๑๕. มหามังคลชาดก ว่าด้วยมงคล
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 943
๑๕. มหามังคลชาดก
ว่าด้วยมงคล
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 943
๑๕. มหามังคลชาดก
ว่าด้วยมงคล
[๑๔๗๓] นรชนรู้วิชาอะไรก็ดี รู้สุตะทั้งหลาย อะไรก็ดี กระซิบถามกันว่า อะไรเป็นมงคลในเวลาปรารถนามงคล นรชนนั้น จะทำอะไร จึงจะเป็นผู้อันความสวัสดี คุ้มครองแล้ว ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า.
[๑๔๗๔] เทวดา และพรหมทั้งปวง ทีฆชาติ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย อันบุคคลใดอ่อนน้อม อยู่เป็นนิจด้วยเมตตา บัณฑิตทั้งหลายกล่าว เมตตาของบุคคลนั้นแล ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในสัตว์ทั้งหลาย.
[๑๔๗๕] ผู้ใดประพฤติถ่อมตน แก่สัตวโลกทั้งปวง แก่หญิง และชาย พร้อมทั้งเด็ก เป็นผู้อดทนต่อ ถ้อยคำชั่วร้าย ไม่กล่าวลำเลิกถึงเรื่องเก่าๆ บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวความอดกลั้นของผู้นั้นว่า เป็นสวัสดิมงคล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 944
[๑๔๗๖] ผู้ใดเป็นผู้มีปัญญาดี มีความรู้ปรุโปร่ง ในเมื่อเหตุเกิดขึ้น ไม่ดูหมิ่นมิตรสหายทั้งหลาย ด้วยศิลปะ สกุล ทรัพย์ และด้วยชาติ บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวการไม่ดูหมิ่นสหาย ของผู้นั้น ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในสหายทั้งหลาย.
[๑๔๗๗] สัตบุรุษทั้งหลาย เป็นผู้ชอบพอคุ้นเคยกัน เป็นมิตรแท้ของผู้ใด ผู้มีคำพูดมั่นคง อนึ่ง ผู้ใดเป็นผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร แบ่งปันทรัพย์ของตน ให้แก่มิตร บัณฑิตทั้งหลายกล่าว การได้ประโยชน์เพราะอาศัยมิตร และการแบ่งปันของผู้นั้น ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในมิตรทั้งหลาย.
[๑๔๗๘] ภรรยาของผู้ใด มีวัยเสมอกัน อยู่ร่วมกัน ด้วยความปรองดอง ประพฤติตามใจกัน เป็นคนใคร่ธรรม ไม่เป็นหญิงหมัน มีศีล โดยสมควรแก่สกุล รู้จักปรนนิบัติสามี บัณฑิตทั้งหลายกล่าว คุณความดีในภรรยาของผู้นั้น ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในภรรยาทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 945
[๑๔๗๙] พระราชาผู้เป็นเจ้าชีวิต ทรงพระอิสริยยศ ทรงทราบความสะอาด และความขยันหมั่นเพียร ของราชเสวกคนใด และทรงทราบ ราชเสวกคนใด ด้วยความเป็นผู้ไม่ร้าวรานกับพระองค์ และทรงทราบราชเสวกคนใดว่า มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวคุณความดี ของราชเสวกนั้นๆ ว่า เป็นสวัสดิมงคล ในพระราชาทั้งหลาย.
[๑๔๘๐] บุคคลใด มีศรัทธา ให้ข้าวน้ำ ให้ดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้ มีจิตเลื่อมใส บันเทิงใจ บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวคุณข้อนั้น ของบุคคลนั้นแล ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในสวรรค์ทั้งหลาย.
[๑๔๘๑] สัตบุรุษทั้งหลาย ผู้รู้แจ้งด้วยญาณ ผู้ยินดีแล้ว ในสัมมาปฏิบัติ เป็นพหูสูต แสวงหาคุณ เป็นผู้มีศีล ยังบุคคลใดให้บริสุทธิ์ ด้วยอริยธรรม บัณฑิตทั้งหลาย ยกย่องความดีของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 946
สัตบุรุษนั้น ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในท่ามกลางพระอรหันต์.
