๖. กาลิงคโพธิชาดก ว่าด้วยการพยากรณ์ที่อันเป็นชัยภูมิ
[เล่มที่ 60] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 264
๖. กาลิงคโพธิชาดก
ว่าด้วยการพยากรณ์ที่อันเป็นชัยภูมิ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 60]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 264
๖. กาลิงคโพธิชาดก
ว่าด้วยการพยากรณ์ที่อันเป็นชัยภูมิ
[๑๗๙๐] พระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่ากาลิงคะ ได้ทรงสั่งสอนมนุษย์ทั่วแผ่นดินโดยธรรม ได้เสด็จไปสู่ที่ใกล้ต้นโพธิ์ ด้วยช้างทรงมีอานุภาพมาก.
[๑๗๙๑] ภารทวาชปุโรหิตชาวกาลิงครัฐ พิจารณาดูภูมิภาคแล้ว จึงประคองอัญชลีกราบทูลพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นบุตรแห่งดาบสชื่อกาลิงคะว่า
[๑๗๙๒] ข้าแต่พระมหาราชา ขอเชิญพระองค์เสด็จลงเถิด ภูมิภาคนี้อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นสมณะทรงสรรเสริญแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้ตรัสรู้โดยยิ่ง มีพระคุณหาประมาณมิได้ ย่อมไพโรจน์ ณ ภูมิภาคนี้.
[๑๗๙๓] หญ้าและเครือเถาทั้งหลายในภูมิภาคส่วนนี้ ม้วนเวียนโดยทักษิณาวัฏ ภูมิภาคส่วนนี้เป็นที่ไม่หวั่นไหวแห่งแผ่นดิน (เมื่อกัลป์จะตั้งขึ้น ย่อมตั้งขึ้นก่อนเมื่อกัลป์พินาศก็พินาศภายหลัง) ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์ได้สดับมาอย่างนี้.
[๑๗๙๔] ภูมิภาคส่วนนี้ เป็นมณฑลแห่งแผ่นดินอันทรงไว้ซึ่งภูตทั้งปวง มีสาครเป็นขอบเขต ขอเชิญพระองค์เสด็จลง แล้วทรงกระทำการนอบน้อมเถิด พระเจ้าข้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 265
[๑๗๙๕] ช้างกุญชรตัวประเสริฐเกิดในตระกูลอุโบสถ ย่อมไม่เข้าไปใกล้ประเทศนั้นเลย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
[๑๗๙๖] ช้างตัวประเสริฐนี้ เป็นช้างเกิดแล้วในตระกูลอุโบสถโดยแท้ ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้ประเทศมีประมาณเท่านี้ได้ ถ้าพระองค์ยังทรงสงสัยอยู่ ก็จงทรงไสช้างพระที่นั่งไปเถิด.
[๑๗๙๗] พระเจ้ากาลิงคะทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงใคร่ครวญถ้อยคำของปุโรหิตผู้ชำนาญการพยากรณ์ว่า เราจักรู้ถ้อยคำของปุโรหิตนี้ว่าจริงหรือไม่จริงอย่างนี้แล้ว ทรงไสช้างพระที่นั่งไป.
[๑๗๙๘] ฝ่ายช้างพระที่นั่งนั้น ถูกพระราชาทรงไสไปแล้ว ก็เปล่งเสียงดุจนกกระเรียนแล้วถอยหลังทรุดคุกลง ดังอดทนภาระหนักไม่ได้.
[๑๗๙๙] ปุโรหิตภารทวาชะชาวกาลิงครัฐรู้ว่า ช้างพระที่นั่งสิ้นอายุแล้ว จึงรีบกราบทูลพระเจ้ากาลิงคะว่า ข้าแต่พระมหาราชา ขอเชิญเสด็จไปทรงช้างพระที่นั่งเชือกอื่นเถิด ช้างพระที่นั่งเชือกนี้สิ้นอายุแล้ว พระเจ้าข้า.
[๑๘๐๐] พระเจ้ากาลิงคะทรงสดับคำนั้นแล้ว จึง รีบเสด็จไปทรงช้างพระที่นั่งเชือกใหม่ เมื่อพระราชา เสด็จก้าวไปพ้นแล้ว ช้างพระที่นั่งที่ตายแล้วก็ล้มลง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 266
ณ พื้นดินที่นั้นเอง ถ้อยคำของปุโรหิตผู้ชำนาญการพยากรณ์เป็นอย่างใด ช้างพระที่นั่งเป็นอย่างนั้น.
[๑๘๐๑] พระเจ้ากาลิงคะได้ตรัสกะพราหมณ์ภารทวาชะชาวกาลิงครัฐอย่างนี้ว่า ท่านเป็นสัมพุทธะ รู้เห็นเหตุทั้งปวงโดยแท้.
