พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. โลมกัสสปชาดก ว่าด้วยตบะเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  25 ส.ค. 2564
หมายเลข  35895
อ่าน  641

[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 684

๗. โลมกัสสปชาดก

ว่าด้วยตบะเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 684

๗. โลมกัสสปชาดก

ว่าด้วยตบะเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ

[๑๒๖๕] ถ้าท่านนำเอา ฤๅษีโลมสกัสสปะ มาบูชายัญได้ ท่านจักได้เป็นพระราชา เสมอด้วยพระอินทร์ ไม่รู้แก่ ไม่รู้ตายเลย.

[๑๒๖๖] อาตมาไม่ปรารถนาแผ่นดิน ที่มีทะเลล้อมรอบ มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต พร้อมกับความนินทา ดูก่อนไสยหะ ท่านจงทราบอย่างนี้เถิด.

[๑๒๖๗] ดูก่อนพราหมณ์ เราติเตียนการได้ยศ การได้ทรัพย์ และความประพฤติอันไม่เป็น ธรรม มีแต่จะให้ถึงความพินาศ.

[๑๒๖๘] ถึงแม้จะเป็นบรรพชิต ต้องอุ้มบาตร หาเลี้ยงชีพ แต่ไม่เบียดเบียนใคร ความเป็นอยู่เช่นนั้น ยังดีกว่าการแสวงหา ที่ไม่เป็นธรรม จะดีอะไร.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 685

[๑๒๖๙] ถึงแม้จะเป็นบรรพชิต ต้องอุ้มบาตร หาเลี้ยงชีพ แต่ไม่เบียดเบียนใคร ความเป็นอยู่ นั่นแหละ ประเสริฐกว่า ความเป็นพระราชาในโลก.

[๑๒๗๐] พระจันทร์มีกำลัง พระอาทิตย์มีกำลัง สมณพราหมณ์มีกำลัง ฝั่งแห่งสมุทรก็มีกำลัง หญิงมีกำลังยิ่งกว่ากำลังทั้งหลาย.

[๑๒๗๑] พระนางจันทวดี ทำให้ฤๅษีชื่อ โลมสกัสสปะ ผู้มีตบะกล้า มาบูชายัญ เพื่อประโยชน์ แก่พระราชบิดาได้.

[๑๒๗๒] กรรมที่ทำด้วยความโลภนั้น เผ็ดร้อน มีกามเป็นเหตุ เราจักค้นหามูลรากของกรรมนั้น จักตัดความกำหนัด พร้อมทั้งเครื่องผูกเสีย.

[๑๒๗๓] ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์ติเตียนกามคุณทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ตบะธรรมเท่านั้น ประเสริฐกว่ากามคุณทั้งหลาย ข้าพระองค์จักละ กามคุณทั้งหลายเสีย แล้ว

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 686

บำเพ็ญตบะ ส่วนนางจันทวดี จงอยู่ในแว่นแคว้น ของพระองค์เถิด.

จบ โลมสกัสสปชาดกที่ ๗

อรรถกถาโลมสกัสสปชาดกที่ ๗

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ผู้กระสันรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อสฺส อินฺทสโม ราชา ดังนี้.

ความย่อมีว่า พระศาสดาตรัสถาม ภิกษุรูปนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เขาว่าเธอกระสันจริงหรือ? เมื่อภิกษุรูปนั้น กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ก็ลมที่พัดภูเขาสิเนรุ ให้หวั่นไหว ทำไมจึงจักไม่พัดใบไม้เก่าๆ ให้หวั่นไหวเล่า แม้ผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยศทั่วๆ ไป ยังถึงความเสื่อมยศได้ ชื่อว่า กิเลส ย่อมทำสัตว์ที่บริสุทธิ์ ให้เศร้าหมองได้ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงคนเช่นเธอ ดังนี้ แล้วทรงนำเอา เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล โอรสของพระเจ้าพรหมทัต ผู้ครองพระนครพาราณสี ชื่อว่า พรหมทัตตกุมาร และบุตรของปุโรหิต ชื่อว่า กัสสปะ เป็นสหายกัน เรียนศิลปะทุกอย่าง ในตระกูลอาจารย์คนเดียวกัน ต่อมา เมื่อพระราชบิดาสวรรคต พรหมทัตตกุมาร ได้ครองราชสมบัติ ที่นั้น