[๑๔๘๒] ความสวัสดีเหล่านี้แล ผู้รู้สรรเสริญแล้ว มีสุขเป็นผลกำไรในโลก นรชนผู้มีปัญญา พึงเสพความสวัสดีเหล่านั้น ไว้ในโลกนี้ ก็ในมงคล มีประเภท คือ ทิฏฐมงคล สุตมงคล และมุตมงคล มงคลสักนิดหนึ่ง ที่จะเป็นมงคลจริงๆ ไม่มีเลย.
จบ มหามังคลชาดกที่ ๑๕
อรรถกถามหามังคลชาดกที่ ๑๕
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ มหามงคลสูตร จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กึสุ นโร ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในพระนครราชคฤห์ บุรุษผู้หนึ่ง อยู่ท่ามกลางมหาชน ที่ประชุมกัน ณ เรือนรับแขก พูดขึ้นว่า วันนี้มงคลกิริยา จะมีแก่เรา ดังนี้ แล้วลุกขึ้นเดินไป ด้วยกรณียกิจอย่างหนึ่ง บุรุษอีกคน ๑ ได้ฟังคำบุรุษนั้นแล้ว กล่าวว่า บุรุษนี้กล่าวว่า มงคล แล้วก็ไปเสีย อะไรหนอ ที่ชื่อว่ามงคล? บุรุษอีกคน ๑ นอกจาก ๒ คนที่กล่าวแล้ว กล่าวว่า การเห็นรูป เป็นมงคลอย่างยิ่ง ความจริงคนบางคนลุกขึ้นแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 947
เช้าทีเดียว ได้เห็นโคเผือกก็ดี หญิงมีครรภ์นอนอยู่ก็ดี ปลาตะเพียนก็ดี หม้อเต็มด้วยน้ำก็ดี เนยข้นก็ดี เนยใสก็ดี ผ้าใหม่ก็ดี ข้าวปายาสก็ดี การเห็นอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นมงคล นอกจากนี้ ไม่ชื่อว่าเป็นมงคล คนบางพวกก็พากันยินดีถ้อยคำ ที่ผู้นั้นพูดว่า พูดถูก.
อีกคนหนึ่ง คัดค้านว่า นั่นไม่ใช่มงคล การสดับฟังชื่อว่า เป็นมงคล คนบางคน ได้ฟังคำคนกล่าวว่า สมบูรณ์ เจริญ สบาย บริโภคเคี้ยวกิน ดังนี้ การได้ฟังอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นมงคล นอกจากนั้น ไม่ชื่อว่าเป็นมงคล คนบางพวก ก็พากันยินดีถ้อยคำนี้ ผู้นั้นพูดว่า พูดถูก.
อีกคนหนึ่ง คัดค้านว่า นั้นไม่ใช่มงคล การจับต้องชื่อว่าเป็นมงคล ความจริงคนบางคน ลุกขึ้นแต่เช้าทีเดียว ได้จับต้องแผ่นดิน หรือหญ้าเขียวๆ โคมัยสด ผ้าที่สะอาด ปลาตะเพียน ทอง เงิน หรือโภชนะ การจับต้องอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นมงคล นอกจากนี้ ไม่ชื่อว่าเป็นมงคล คนบางพวกก็พากันยินดี ถ้อยคำที่ผู้นั้นพูดว่า พูดถูก. คนทั้งหลาย ได้มีความเห็นแตกต่างกัน เป็น ๓ จำพวก ๓ อย่างนี้ คือ พวกทิฏฐมังคลิกะ พวกสุตมังคลิกะ และพวกมุตมังคลิกะ ต่างไม่อาจมีความเห็น ร่วมกันได้ เทวดาทั้งหลาย ตั้งต้นแต่ภุมมเทวดา ตลอดถึงพรหมโลก ก็ไม่รู้โดยถ่องแท้ว่า สิ่งนี้เป็นมงคล.