[๑๘๐๒] กาลิงคพราหมณ์เมื่อไม่รับคำสรรเสริญนั้นจึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์เป็นผู้ชำนาญการพยากรณ์ชื่อว่า พุทธะ ผู้รู้เหตุทั้งปวงก็จริง.
[๑๘๐๓] แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นพระสัพพัญญูด้วย เป็นพระสัพพวิทูด้วย ย่อมรู้เหตุทั้งปวงด้วยพระญาณเป็นเครื่องกำหนด ข้าพระองค์รู้เหตุทั้งปวงได้เพราะกำลังแห่งอาคม พระพุทธเจ้าทั้งหลายรู้เหตุทั้งปวงได้ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ.
[๑๘๐๔] พระเจ้ากาลิงคะทรงนำเอามาลาและเครื่องลูบไล้พร้อมด้วยดนตรีต่างๆ ไปบูชาพระมหาโพธิ์แล้ว รับสั่งให้กระทำกำแพงแวดล้อม.
[๑๘๐๕] รับสั่งให้เด็ดดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียน มาบูชาโพธิมณฑลอันเป็นอนุตริยะ แล้วเสด็จกลับ.
จบกาลิงคโพธิชาดกที่ ๖
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 267
อรรถกถากาลิงคชาดก (๑)
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภการบูชามหาโพธิ์ที่พระอานนทเถระกระทำแล้ว ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "ราชา กาลิงฺโค จกฺกวตฺติ" ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระตถาคตเสด็จหลีกจาริกไปตามชนบทเพื่อประโยชน์จะทรงสงเคราะห์เวไนยสัตว์ ชาวกรุงสาวัตถีต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นไปยังพระเชตวัน ไม่ได้ปูชนียสถานอย่างอื่น (*จึง) ไปวางไว้ที่ประตูพระคันธกุฎี ด้วยเหตุนั้น เขาก็มีความปราโมทย์กันอย่างยิ่ง ท่านอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีทราบเหตุนั้นแล้ว จึงไปยังสำนักพระอานนทเถระ ในเวลาที่พระตถาคตเสด็จมาพระเชตวัน กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อพระตถาคตเสด็จหลีกจาริกไป พระวิหารนี้ไม่มีปัจจัย มนุษย์ทั้งหลายไม่มีสถานที่บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ขอโอกาสเถิดท่านเจ้าข้า ขอท่านจงกราบทูลความเรื่องนี้แด่พระตถาคต แล้วจงรู้ที่ที่ควรบูชาสักแห่งหนึ่ง พระอานนทเถระรับว่า ดีละ แล้วทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจดีย์มีกี่อย่าง พระศาสดาตรัสตอบว่า มีสามอย่าง อานนท์.
พระอานนทเถระทูลถามว่า สามอย่างอะไรบ้างพระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสว่า ธาตุเจดีย์ ๑ ปริโภคเจดีย์ ๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑ พระอานนทเถระทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป ข้าพระองค์อาจกระทำเจดีย์ได้หรือ พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สำหรับธาตุเจดีย์ไม่อาจทำได้ เพราะธาตุเจดีย์นั้น จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สำหรับอุทเทสิกเจดีย์ ก็ไม่มีวัตถุปรากฏ เป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น ต้นมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าอาศัยเป็นที่ตรัสรู้
(๑) บาลีเป็น กาลิงคโพธิชาดก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 268
ถึงพระพุทธเจ้าจะยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม ปรินิพพานแล้วก็ตาม เป็นเจดีย์ได้เหมือนกัน พระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จหลีกไป พระมหาวิหารเชตวันหมดที่พึ่งอาศัย มนุษย์ทั้งหลายไม่ได้สถานที่เป็นที่บูชา ข้าพระองค์จักนำพืชจากต้นมหาโพธิมาปลูกที่ประตูพระเชตวัน พระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสว่า ดีแล้ว อานนท์ เธอจงปลูกเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น ในพระเชตวันก็จักเป็นดังตถาคตอยู่เป็นนิตย์ พระอานนทเถระบอกแก่พระเจ้าโกศล อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีและนางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นต้น ให้ขุดหลุม ณ ที่เป็นที่ปลูกต้นโพธิที่ประตูพระเชตวัน แล้วกล่าวกะพระมหาโมคคัลลานเถระว่า ท่านขอรับ กระผมจักปลูกต้นโพธิที่ประตูพระเชตวัน ท่านช่วยนำเอาลูกโพธิสุกจากต้นมหาโพธิให้กระผมทีเถิด.