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 687

กัสสปกุมารคิดว่า สหายของเราเป็นพระราชา บัดนี้ คงจักพระราชทาน ความเป็นใหญ่ ประโยชน์อะไร ด้วยความเป็นใหญ่สำหรับเรา เราจักลามารดาบิดา และพระราชาแล้วบวช ครั้นเขาคิดดังนี้แล้ว จึงได้ถวายบังคมลาพระราชา และลามารดาบิดา เข้าดินแดนหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษี ในวันที่ ๗ ได้อภิญญา และสมาบัติ เลี้ยงชีพอยู่ ด้วยการเที่ยวแสวงหาผลไม้ คนทั้งหลายพากันเรียกท่าน ซึ่งเป็นบรรพชิตว่า โลมสกัสสปะ ท่านเป็นดาบสที่มีอินทรีย์ สงบระงับอย่างยิ่ง มีตบะแรงกล้า ภพของท้าวสักกเทวราชหวั่นไหว ด้วยเดชแห่งตบะของดาบสนั้น ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงพิจารณาดู เห็นเหตุดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า ดาบสนี้ มีเดชสูงนัก จะทำเราให้เคลื่อนจากความเป็นท้าวสักกะ เราจักร่วมมือ กับพระเจ้าพาราณสี ทำลายตบะของดาบสนั้นเสีย ครานั้นท้าวเธอ ได้เสด็จเข้าไปยังห้องสิริไสยาสน์ ของพระเจ้าพาราณสี ในเวลาเที่ยงคืน แสดงอานุภาพของท้าวสักกะ บันดาลห้องทั้งหมด ให้สว่างด้วยรัศมีแห่งพระสรีระ ลอยอยู่ในอากาศในสำนักของพระราชา ปลุกพระราชาว่า ตื่นขึ้นเถิดมหาราช เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร ตรัสตอบว่า เราคือท้าวสักกะ ตรัสถามว่า ท่านมาเพื่ออะไร? ตรัสย้อนถามว่า มหาราช ท่านจะปรารถนา ความเป็นเอกราช ในชมพูทวีปทั้งสิ้น หรือไม่ปรารถนา? ตรัสตอบว่า ทำไมจึงจะไม่ปรารถนาเล่า. ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช จึงตรัสกะพระราชาว่า ถ้าเช่นนั้น พระองค์จงนำ โลมสกัสสปดาบส มาบูชาปสุฆาตยัญ พระองค์จะเสมอด้วยท้าวสักกะ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 688

ไม่แก่ ไม่ตาย จักได้ครองราชสมบัติ ทั่วชมพูทวีป ดังนี้ แล้วตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-

ถ้าท่านนำเอา ฤๅษีโลมสกัสสปะ มาบูชายัญได้ ท่านจักได้เป็นพระราชา เสมอด้วยพระอินทร์ ไม่รู้แก่ ไม่รู้ตายเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺส แปลว่า จักได้เป็น. บทว่า ยเชยฺย ความว่า ถ้าท่านนำฤๅษีโลมสกัสสปะ จากที่อยู่ในป่า มาบูชายัญได้.

ลำดับนั้น พระราชาได้ทรงสดับพระดำรัสของท้าวสักกะแล้ว ทรงรับคำว่า ดีแล้ว ครานั้น ท้าวสักกะตรัสเตือนว่า ถ้าเช่นนั้น ก็อย่าเนิ่นช้า แล้วเสด็จหลีกไป วันรุ่งขึ้น พระราชารับสั่งให้เรียกไสยหะอำมาตย์ ตรัสว่า แน่ะเพื่อน ท่านจงไปสำนักโลมสกัสสปะ ผู้เป็นสหายที่รักของเรา จงพูดตามคำของเราอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระราชาจักให้ ท่านบูชาปสุฆาตยัญ แล้วจักเป็นเอกราชทั่วชมพูทวีป ท่านปรารถนาประเทศเท่าใด พระราชา จักพระราชทานประเทศเท่านั้น แก่ท่าน ขอ ท่านจงมาเพื่อบูชายัญกับเรา ไสยหะอำมาตย์ ได้ฟังดังนั้นแล้ว เพื่อจะรู้ที่อยู่ของดาบส เมื่อชาวป่าคนหนึ่งบอกว่า ข้าพเจ้ารู้ ได้ให้เขาเป็นคน นำทางไปในที่นั้นด้วย บริวารใหญ่ไหว้พระฤๅษีแล้วนั่ง ณ ที่ควรแห่ง

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 689

หนึ่ง แจ้งข่าวสาส์นนั้น ลำดับนั้น พระดาบสได้ฟังคำของไสยหะอำมาตย์ แล้วกล่าวว่า ดูก่อนไสยหะ ท่านพูดอะไรนั่น เมื่อจะปฏิเสธ ถ้อยคำของไสยหะอำมาตย์ ได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า :-

อาตมาไม่ปรารถนาแผ่นดิน ที่มีทะเลล้อมรอบ มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต พร้อมกับความ นินทา ดูก่อนไสยหะ ท่านจงทราบอย่างนี้เถิด.