ท้าวสักกะทรงพระดำริว่า ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ผู้อื่นนอกจาก พระผู้มีพระภาค ชื่อว่า สามารถที่จะกล่าวแก้ มงคลปัญหานี้ได้ ไม่มี เรา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 948
จักเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลถามปัญหานี้ ครั้นถึงเวลาราตรี ท้าวเธอจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ประคองอัญชลี ทูลถามปัญหา ด้วยคาถาว่า พหู เทวา มนุสฺสา จ ดังนี้ เป็นต้น ลำดับนั้น พระศาสดาตรัส มหามงคล ๓๘ ประการ ด้วยคาถา ๑๒ คาถา แก่ท้าวสักกะ เมื่อมงคลสูตรจบลง เทวดาประมาณแสนโกฏิ ได้บรรลุพระอรหัต ที่เป็นพระโสดาบัน เป็นต้น นับไม่ถ้วน ท้าวสักกะ ทรงสดับมงคลแล้ว เสด็จไปวิมานของพระองค์.
เมื่อพระศาสดาตรัสมงคลแล้ว มนุษย์ พร้อมทั้งเทวดา ก็พากันยินดีว่า ตรัสถูก ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย ประชุมกันสรรเสริญ พระคุณของพระศาสดา ในธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระศาสดาทรงแก้มงคลปัญหา ซึ่งพ้นวิสัยของผู้อื่น ตัดความรำคาญใจของมนุษย์ และเทวดา เสียได้ ดุจยังดวงจันทร์ ให้ตั้งขึ้นในท้องฟ้า ฉะนั้น อาวุโสทั้งหลาย พระตถาคต ทรงมีพระปัญญามากถึงเพียงนี้ พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การแก้มงคลปัญหาของเรา ผู้บรรลุสัมโพธิญาณแล้วในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์ เรานั้น เมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ ประพฤติจริยธรรมอยู่ ได้กล่าวแก้มงคลปัญหา ตัดความสงสัยของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เสียได้ ดังนี้ แล้วทรงนำเอา เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 949
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้อุบัติ ในตระกูลพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ ด้วยทรัพย์สมบัติ ในนิคมตำบลหนึ่ง มารดาบิดาได้ตั้งชื่อให้ว่า รักขิตกุมาร รักขิตกุมารนั้น ครั้นเจริญวัย เรียนศิลปะที่เมืองตักกศิลา สำเร็จแล้ว มีภรรยา เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไป จึงตรวจตราทรัพย์สมบัติ แล้วเกิดความสังเวชใจ ได้ให้ทานเป็นการใหญ่ ละกามเสีย บวชในดินแดนหิมพานต์ ยังฌาน และอภิญญาให้เกิด มีเผือกมัน และผลไม้ในป่า เป็นอาหาร อยู่ ณ ประเทศแห่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์ ได้มีอันเตวาสิก มาเป็นบริวารมากขึ้น โดยลำดับถึง ๕๐๐ คน.
อยู่มาวันหนึ่ง ดาบสเหล่านั้น เข้าไปหาพระโพธิสัตว์นมัสการ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ สมัยเมื่อเป็นฤดูฝน ข้าพเจ้าทั้งหลาย จักลงจากหิมวันตประเทศ จาริกไปตามชนบท เพื่อเสพรสเค็ม และรสเปรี้ยว ด้วยอาการอย่างนี้ ร่างกายของพวกข้าพเจ้า จักแข็งแรง ทั้งจัก เป็นการพักแข้งด้วย เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงไปกันเถิด เราจักอยู่ที่นี่แหละ ดาบสเหล่านั้น จึงนมัสการพระโพธิสัตว์ แล้วลงจากดินแดนหิมพานต์ จาริกไปถึงพระนครพาราณสี อยู่ในพระราชอุทยาน สักการะ และความนับถือ ได้มีแก่ดาบสเหล่านั้น เป็นอันมาก.