พระมหาโมคคัลลานเถระรับว่า ดีละ แล้วเหาะไปยังโพธิมณฑล เอาจีวรรับลูกโพธิที่หล่นจากขั้วแต่ยังไม่ถึงพื้นดิน ได้แล้วนำมาถวายพระอานนทเถระ พระอานนทเถระได้แจ้งความพระเจ้าโกศลเป็นต้นว่า เราจักปลูกต้นโพธิ์ในที่นี้ พระเจ้าโกศลให้ราชบุรุษถือเครื่องอุปกรณ์ทุกอย่าง เสด็จมาพร้อมด้วยบริวารใหญ่ในเวลาเย็น อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขาและผู้มีศรัทธาอื่นๆ ก็ได้ทำเช่นนั้น.
พระอานนทเถระ ตั้งอ่างทองใบใหญ่ไว้ในที่เป็นที่ปลูกต้นโพธิ ให้เจาะก้นอ่าง แล้วให้ลูกโพธิสุกแด่พระเจ้าโกศล ทูลว่า มหาบพิตร พระองค์จงทรงปลูกโพธิสุกนี้เถิด พระเจ้าโกศลทรงพระดำริว่า ความเป็นพระราชามิได้ดำรงอยู่ตลอดไป ควรที่เราจะให้อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีปลูกต้นโพธินี้ ทรงดำริดังนี้แล้วได้วางลูกโพธิสุกนั้นไว้ในมือของมหาเศรษฐี อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีรวบรวมเปือกตมที่มีกลิ่นหอมแล้วฝังลูกโพธิสุกไว้ในเปือกตมนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 269
พอลูกโพธิพ้นมือมหาเศรษฐี เมื่อชนทั้งปวงกำลังแลดูอยู่ ได้ปรากฏลำต้นโพธิประมาณเท่างอนไถ สูงห้าสิบศอก แตกกิ่งใหญ่ห้ากิ่งๆ ละห้าสิบศอก คือในทิศทั้งสี่และเบื้องบน ต้นโพธินั้นเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าต้นไม้ใหญ่ในป่า ตั้งขึ้นในทันใดนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้.
พระราชารับสั่งให้เอาหม้อทองคำและหม้อเงิน ๘๐๐ หม้อ ใส่น้ำหอมเต็มประดับด้วยดอกบัวเขียวสูงขึ้นมาหนึ่งศอกเป็นต้นตั้งเป็นแถวแวดล้อมต้นมหาโพธิ แล้วรับสั่งให้ทำแท่นสำเร็จด้วยรัตนะเจ็ด โปรยปรายผสมทอง สร้างกำแพงล้อมรอบ ทำซุ้มประตูสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ เครื่องสักการะได้มีเป็นอันมาก พระอานนทเถระเข้าไปเฝ้าพระตถาคต กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงประทับนั่ง ณ โคนต้นโพธิ์ที่ข้าพระองค์ปลูก เข้าสมาบัติที่พระองค์เข้า ณ โคนต้นมหาโพธิ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน พระศาสดาตรัสว่า พูดอะไร อานนท์ เมื่อเรานั่งเข้าสมาบัติที่ได้เข้าแล้ว ณ มหาโพธิมณฑล ประเทศอื่นก็ไม่อาจที่จะทรงอยู่ได้ พระอานนท์เถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน ขอพระองค์จงใช้สอยโคนต้นโพธิ์นั้นด้วยความสุขเกิดแต่สมาบัติ โดยกำหนดว่าใกล้ภูมิประเทศนี้เถิด พระศาสดาทรงใช้สอยโคนต้นโพธินั้นด้วยความสุขเกิดแต่สมาบัติตลอดราตรีหนึ่ง.
พระอานนท์เถระถวายพระพรแด่พระเจ้าโกศลเป็นต้นให้ทำการฉลองต้นโพธิ และต้นโพธิ์แม้นั้นก็ปรากฏว่า อานนทโพธิทีเดียว เพราะเป็นต้นไม้ที่พระอานนท์ปลูกไว้ ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ท่านพระอานนท์ เมื่อพระตถาคตยังดำรงอยู่ ให้ปลูกต้นโพธิ์แล้วบูชาอย่างมากมาย พระเถระมีคุณมากน่าอัศจรรย์จริง พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 270
ทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนอานนท์ก็ได้พามนุษย์ในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ พร้อมด้วยทวีปบริวาร ให้นำของหอมและดอกไม้เป็นอันมากไปกระทำการฉลองต้นโพธิ์ ณ มหาโพธิมณฑลเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล พระเจ้ากาลิงคราชเสวยราชสมบัติอยู่ในทันตปุรนคร แคว้นกาลิงคะ พระองค์มีพระราชโอรสของพระองค์ คือมหากาลิงคะ องค์หนึ่ง จุลลกาลิงคะ องค์หนึ่ง ในสององค์นั้น องค์พี่ พวกโหรทำนายว่า จักได้ครองราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาล่วงลับไปแล้ว แต่องค์น้อง พวกโหรทำนายว่า จักบวชเป็นฤาษีเที่ยวภิกขาจาร แต่โอรสขององค์น้องจักได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิ.