ดูก่อนพราหมณ์ เราติเตียนการได้ยศ การได้ทรัพย์ และความประพฤติ อันไม่เป็นธรรม มีแต่จะให้ถึงความพินาศ.

ถึงแม้จะเป็นบรรพชิต ต้องอุ้มบาตร หาเลี้ยงชีพ แต่ไม่เบียดเบียนใคร ความเป็นอยู่เช่นนั้น ยังดีกว่าการแสวงหา ที่ไม่เป็นธรรม จะดีอะไร.

ถึงแม้จะเป็นบรรพชิต ต้องอุ้มบาตรหา เลี้ยงชีพ แต่ไม่เบียดเบียนใคร ความเป็นอยู่ นั่นแหละ ประเสริฐกว่า ความเป็นพระราชาในโลก.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 690

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สสมุทฺทปริยายํ คือ ที่มีทะเลล้อมรอบ. บทว่า สาครกุณฺฑลํ คือ ที่ประกอบด้วยสาคร อันตั้งแวดล้อมทวีปทั้ง ๔ ดุจกุณฑล ที่เขาประดับไว้ที่จอนหู ฉะนั้น. บทว่า สห นินฺทาย ความว่า โลมสกัสสปดาบสกล่าวว่า อาตมาไม่ปรารถนา แม้มหาปฐพี ที่มีจักรวาลเป็นที่สุด พร้อมด้วยคำนินทานี้ว่า โลมสกัสสปดาบสนี้ ได้ทำปสุฆาตกรรมแล้ว. ด้วยบทว่า ยา วุตฺติ วินิปาเตน โลมกัสสปดาบส แสดงว่า เราติเตียนความเป็นไปแห่งชีวิต คือ ตำหนิความประพฤตินั้น เพราะเป็นกรรม ที่ให้ตกไปในนรก. บทว่า สาเยว ชีวิกา ความว่า ความเป็นอยู่โดยวิธีอุ้มเอาบาตร เดินเข้าไปสู่เรือนของผู้อื่น แสวงหาอาหารของบรรพชิต นั่นแหละ ดีกว่าการได้ยศทรัพย์ และลาภ ตั้งร้อยเท่าพันทวีคูณ. บทว่า อปิ รชฺเชน ตํ วรํ ความว่า การงดเว้น ความชั่วของบรรพชิต ผู้ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้น ประเสริฐกว่าความเป็นพระราชา ในชมพูทวีปทั้งสิ้น.

อำมาตย์ฟังคำของพระดาบสนั้นแล้ว ได้ไปกราบทูลแต่พระราชา พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น ตรัสว่า เมื่อท่านไม่มา เราก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ จึงได้ทรงนิ่งอยู่ ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จมา ในเวลาเที่ยงคืนอีก ประทับอยู่ในอากาศ ตรัสว่า ดูก่อนมหาราช เหตุไร พระองค์จึงไม่บังคับโลมสกัสสปดาบส ให้บูชายัญ. พระราชาตรัสว่า ข้าพระองค์ส่งอำมาตย์ ไปบอกแล้ว แต่ท่านไม่มา ท้าวสักกะตรัสว่า

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 691

ดูก่อนมหาราช ถ้าเช่นนั้น พระองค์จงตกแต่งจันทวดีกุมารี ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระองค์ แล้วมอบให้ไสยหะอำมาตย์ นำไปบอกว่า ถ้าท่านมาบูชายัญ. พระราชาจักพระราชทานพระราชกุมารีนี้ แก่ท่าน พระดาบสนั้น จักมีจิตปฏิพัทธ์ในกุมารี จักมาเป็นแน่ พระราชาได้ทรงสดับ ดังนั้น ทรงรับว่า ดีแล้ว วันรุ่งขึ้น ทรงมอบพระราชธิดาของพระองค์ แก่ไสยหะอำมาตย์ ส่งไปแล้ว ไสยหะอำมาตย์ พาพระราชธิดาไปในที่นั้น ไหว้พระฤๅษี ทำปฏิสันถารแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง แสดงพระราชธิดา ซึ่งงามประดุจเทพอัปสร แก่พระฤๅษี ลำดับนั้น พระดาบส ทำลายอินทรีย์เสียแล้ว แลดูพระราชธิดา พร้อมกับการแลดูนั่นเอง เกิดจิตปฏิพัทธ์ขึ้น แล้วเสื่อมจากฌาน อำมาตย์รู้ว่า พระดาบสมีจิตปฏิพัทธ์ จึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ถ้าท่านบูชายัญ พระราชาจักพระราชทาน พระราชธิดานี้ ให้เป็นบาทบริจาริกาสำหรับท่าน พระดาบสนั้น กำลังหวั่นไหวไปด้วยอำนาจกิเลส จึงถามว่า ได้ยินว่า พระราชาจักพระราชทาน พระราชธิดานี้ แก่เราหรือ? อำมาตย์ตอบว่า ถูกแล้ว พระราชา จักพระราชทานแก่ท่านผู้บูชายัญ พระดาบสกล่าวว่า ดีแล้ว เมื่อเรา ได้พระราชธิดานี้ จักบูชายัญ แล้วสรวมชฎา พาพระราชธิดาขึ้นรถ ที่ประดับงดงาม ไปพระนครพาราณสี.