ภายหลังวันหนึ่ง มหาชนประชุมกัน ที่เรือนรับแขก ในพระนครพาราณสี ตั้งมงคลปัญหาขึ้น ข้อความทั้งหมด พึงทราบตามนัยแห่งเรื่อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 950
ในปัจจุบันนั่นแหละ ก็ในคราวนั้นมหาชน ไม่เห็นผู้ที่สามารถ จะแก้มงคลปัญหา ตัดความสงสัยของพวกมนุษย์ได้ จึงพากันไปพระราชอุทยาน ถามมงคลปัญหากะหมู่ฤๅษี ฤๅษีทั้งหลายจึงปรึกษากะพระราชาว่า มหาบพิตร อาตมาทั้งหลาย ไม่อาจแก้มงคลปัญหานี้ได้ แต่อาจารย์ของพวกอาตมา ชื่อว่า รักขิตดาบส เป็นผู้มีปัญญามาก อยู่ ณ ดินแดนหิมพานต์ ท่านจักแก้มงคลปัญหานี้ อย่างจับใจของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย พระราชาตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ชื่อว่า ดินแดนหิมพานต์ไกล และไปยาก พวกข้าพเจ้าไม่อาจไปที่นั้นได้ ถ้าจะให้ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย นี่แหละจงไปสำนักอาจารย์ ถามปัญหาแล้ว เรียนจำไว้ กลับมาบอกแก่พวกข้าพเจ้า.
ดาบสเหล่านั้น รับว่า ดีแล้ว แล้วไปสำนักอาจารย์ นมัสการแล้ว เมื่ออาจารย์ทำปฏิสันถารแล้ว ถามถึงคุณธรรมของพระราชา และชนบทที่จาริกไป จึงกราบเรียนอุบัติเหตุแห่งทิฏฐมงคลเป็นต้นนั้น ตั้งแต่ต้นมา แล้วประกาศ ความที่พระราชาอาราธนา และตนอยากจะรู้ปัญหา จึงมาหาอาจารย์ วิงวอนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอโอกาส ขอท่านจงกล่าวมงคลปัญหา ทำให้แจ่มแจ้งแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ลำดับนั้น ดาบสอันเตวาสิกผู้ใหญ่ เมื่อจะถามอาจารย์ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
นรชนรู้วิชาอะไรก็ดี รู้สุตะทั้งหลาย อะไรก็ดี กระซิบถามกันว่า อะไรเป็นมงคลในเวลา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 951
ปรารถนามงคล นรชนนั้น จะทำอย่างไร จึงจะเป็นผู้อันความสวัสดี คุ้มครองแล้ว ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเล ได้แก่ ในเวลาปรารถนามงคล. บทว่า วิชฺชํ ได้แก่ เวท. บทว่า สุตานํ ได้แก่ ปริยัติ ที่ตนควรศึกษา. ศัพท์ว่า จ ในคำว่า อสฺมึ จ นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า โสตฺถาเนน ได้แก่ มงคล อันเป็นเครื่องนำ ความสวัสดีมาให้.
ข้อนี้มีอธิบายว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ นรชนรู้เวทอะไร ในบรรดาเวท ๓ อย่างก็ดี รู้สุตตปริยัติอะไร ในระหว่างสุตะทั้งหลายก็ดี เมื่อต้องการมงคล ยังกระซิบถามกันอยู่ว่า อะไรเป็นมงคล ในเวลาปรารถนามงคล นรชนนั้น จะทำอย่างไร คือในการกระซิบถามกัน เป็นต้นเหล่านั้น จะทำอย่างไร คือโดยนิยามอย่างไร จึงจะเป็นผู้อันความสวัสดี คืออันมงคลที่ปราศจากโทษ คุ้มครองแล้ว คือรักษาแล้ว ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ขอท่านให้ถือเอาประโยชน์โลกนี้ และประโยชน์โลกหน้า แสดงอธิมงคลแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด.