ต่อมาภายหลัง เมื่อพระราชบิดาล่วงลับไป พระราชโอรสองค์พี่เป็นพระราชา องค์น้องเป็นอุปราช อุปราชนั้นได้มีมานะขึ้นเพราะบุตรเป็นเหตุว่า ได้ยินว่า ลูกของเราจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระราชานั้นทรงอดทนอยู่ไม่ได้จึงรับสั่งกะอำมาตย์รับใช้คนหนึ่งว่า เจ้าจงจับเจ้าจุลลกาลิงคะ อำมาตย์นั้นไปกราบทูลว่า ข้าแต่พระกุมาร พระราชาประสงค์จะจับพระองค์ ขอจงรักษาชีวิตของพระองค์ไว้ อุปราชได้เอาของสามอย่างของพระองค์ คือพระราชลัญจกร ผ้ากัมพลเนื้อละเอียดและพระขรรค์ แสดงแก่อำมาตย์รับใช้ แล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายพึงให้ราชสมบัติแก่บุตรของเราด้วยสัญญานี้ แล้วเสด็จเข้าป่า สร้างอาศรมในภูมิประเทศที่รื่นรมย์ บวชเป็นฤาษีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ.
แม้ในแคว้นมัททราช พระอัครมเหสีของพระเจ้ามัททราชในสาคลนคร ประสูติพระธิดา พวกโหรทำนายพระธิดาว่า พระธิดานี้ จักเที่ยวภิกขาจาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 271
เลี้ยงชีพ แต่พระโอรสของพระนางจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระราชาชาวชมพูทวีปได้สดับเหตุดังนั้น จึงมาล้อมพระนครพร้อมกัน พระเจ้ามัททราชทรงดำริว่า ถ้าเราให้ธิดานี้แก่พระราชาองค์หนึ่ง พระราชาที่เหลือก็จักโกรธ เราจักรักษาธิดาของเราไว้ จึงพาพระธิดาและพระอัครมเหสีปลอมพระองค์หนีเข้าป่า สร้างอาศรมอยู่ทางเหนืออาศรมของกาลิงคกุมาร เลี้ยงชีพด้วยมวลผลาหารอยู่ ณ ที่นั้น พระชนกชนนีทรงดำริว่า เราจักรักษาธิดาอยู่ในอาศรม แล้วไปหาผลาหาร ในเวลาที่พระชนกชนนีไป พระธิดาได้เอาดอกไม้ต่างๆ มาทำเป็นเทริดดอกไม้แล้ววางไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา จนเกิดเป็นเหมือนคั่นบันได ที่นั้นมีต้นมะม่วงที่งามชอุ่มอยู่ต้นหนึ่ง พระธิดาขึ้นเล่นบนต้นมะม่วง แล้วปาเทริดดอกไม้ไป.
วันหนึ่ง เทริดดอกไม้ไปคล้องพระเศียรของกาลิงคกุมารผู้กำลังสรงสนานอยู่ในแม่น้ำคงคา กาลิงคกุมารแลดูแล้วทรงพระดำริว่า เทริดดอกไม้นี้ หญิงคนหนึ่งกระทำ แต่ไม่ใช่หญิงแก่ทำ เป็นหญิงสาวทำ เราจักตรวจตราดูก่อน จึงไปเหนือน้ำคงคาด้วยอำนาจกิเลส ได้สดับเสียงของพระธิดาผู้นั่งอยู่บนต้นมะม่วงร้องเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ จึงเสด็จไปที่โคนต้นไม้ ทอดพระเนตรเห็นพระธิดา จึงตรัสถามว่า แม่นางผู้มีพักตร์อันเจริญ ท่านเป็นใคร พระธิดาตอบว่า เราเป็นมนุษย์ พระกุมารตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงลงมา พระธิดาตรัสว่า นาย เราเป็นกษัตริย์ไม่อาจลงไปได้ พระกุมารตรัสว่า ที่รัก ฉันเป็นกษัตริย์เหมือนกัน ท่านจงมาเถิด พระธิดาตรัสว่า นาย คนมิใช่เป็นกษัตริย์ได้ด้วยเหตุสักว่าถ้อยคำเท่านั้น ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ ขอท่านจงกล่าวมายาของกษัตริย์เถิด ชนทั้งสองนั้นต่างกล่าวมายากษัตริย์กะกันและกัน เมื่อชนทั้งสองอยู่ด้วยความรักใคร่ พระราชธิดาก็ตั้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 272