แม้พระราชาได้สดับว่า พระดาบสมา ก็รับสั่งให้ตั้งพิธีกรรมขึ้น ที่หลุมบูชายัญไว้ สำหรับพระดาบสนั้น ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพระ-

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 692

ดาบสมา ก็ตรัสว่า ท่านบูชายัญในวันพรุ่งนี้ เราจักเป็นผู้เสมอด้วย พระอินทร์ เวลาเสร็จการบูชายัญ เราจักถวายธิดาแก่ท่าน กัสสปดาบส รับคำว่า ดีแล้ว ครั้นในวันรุ่งขึ้น พระราชาพาท่านดาบส ไปที่หลุมบูชายัญ พร้อมกับนางจันทวดี ในหลุมนั้น ได้มีสัตว์ ๔ เท้าทุกอย่าง เช่น ช้าง ม้า โค เป็นต้น ประดิษฐานไว้เป็นลำดับ พระดาบส เริ่มจะฆ่าสัตว์เหล่านั้น ทั้งหมดให้ตาย แล้วบูชายัญ มหาชนที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้น เห็นดังนั้น กล่าวว่า ดูก่อนโลมสกัสสปะ กรรมนี้ไม่เหมาะ ไม่สมควรแก่ท่าน ทำกรรมนั้น เพื่ออะไร แล้วคร่ำครวญกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-

พระจันทร์มีกำลัง พระอาทิตย์มีกำลัง สมณพราหมณ์มีกำลัง ฝั่งแห่งสมุทรก็มีกำลัง หญิงมีกำลัง ยิ่งกว่ากำลังทั้งหลาย.

พระนางจันทวดี ทำให้ฤๅษีชื่อ โลมสกัสสปะ ผู้มีตบะกล้า มาบูชายัญ เพื่อประโยชน์แก่พระราชบิดาได้.

บรรดาบทเหล่านั้น. บทว่า พลํ จนฺโท พลํ สุริโย ความว่า ในการจำกัด ความมืดใหญ่ ชื่อว่ากำลังอย่างอื่น ย่อมไม่มีในการกำจัด ความมืดใหญ่นี้ พระจันทร์ และพระอาทิตย์เท่านั้น มีกำลัง. บทว่า

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 693

สมณพฺราหฺมณา ความว่า ในการอดกลั้นต่อกำลังแห่งอิฏฐารมณ์แล้ว อนิฏฐารมณ์ สมณะพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยกำลัง คือ ขันติ และกำลัง คือ ญาณ ผู้มีบาปอันสงบ และบาปอันลอยแล้ว มีกำลัง. บทว่า พลํ เวลา สมุทฺทสฺส ความว่า ฝั่งแห่งมหาสมุทร ชื่อว่า มีกำลัง เพราะ สามารถที่จะไม่ให้น้ำล้นขึ้นมา และกั้นน้ำเอาไว้ให้พินาศได้. บทว่า พลาติพลมิตฺถิโย ความว่า ส่วนหญิงทั้งหลาย ชื่อว่า มีกำลังยิ่งกว่า กำลังทั้งหมด เพราะสามารถจะพาบุรุษ ที่มีความรู้ดีแต่มีกำหนัดมาสู่ อำนาจของตน แล้วให้พินาศได้ อธิบายว่า กำลังแห่งหญิงเท่านั้น มีมากกว่ากำลังทั้งหมด. ศัพท์ว่า ยถา เท่ากับ ยสฺมา แปลว่า เพราะเหตุใด. บทว่า ปิตุ อตฺถา คือ เพื่อประโยชน์แห่งความเจริญ แก่พระราชบิดา.