ครั้นอันเตวาสิกผู้ใหญ่ ถามมงคลปัญหาอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ เมื่อจะตัดความสงสัยของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย แสดงมงคล ด้วยพุทธลีลาว่า นี้ด้วย นี้ด้วย เป็นมงคล จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 952
เทวดา และพรหมทั้งปวง ทีฆชาติ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย อันบุคคลใด อ่อนน้อมอยู่เป็นนิจ ด้วยเมตตา บัณฑิตทั้งหลายกล่าว เมตตาของบุคคลนั้นแล ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในสัตว์ทั้งหลาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ได้แก่ อันบุคคลใด. บทว่า เทวา ได้แก่ กามาวจรเทพทั้งหมด ตั้งต้นแต่ภุมมเทพ. บทว่า ปิตโร จ ได้แก่ รูปาวจรพรหมที่เหนือชั้น ขึ้นไปกว่าภุมมเทพนั้น. บทว่า สิรึสปา ได้แก่ ทีฆชาติทั้งหลาย. บทว่า สพฺพภูตานิ จาปิ ได้แก่ สัตว์ทั้งหลาย แม้ทุกจำพวกที่เหลือ จากที่ระบุแล้ว. บทว่า เมตฺตาย นิจฺจํ อปจิตานิ โหนฺติ ความว่า สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น อันบุคคลใดอ่อนน้อม คือนับถืออยู่ด้วยเมตตาภาวนา อันถึงความเป็นอัปปนา ซึ่งเป็นไปแล้ว ด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปตลอด ๑๐ ทิศ. บทว่า ภูเตสุ เว ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวเมตตาภาวนานั้น ของบุคคลนั้นว่า เป็นสวัสดิมงคล ในสรรพสัตว์ทั้งหลาย คือเป็นมงคลที่ปราศจากโทษ อันเป็นไปแล้ว ตลอดกาลนิรันดร.
จริงอยู่ บุคคลผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา ย่อมเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง เป็นผู้ไม่กำเริบเพราะความเพียร ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ บุคคลนั้น จึงเป็นผู้อันมงคลนี้ รักษาคุ้มครอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 953
พระมหาสัตว์ ครั้นแสดงมงคลที่ ๑ ดังนี้แล้ว เมื่อจะแสดงมงคลที่ ๒ เป็นต้น จึงกล่าวคาถาทั้งหลาย เหล่านี้ว่า :-
ผู้ใดประพฤติถ่อมตน แก่สัตว์โลกทั้งปวง แต่หญิง และชาย พร้อมทั้งเด็ก เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำชั่วร้าย ไม่กล่าวลำเลิกถึงเรื่องเก่าๆ บัณฑิตทั้งหลายกล่าว ความอดกลั้นของผู้นั้นว่า เป็นสวัสดิมงคล.
ผู้ใดเป็นผู้มีปัญญาดี มีความรู้ปรุโปร่ง ในเมื่อเหตุเกิดขึ้น ไม่ดูหมิ่น มิตรสหายทั้งหลาย ด้วยศิลปะ สกุล ทรัพย์ และด้วยชาติ บัณฑิตทั้งหลายกล่าว การไม่ดูหมิ่นสหายของผู้นั้น ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในสหายทั้งหลาย.
สัตบุรุษทั้งหลาย เป็นผู้ชอบพอคุ้นเคยกัน เป็นมิตรแท้ของผู้ใด ผู้มีคำพูดมั่นคง อนึ่ง ผู้ใด เป็นผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร แบ่งปันทรัพย์ของตน ให้แก่มิตร บัณฑิตทั้งหลายกล่าว การได้ประโยชน์ เพราะอาศัยมิตร และการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 954
แบ่งปันของผู้นั้น ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในมิตรทั้งหลาย.
ภรรยาของผู้ใด มีวัยเสมอกัน อยู่ร่วมกัน ด้วยความปรองดอง ประพฤติตามใจกัน เป็น คนใคร่ธรรม ไม่เป็นหญิงหมัน มีศีล โดยสมควรแก่สกุล รู้จักปรนนิบัติสามี บัณฑิตทั้งหลายกล่าว คุณความดี ในภรรยาของผู้นั้นว่า เป็นสวัสดิมงคล ในภรรยาทั้งหลาย.