ครรภ์ โดยครบ ๑๐ เดือนก็ประสูติพระราชโอรส ซึ่งสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะอันอุดม พระชนกชนนีได้ขนานนามว่า กาลิงคะ กาลิงคกุมารนั้นเจริญวัย สำเร็จการศึกษาศิลปวิทยาทุกอย่างในสำนักของพระชนกและพระอัยกา ลำดับนั้น พระชนกของกาลิงคกุมารนั้น ตรวจดูดวงดาวก็ทราบว่าพี่ชายสวรรคตแล้ว จึงบอกบุตรว่า พ่ออย่าอยู่ในป่าเลย พระเจ้ามหากาลิงคะผู้เป็นลุงของพ่อ สวรรคตแล้ว พ่อจงไปยังทันตปุรนคร ครองราชสมบัติสืบสันตติวงศ์เถิด แล้วมอบพระธำมรงค์ ผ้ากัมพลและพระขรรค์ ซึ่งพระองค์นำมาให้แล้วตรัสสั่งว่า พ่อ ในทันตปุรนคร อำมาตย์ผู้ประพฤติประโยชน์ของเรามีอยู่ที่ถนนโน้น พ่อจงเหาะลงไปที่กลางที่นอนในเรือนของเขา แล้วแสดงรัตนะสามประการนี้ แล้วบอกความที่เจ้าเป็นโอรสของเราแก่เขา เขาจักช่วยเจ้าให้ได้ครองราชสมบัติ.
กาลิงคกุมารนั้น กราบลาพระชนกชนนีและอัยกาแล้ว เหาะไปด้วยบุญฤทธิ์ลงนั่งเหนือที่นอนของอำมาตย์ ถูกถามว่า ท่านเป็นใคร จึงบอกว่า เราเป็นบุตรของจุลลกาลิงคะ แล้วแสดงรัตนะสามนั้น อำมาตย์จึงประกาศแก่ราชบริษัท อำมาตย์และราชบริษัททั้งหลายพร้อมกันประดับประดาพระนครนั้น อภิเษกกาลิงคกุมารให้ครองราชสมบัติ.
ลำดับนั้น ปุโรหิตชื่อว่า ภารทวาชะ ของพระเจ้ากาลิงคะได้กราบทูลวัตรสำหรับพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๐ ประการให้พระเจ้ากาลิงคะทรงทราบ พระเจ้ากาลิงคะนั้น ทรงบำเพ็ญจักรวัตรนั้นให้บริบูรณ์แล้ว ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ จักรแก้วก็มาจากที่อยู่ของจักรแก้ว ช้างแก้วก็มาจากตระกูลอุโปสถ ม้าแก้วก็มาจากตระกูลอัศวราชวลาหก แก้วมณีก็มาจากเขาเวปุลลบรรพต นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว ก็บังเกิดปรากฏแก่พระเจ้ากาลิงคะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 273
พระเจ้าจักรพรรดิกาลิงคราชทรงครองราชสมบัติตลอดห้องจักรวาล วันหนึ่ง มีเสนาแวดล้อมเต็มไปในที่ประมาณ ๓๖ โยชน์ เสด็จขึ้นทรงช้างเผือกขาวเปรียบด้วยยอดเขาไกรลาส ไปสู่สำนักพระชนกชนนีด้วยสิริวิลาสใหญ่.
ฝ่ายช้างพระที่นั่งพระเจ้าจักรพรรดินั้น ไม่อาจเหาะข้ามมหาโพธิมณฑลอันเกิดแต่สะดือแผ่นดิน อันเป็นไชยมงคลของพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้ พระเจ้าจักรพรรดิราชทรงไสไปเนืองๆ แต่ช้างทรงนั้นก็ไม่อาจที่จะไปได้.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ว่า.
"พระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า กาลิงคะ ได้ทรงสั่งสอนมนุษย์ทั่วแผ่นดินโดยธรรม ได้เสด็จไปสู่ที่ใกล้ต้นโพธิด้วยช้างทรงมีอานุภาพมาก".
ลำดับนั้น ปุโรหิตของพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งตามเสด็จไปด้วยคิดว่า ธรรมดาว่าทางอากาศไม่มีเครื่องกั้น เพราะเหตุไรหนอ พระราชาจึงไม่อาจจะไสช้างไปได้ เราจักตรวจตราดู แล้วลงจากอากาศตรวจตราเห็นภูมิภาคอันเป็นมณฑลสะดือแผ่นดิน มีชัยบัลลังก์ของพระพุทธเจ้าทั้งปวง.
