แห่งกามเหล่านั้น เพื่อละกาม ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว เหล่านั้นเสีย.
ถามว่า ก็อะไรเป็นมูลรากแห่งกามเหล่านั้น?
ตอบว่า อโยนิโสมนสิการ.
บทว่า เฉชฺชํ ราคํ สพนฺธนํ ความว่า ข้าแต่มหาบพิตร บัดนี้ อาตมภาพ จักตัดความกำหนัด ที่ชื่อว่า เครื่องผูกพัน เพราะเครื่องผูกพัน คือ ศุภนิมิตร โดยประหารเสียด้วยดาบ คือ ปัญญา.
ก็แหละ ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ได้ขอพระราชทานโอกาสว่า ข้าแต่มหาบพิตร ขอพระองค์ จงประทานโอกาส แก่อาตมาภาพก่อน. แล้วเข้าไปยังบรรณศาลา พิจารณาดวงกสิณ ยังฌานที่เสื่อมแล้ว ให้เกิดขึ้นอีก ออกจากบรรณศาลา นั่งคู้บัลลังก์ในอากาศ ถวายธรรมเทศนาแด่พระราชา แล้วทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร อาตมภาพถูกติเตียน ในท่ามกลางมหาชน เพราะเหตุที่มาอยู่ในที่ไม่สมควร ขอพระองค์ จงเป็นผู้ไม่ประมาท บัดนี้ อาตมภาพ จักกลับไปสู่ไพรสณฑ์ ให้พ้นจากกลิ่นสตรี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 658
เมื่อพระราชาทรงกรรแสง ปริเทวนาอยู่ ได้ไปสู่หิมวันตประเทศ ไม่เสื่อมจากฌานแล้ว เข้าถึงพรหมโลก.
พระศาสดาผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงทราบเรื่องนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ ว่า :-
ครั้นพระหาริตฤๅษีกล่าวคำนี้แล้ว มีความบากบั่นอย่างแท้จริง คลายกามราคะได้แล้ว ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำ พระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสัน ได้ดำรงอยู่ในพระอรหัตตผล แล้วพระทศพล ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ในบัดนี้ หาริตดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบอรรถกถา หริตจชาดกที่ ๕