พระราชาผู้เป็นเจ้าชีวิต ทรงพระอิสริยยศ ทรงทราบความสะอาด และความขยันหมั่นเพียร ของราชเสวกคนใด และทรงทราบราชเสวกคนใด ด้วยความเป็นผู้ไม่ร้าวรานกับ พระองค์ และทรงทราบราชเสวกคนใดว่า มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ บัณฑิตทั้งหลาย กล่าว คุณความดีของราชเสวกนั้นๆ ว่า เป็นสวัสดิมงคล ในพระราชาทั้งหลาย.
บุคคลใดมีศรัทธา ให้ข้าวน้ำ ให้ดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้ มีจิตเลื่อมใส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 955
บันเทิงใจ บัณฑิตทั้งหลายกล่าว คุณข้อนั้นของบุคคล นั้นแล ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในสวรรค์ทั้งหลาย.
สัตบุรุษทั้งหลาย ผู้รู้แจ้งด้วยญาณ ผู้ยินดีแล้ว ในสัมมาปฏิบัติ เป็นพหูสูต แสวงหาคุณเป็นผู้มีศีล ยังบุคคลใดให้บริสุทธิ์ ด้วยอริยธรรม บัณฑิตทั้งหลาย ยกย่องความดี ของสัตบุรุษนั้นว่า เป็นสวัสดิมงคล ในท่ามกลางพระอรหันต์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิวาตวุตฺติ คือ เป็นผู้มีความประพฤติถ่อมตน แก่สัตวโลกทั้งปวง ด้วยความเป็นผู้มีจิตอ่อนโยน. บทว่า ขนฺตา ทุรุตฺตานํ คือ เป็นผู้อดกลั้นต่อถ้อยคำชั่วร้าย ที่ผู้อื่นกล่าว. บทว่า อปฺปฏิกูลวาที คือ ไม่กระทำการถือเอา โดยความเป็นคู่ว่า ผู้ชื่อโน้นได้ด่าเรา ผู้ชื่อโน้นได้ประหารเรา กล่าวแต่วาจา ที่สมควรแก่เหตุเท่านั้น. บทว่า อธิวาสนํ ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าว ความอดกลั้นนี้ ของผู้นั้นว่า เป็นสวัสดิมงคล คือ เป็นมงคลที่ปราศจากโทษ.
บทว่า สหายมิตฺเต ได้แก่ ผู้เป็นสหายด้วย ผู้เป็นทั้งสหาย และมิตรด้วย ในบุคคล ๒ จำพวกนั้น ผู้ที่เล่นฝุ่นร่วมกันมา ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 956
สหาย ผู้ที่อยู่ร่วมกัน ๑๐ ปี ๑๒ ปี ชื่อว่าเป็นทั้งสหาย และมิตร ไม่ดูหมิ่นมิตรสหายเหล่านั้น แม้ทั้งปวง ด้วยศิลปะอย่างนี้ว่า เรามีศิลปะ พวกเหล่านี้ไร้ศิลปะ หรือด้วยสกุล กล่าวคือ กุลสมบัติอย่างนี้ว่า เรามีสกุล พวกเหล่านี้ไม่มีสกุล หรือด้วยทรัพย์อย่างนี้ว่า เรามั่งคั่ง พวกเหล่านี้เป็นคนเข็ญใจ หรือด้วยญาติอย่างนี้ว่า เราถึงพร้อมด้วยญาติ พวกเหล่านี้เป็นคนชาติชั่ว.
บทว่า รุจิปญฺโ ได้แก่ ผู้มีปัญญาดี คือ มีปัญญางาม. บทว่า อตฺถกาเล ได้แก่ ในเมื่อมีความต้องการ คือ เหตุบางอย่างเกิดขึ้น. บทว่า มตีมา ความว่า ชื่อว่า เป็นผู้มีความรู้ปรุโปร่ง เพราะเป็นผู้สามารถ ในการกำหนดพิจารณาประโยชน์ คือ สิ่งที่ต้องประสงค์ ไม่ดูหมิ่นสหายเหล่านั้น. บทว่า สหาเยสุ ความว่า โบราณกบัณฑิตทั้งหลายกล่าว การไม่ดูหมิ่นสหายของผู้นั้น ว่า เป็นสวัสดิมงคล ในสหายทั้งหลายโดยแท้.