ได้ยินว่าในครั้งนั้น ขึ้นชื่อว่า ต้นหญ้าแม้สักเท่าหนวดกระต่ายมิได้มีในที่มีประมาณ ๘ กรีสนั้นเลย มีแต่ทรายอันมีสีเหมือนแผ่นเงินเรี่ยรายอยู่ หญ้าเครือเถาไม้ใหญ่โดยรอบที่นั้นมียอดเวียนประทักษิณโพธิมณฑล แล้วตั้งอยู่เฉพาะหน้าโพธิมณฑล.
ปุโรหิตตรวจดูภูมิภาคแล้วคิดว่า แท้จริง ที่นี้เป็นที่ๆ กำจัดกิเลสทั้งปวงของพระพุทธเจ้าทั้งปวง แม้ถึงใครๆ มีท้าวสักกะเป็นต้นก็ไม่อาจที่จะเหาะข้ามที่นี้ไปได้ จึงไปเฝ้าพระเจ้ากาลิงคราช แสดงคุณของพระโพธิมณฑล แล้วกราบทูลพระราชาว่า เสด็จลงเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 274
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า.
"ภารทวาชปุโรหิตพิจารณาดูภูมิภาคแล้ว จึงประคองอัญชลีกราบทูลพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็นบุตรแห่งดาบสชื่อว่า กาลิงคะ ว่า".
"ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอเชิญพระองค์เสด็จลงเถิด ภูมิภาคนี้อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นสมณะทรงสรรเสริญแล้ว พุทธเจ้าทั้งหลายผู้ตรัสรู้โดยยิ่ง มีพระคุณหาประมาณมิได้ ย่อมไพโรจน์ ณ ภูมิภาคนี้".
"หญ้าและเครือเถาทั้งหลายในภูมิภาคส่วนนี้ ม้วนเวียนโดยรอบทักษิณาวัฏ ภูมิภาคส่วนนี้เป็นที่ไม่หวั่นไหวแห่งแผ่นดิน ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์สดับมาอย่างนี้".
"ภูมิภาคส่วนนี้ เป็นมณฑลแห่งแผ่นดิน อันทรงไว้ซึ่งภูตทั้งปวง มีสาครเป็นขอบเขต ขอเชิญพระองค์เสด็จลงแล้ว กระทำการนอบน้อมเถิด พระเจ้าข้า".
"ช้างกุญชรเชือกประเสริฐเกิดในตระกูลอุโปสถ ย่อมไม่เข้าไปใกล้ประเทศเลย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้".
"ช้างเชือกประเสริฐเป็นช้างเกิดในตระกูลอุโบสถโดยแท้ ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้ประเทศมีประมาณเท่านี้ได้ ถ้าพระองค์ยังทรงสงสัยอยู่ ก็จงทรงไสช้างพระที่นั่งไปเถิด".
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 275
"พระเจ้ากาลิงคะทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงใคร่ครวญถ้อยคำของปุโรหิตผู้ชำนาญการพยากรณ์ว่า เราจักรู้ถ้อยคำของปุโรหิตนี้ว่า จริงหรือไม่จริง อย่างนี้แล้ว ทรงไสพระที่นั่งไป".
"ฝ่ายช้างพระที่นั่ง ถูกพระราชาไสไปแล้ว ก็เปล่งเสียงดุจนกกระเรียนแล้วถอยหลังทรุดคุกลง ดังอดทนภาระหนักไม่ได้ฉะนั้น".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมณโกลญฺํ แปลว่า บุตรแห่งดาบส.
บทว่า จกฺกวตฺตยโต ความว่า ผู้มีมานะว่า เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อธิบายว่า เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ.
บทว่า ปริคฺคเหตฺวา ความว่า ตรวจดูภูมิภาค.
บทว่า สมณุคีโต ความว่า อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงพรรณนาแล้ว.
บทว่า อนธิวรา แปลว่า ผู้มีคุณอันชั่งมิได้ ประมาณมิได้.
บทว่า วิโรจนฺติ ความว่า ผู้กำจัดความมืด คือกิเลสทั้งปวงได้แล้ว ย่อมนั่งรุ่งเรืองอยู่ในภูมิภาคส่วนนี้ เหมือนพระสุริโยทัยทอแสงอ่อนๆ ฉะนั้น.
บทว่า ติณลตา ได้แก่ หญ้าและเครือเถา.
บทว่า มณฺโฑ ความว่า เป็นมณฑลแห่งแผ่นดินหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ เป็นสาระไม่ถูกอะไรๆ ครอบงำได้ เป็นสถานที่ไม่หวั่นไหว เมื่อกัปยังดำรงอยู่ก็ดำรงอยู่ก่อน เมื่อกัปพินาศก็พินาศในภายหลัง.