ข้อนี้มีอธิบายว่า เพราะนางจันทวดีนี้ กระทำโลมสกัสสปะ ผู้มี ตบะกล้า ผู้ชื่อว่าเป็นฤๅษี เพราะเป็นผู้แสวงหาคุณทั้งหลาย มีศีล เป็นต้น ให้เป็นผู้ไม่มีศีล แล้วให้บูชาวาชเปยยะ คือ ยัญ เพื่อประโยชน์แก่พระราชบิดาได้ ฉะนั้น ข้อนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า หญิงมีกำลังยิ่งกว่า กำลังทั้งหลาย.

ขณะนั้น กัสสปดาบส เงื้อพระขรรค์แก้วขึ้น ด้วยคิดว่า จักฟันคอมงคลหัตถี เพื่อบูชายัญ ช้างเห็นดังนั้น ก็สะดุ้งกลัวต่อมรณภัย จึงร้องเสียงดัง แม้พวกสัตว์นอกนี้ คือ ช้าง ม้า โค เป็นต้น ได้ฟัง

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 694

เสียงร้อง ของช้างมงคลหัตถีนั้น ต่างก็สะดุ้งกลัวต่อมรณภัย จึงได้ร้องลั่น ด้วยความกลัว แม้มหาชนก็พากันร้อง กัสสปดาบส ได้ยินเสียงร้องลั่นใหญ่ ดังนั้น ก็สลดใจ แลดูชฎา เป็นต้นของตน ลำดับนั้น ชฎา หนวด ขนรักแร้ ขนอก ได้ปรากฏแก่พระดาบสนั้น พระดาบสมีความเดือดร้อนใจ คิดว่า เราได้ทำกรรมลามก ไม่สมควรเลย เมื่อจะประกาศความสลด ได้กล่าวคาถาที่ ๘ ว่า :-

กรรมที่ทำด้วยความโลภนั้น เผ็ดร้อน มีกามเป็นเหตุ เราจักค้นหามูลรากของธรรมนั้น จักตัดความกำหนัด พร้อมทั้งเครื่องผูกเสีย.

พึงทราบความแห่งคำ ที่เป็นคาถานั้นว่า ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ กรรมใดที่ข้าพระองค์ทำความโลภ ในนางจันทวดีให้เกิดขึ้น แล้วทำลงด้วยความโลภนั้น กรรมนั้น มีกามเป็นเหตุ เป็นกรรมลามก เผ็ดร้อน มีวิบากแรงกล้า ข้าพระองค์จักค้นหามูลราก กล่าวคือ อโยนิโสมนสิการ ของกรรมนั้น สมควรแล้ว ที่ข้าพระองค์จักชักดาบ คือ ปัญญาออก ตัดความกำหนัดยินดี พร้อมด้วยเครื่องผูกพัน คือ ศุภนิมิตร.

ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระดาบสว่า ดูก่อนสหาย อย่ากลัวเลย เราจักให้นางจันทวดีกุมารี และกองแก้ว ๗ ประการแก่ท่าน ในบัดนี้

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 695

ท่านจงบูชายัญเถิด พระกัสสปดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ไม่ต้องการด้วยกิเลสนี้ แล้วกล่าวคาถาสุดท้าย ว่า :-

ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์ติเตียน กามคุณทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ตบะธรรมเท่านั้น ประเสริฐกว่ากามคุณทั้งหลาย ข้าพระองค์จักละกามคุณทั้งหลายเสีย แล้วบำเพ็ญตบะ ส่วนนางจันทวดี จงอยู่ในแว่นแคว้น ของพระองค์เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุพหูปิ คือ แม้อันมากยิ่ง. บทว่า ตโป กริสฺสามิ คือ จักบำเพ็ญความสำรวมในศีลเท่านั้น.

พระดาบส ครั้นทูลดังนี้แล้ว ได้ประมวลกสิณบริกรรม ทำคุณวิเศษที่เสียไป ให้เกิดขึ้น นั่งบัลลังก์ในอากาศ แสดงธรรมแก่พระราชา กล่าวสอนว่า จงอย่าประมาท แล้วทำลายหลุมบูชายัญ ให้อภัยทาน แก่มหาชน เมื่อพระราชายังวิงวอนอยู่ ได้เหาะไปที่อยู่ของตน เจริญพรหมวิหารธรรมจนตลอดชีวิต ได้มีพรหมโลก เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระศาสดา ครั้นทรงนำ พระธรรมเทศนามาแสดง ดังนี้แล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันตั้งอยู่ในพระ-

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 696

อรหัตตผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ไสยหะมหาอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระสารีบุตร ในบัดนี้ ส่วนโลมสกัสสปดาบส ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบอรรถกถา โลมสกัสสปชาดกที่ ๗