ถ้าเช่นนั้น ผู้นั้น ย่อมเป็นผู้อันมงคล ที่ปราศจากโทษคุ้มครองแล้ว ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ในข้อนั้น บัณฑิตพึงกล่าว ความสวัสดี เพราะอาศัยสหาย ผู้เป็นบัณฑิต ด้วยกุสนาลิกชาดก
บทว่า สนฺโต ความว่า สัตบุรุษทั้งหลาย ผู้เป็นบัณฑิต เป็นมิตรแท้ของผู้ใด บทว่า สํวิสฺสฏฺา ได้แก่ ผู้ถึงความคุ้นเคย ด้วยสามารถแห่งการเข้าไปสู่เรือนแล้ว ถือเอาสิ่งที่ต้องการแล้ว. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 957
อวิสํวาทกสฺส คือ ผู้มีปกติกล่าวไม่คลาดเคลื่อน. บทว่า น มิตฺตทุพภี ความว่า อนึ่ง ผู้ใดเป็นผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร. บทว่า สํวิภาคี ธเนน คือ กระทำการแบ่งปันทรัพย์ของตน ให้แก่มิตร. บทว่า มิตฺเตสุ ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าว การได้ประโยชน์ เพราะอาศัยมิตร และการแบ่งปัน ของผู้นั้นว่า ชื่อว่า เป็นสวัสดิมงคล ในมิตรทั้งหลาย จริงอยู่ เขาผู้อันมิตรทั้งหลาย เห็นปานนี้ รักษาแล้ว ย่อมถึงซึ่งความสวัสดี ในข้อนั้น บัณฑิตพึงกล่าว ความสวัสดี เพราะอาศัยมิตรทั้งหลาย ด้วยชาดกทั้งหลาย มีมหาอุกกุสชาดก เป็นต้น.
บทว่า ตุลฺยวยา ได้แก่ มีวัยเสมอกัน. บทว่า สมคฺคา ได้แก่ อยู่ร่วมกัน ด้วยความปรองดอง. บทว่า อนุพฺพตา ได้แก่ ประพฤติตามใจกัน. บทว่า ธมฺมกามา ได้แก่ ชอบสุจริตธรรม ๓ ประการ. บทว่า ปชาตา ได้แก่ มีปกติ ยังบุตรให้คลอด คือ ไม่เป็นหญิงหมัน. บทว่า ทาเรสุ ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า มาตุคาม ผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ อยู่ในเรือน ย่อมเป็นสวัสดิมงคลของสามี ในข้อนั้น บัณฑิตพึงกล่าว ความสวัสดี เพราะอาศัยมาตุคามผู้มีศีล ด้วยมณิโจรชาดก สัมพุลชาดก และขัณฑหาลชาดก. บทว่า โสเจยฺยํ แปลว่า ความเป็นผู้สะอาด. บทว่า อเทฺวชฺฌตา ความว่า ทรงทราบราชเสวกคนใด ด้วยความเป็นผู้ไม่ร้าวรานกับพระองค์ คือ ด้วยความเป็นผู้ไม่ร้าวราน เป็นใจ ๒ กับพระองค์อย่างนี้ว่า ราชเสวกนั้น จักไม่แยกกับเรา ออกไปเป็น ๒ ฝ่าย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 958
บทว่า สุหทยํ มมํ ความว่า และทรงทราบราชเสวกคนใดว่า ราชเสวกผู้นี้ มีความจงรักภักดีต่อเรา. บทว่า ราชูสุ เว ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมกล่าวคุณความดี ของราชเสวกนั้นๆ ที่มีอยู่ในพระราชาทั้งหลาย ว่าเป็นความสวัสดิมงคลโดยแท้ บทว่า ททาติ สทฺโธ คือ เชื่อกรรม และผลแห่งกรรมแล้วให้. บทว่า สคฺเคสุ เว ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมกล่าวคุณข้อนั้น ของผู้นั้นว่า เป็นสวัสดิมงคล คือ เป็นมงคลที่ปราศจากโทษในสวรรค์ คือในเทวโลก บัณฑิตพึงกล่าวอ้างข้อนั้น ด้วยเรื่องเปรต และเรื่องวิมานเปรต ให้พิสดาร. บทว่า ปุนนฺติ วทฺธา ความว่า สัตบุรุษทั้งหลาย ผู้รู้แจ้งด้วยญาณ ยังบุคคลใดให้บริสุทธิ์ คือ ให้หมดจดด้วยอริยธรรม