บทว่า อิติ โน สุตํ ความว่า ข้าพระองค์ได้สดับมาแล้วด้วยลักษณะมนต์อย่างนี้.
บทว่า โอโรหิตฺวา ความว่า ขอเชิญพระองค์ลงจากอากาศแล้วจงกระทำการนอบน้อม คือกระทำการบูชาสักการะต่อสถานที่ เป็นที่กำจัดกิเลสของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นี้.
บทว่า เย เต ความว่า ช้างประเสริฐตัวบังเกิดในตระกูลอุโบสถ กล่าวคือช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 276
บทว่า เอตฺตาวตา ความว่า ช้างเชือกประเสริฐทั้งหมดนั้น ย่อมไม่ไปใกล้ประเทศมีประมาณเท่านี้ได้เลย แม้จะถูกตักเตือนก็ไม่เข้าไป.
บทว่า อภิชาโต ความว่า ช้างเชือกประเสริฐนี้ ในตระกูลอุโปสถ ครอบงำ ก้าวล่วง ตระกูลช้างทั้ง ๘ มีโคจริยาเป็นต้น.
บทว่า กุญฺชรํ แปลว่า ชนิดสูงสุด.
บทว่า เอตฺตาวตา ความว่า ช้างประเสริฐนี้ ไม่สามารถเข้าไปประเทศมีประมาณเท่านี้ได้ คือไม่อาจเข้าไปให้ยิ่งกว่านั้นไปได้ พระองค์เมื่อหวังเฉพาะจงให้สัญญาด้วยขอเพชรแล้วไสไป.
บทว่า เวยฺยญฺชนิกวโจ นิสาเมตฺวา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นั้น ทรงตรวจตราใคร่ครวญถ้อยคำของกาลิงคภารทวาชปุโรหิตนั้น ผู้เชี่ยวชาญชำนาญในการพยากรณ์ลักษณะแล้ว ใคร่ครวญพิจารณาว่า เราจักรู้คำของผู้นี้เป็นความหรือไม่จริงดังนี้ จึงไสช้างพระนั่งไป.
บทว่า โกญฺโจว อภินทิตฺวา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างเชือกประเสริฐนั้น อันพระราชาทรงเตือนแล้วด้วยขอประดับเพชรแล้วไสไป จึงเปล่งเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียน ถอยไป ชูงวงขึ้นน้อมคอเข้าไป นั่งอยู่บนอากาศนั่นเอง ทำเป็นเหมือนไม่อาจจะนำภาระหนักไปได้.
ช้างพระที่นั่งนั้น เมื่อถูกพระเจ้าจักรพรรดิทิ่มแทงอยู่บ่อยๆ ไม่อาจจะอดกลั้นทุกขเวทนา ได้ทำกาละแล้ว.
ส่วนพระเจ้ากาลิงคะ เมื่อไม่ทราบว่าช้างทรงถึงแก่ความตาย จึงคงประทับอยู่ ณ ที่นั้น ปุโรหิตภารทวาชะ ชาวกาลิงคะ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ช้างพระที่นั่งของพระองค์สิ้นชีวิตแล้ว ขอพระองค์ทรงก้าวไปสู่ช้างเชือกอื่นเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถาที่ ๑๐ ว่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 277
"ปุโรหิตภารทวาชะ กาลิงครัฐ รู้ว่าช้างพระที่นั่งสิ้นอายุแล้ว จึงรีบกราบทูลพระเจ้ากาลิงคะว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอเชิญเสด็จไปทรงช้างพระที่นั่งเชือกอื่นเถิด ช่างพระที่นั่งเชือกนี้สิ้นอายุแล้ว พระเจ้าข้า".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโค ขณายุโก ความว่า ช้างเชือกประเสริฐของพระองค์ ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว เพราะเมื่อพระราชาจะทรงทำพระราชกิจอะไรๆ ไม่สามารถประทับนั่งบนหลังได้ ขอพระองค์จงทรงก้าวไปทรงช้างประเสริฐเชือกอื่น เพื่อเสด็จไปโดยที่สุดแห่งโพธิมณฑล.
ด้วยกำลังพระฤทธิ์ของพระเจ้ากาลิงคะ ช้างเชือกประเสริฐอื่นก็มาจากตระกูลอุโปสถแล้วน้อมหลังเข้าไปใกล้พระเจ้ากาลิงคะ พระเจ้ากาลิงคะเสด็จประทับนั่งบนหลังของช้างเชือกนั้น ขณะนั้น ช้างเชือกที่ตายก็ล้มลงไปบนพื้นดิน.
พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถาอีกว่า.