บทว่า สมจริยาย ได้แก่ ในสัมมาปฏิบัติ บทว่า พหุสฺสุตา ได้แก่ ผู้สดับมากเพื่อปฏิเวธ. บทว่า อิสโย ได้แก่ ผู้แสวงหาคุณ. บทว่า สีลวนฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยอริยศีล. บทว่า อรหนฺตมชฺเฌ ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมยกย่องความดี ของสัตบุรุษนั้นว่า เป็นสวัสดิมงคล อันจะพึงได้ ในท่ามกลางพระอรหันต์ จริงอยู่พระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อบอกมรรคที่ตนได้แล้ว ให้ผู้อื่นปฏิบัติ ย่อมยังบุคคลผู้ยินดี ให้บริสุทธิ์ด้วยอริยธรรม แม้ผู้นั้น ก็เป็นพระอรหันต์เทียว.
พระมหาสัตว์ ถือเอายอดแห่งเทศนา ด้วยพระอรหัต แสดงมงคล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 959
แปดด้วยคาถา ๘ คาถาอย่างนี้แล้ว เมื่อจะสรรเสริญมงคลเหล่านั้น จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า :-
ความสวัสดีเหล่านั้นแล ผู้รู้สรรเสริญแล้ว มีสุขเป็นผลกำไรในโลก นรชนผู้มีปัญญา พึงเสพความสวัสดีเหล่านั้นไว้ ในโลกนี้ ก็ในมงคล มีประเภท คือ ทิฏฐมงคล สุตมงคล และมุตมงคล มงคลสักนิดหนึ่ง ที่จะเป็นมงคลจริงๆ ไม่มีเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หิ มงฺคเล ความว่า ก็ในมงคลมีประเภท คือ ทิฏฐมงคล สุตมงคล และมุตมงคลนั้น แม้มงคลนั้น สักนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า เป็นมงคลจริงๆ ไม่มีเลย ก็พระนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น เป็นปรมัตถมงคลจริงๆ.
พระฤๅษีทั้งหลาย สดับมงคลเหล่านั้นแล้ว พอล่วงไปได้ ๗, ๘ วัน ก็พากันลาอาจารย์ ไปในพระราชอุทยานนั้น พระราชาเสด็จไปสำนักพระฤๅษีเหล่านั้น แล้วถามปัญหา พระฤๅษีทั้งหลาย ได้กล่าวแก้มงคลปัญหา ตามทำนองที่อาจารย์บอกมาแด่พระราชา แล้วมาดินแดนหิมพานต์ ตั้งแต่นั้นมา มงคลได้ปรากฏในโลก ผู้ที่ประพฤติในข้อมงคลทั้งหลาย ตายไป ได้เกิดในสวรรค์ พระโพธิสัตว์เจริญพรหมวิหาร ๔ พาหมู่ฤๅษี ไปเกิดในพรหมโลก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 960
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เรากล่าวแก้มงคลปัญหา แม้ในกาลก่อน เราก็กล่าวแก้มงคลปัญหามาแล้ว ดังนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า หมู่ฤๅษีในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ อันเตวาสิกผู้ใหญ่ ผู้ถามมงคลปัญหาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนอาจารย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถา มหามงคลชาดกที่ ๑๕