"พระเจ้ากาลิงคะทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงรีบเสด็จไปทรงช้างพระที่นั่งเชือกใหม่ เมื่อพระราชาเสด็จก้าวไปพ้นแล้ว ช้างพระที่นั่งที่ตายแล้วก็ล้มลง ณ พื้นดินที่นั่นเอง ถ้อยคำของปุโรหิตผู้ชำนาญการพยากรณ์เป็นอย่างใด ช้างพระที่นั่งเป็นอย่างนั้น".
ลำดับนั้น พระเจ้ากาลิงคราชจึงเสด็จลงจากอากาศ แล้วทอดพระเนตรดูโพธิมณฑล เห็นปาฏิหาริย์ เมื่อจะทรงสรรเสริญปุโรหิตภารทวาชะจึงตรัสว่า.
"พระเจ้ากาลิงคะ ได้ตรัสกะพราหมณ์ภารทวาชะ ชาวกาลิงครัฐ อย่างนี้ว่า ท่านเป็นสัมพุทธะ รู้เหตุทั้งปวงโดยแท้".
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 278
พราหมณ์ปุโรหิตมิได้รับคำสรรเสริญนั้น ตั้งตนไว้ในฐานะอันต่ำ แล้วกล่าวสรรเสริฐพระพุทธคุณเท่านั้น.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า.
"กาลิงคพราหมณ์ เมื่อไม่รับคำสรรเสริญนั้น จึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์เป็นผู้ชำนาญการพยากรณ์ชื่อว่า พุทธะ ผู้รู้เหตุทั้งปวงก็จริง".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวยฺยญฺชนิกา ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์เห็นพยัญชนะแล้ว เป็นผู้สามารถพอพยากรณ์ได้ ชื่อว่า สุคตพุทธะ (* รู้เพราะพระสุคต) ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ก็พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้เหตุทั้งปวง เป็นผู้รู้ธรรมทั้งปวง ความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบและทรงรู้แจ้งเหตุทั้งปวงต่างด้วยอดีตเหตุเป็นต้น คือพระพุทธเจ้าเหล่านั้นย่อมรู้สิ่งทั้งปวงด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ไม่ใช่รู้โดยลักษณะ ส่วนข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นผู้สามารถในอาคม (นิกายเป็นที่มา) รู้ด้วยกำลังศิลปะเท่านั้น และรู้เพียงเอกเทศเดียวเท่านั้น ส่วนพระพุทธเจ้าทั้งหลายรู้เหตุทั้งปวงแล.
พระเจ้ากาลิงคะได้สดับพุทธคุณแล้วเกิดโสมนัส จึงให้ชนผู้อยู่ในสกลจักรวาลนำของหอมและมาลาเป็นอันมาก มากระทำการบูชาพระมหาโพธิมณฑล สิ้น ๗ วัน.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้นจึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า.
"พระเจ้ากาลิงคะ ทรงนำเอามาลาและเครื่องลูบไล้พร้อมด้วยดนตรีต่างๆ ไปบูชาพระมหาโพธิ์แล้ว รับสั่งให้กระทำกำแพงแวดล้อมไว้".
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 279
"รับสั่งให้เก็บดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียน มาบูชาโพธิมณฑลอันเป็นอนุตริยะ แล้วเสด็จกลับ".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปายาสิ ความว่า ท้าวเธอได้เสด็จไปยังสำนักของพระชนกชนนีแล้ว ทรงรับสั่งให้ยกเสาทองคำสูงประมาณ ๑๘ ศอก ณ มหาโพธิมณฑล แล้วให้สร้างเวทีแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ถวายพระมหาโพธินั้น เกลี่ยทรายเจือด้วยแก้ว ให้สร้างกำแพงล้อมไว้ ให้สร้างซุ้มประตู ให้รวบรวมดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียนทุกวันๆ แล้วบูชาโพธิมณฑลด้วยประการฉะนี้.
แต่ในบาลีมาเพียงเท่านี้ว่า สฏฺิวาหสหสฺสานิ ปุปฺผานํ ดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียน.
พระเจ้ากาลิงคะ ครั้นทรงทำการบูชาพระมหาโพธิอย่างนี้แล้ว เสด็จไปหาพระชนกชนนี มาสู่เมืองทันตุปุระแล้วบำเพ็ญกุศลทั้งหลายมีทานเป็นต้น สิ้นพระชนม์แล้วบังเกิดในดาวดึงสพิภพ.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า อานนท์ได้ทำการบูชาโพธิมณฑลในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนอานนท์ก็ได้กระทำการบูชาโพธิมณฑลแล้วเหมือนกัน แล้วตรัสประชุมชาดกว่า พระเจ้ากาลิงคะในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนปุโรหิตชื่อว่าภารทวาชะชาวกาลิงคะ คือเราตถาคตแล.
จบอรรถกถากาลิงคชาดก