เหตุใดโสมนัสสันตีรณกุศลวิบากจึงทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติกิจไม่ได้
.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก แสดงถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ ซึ่งไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน และเป็นการยากมากที่จะเข้าใจตามความเป็นจริง แม้แต่ในขณะนี้ สันตีรณจิต ก็มี แต่ไม่รู้ เมื่อไม่สามารถจะประจักษ์ลักษณะของสันตีรณจิตได้ ก็เพียงฟังให้เข้าใจว่า มีจิตประเภทนี้จริงๆ ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ไม่ใช่เราเลย
สันตีรณจิต มี ๓ ประเภท เป็นอกุศลวิบาก ๑ และ เป็นกุศลวิบาก ๒ คือ
อุเบกขาสันตีรณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง
อุเบกขาสันตีรณ กุศลวิบาก ๑ ดวง
โสมนัสสันตีรณ กุศลวิบาก ๑ ดวง
ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว จิตบางดวง ทำกิจได้หลายกิจ
สำหรับสันตีรณจิตมี ๓ ดวง แต่ทำได้ ๕ กิจ ซึ่งจะต้องแยกประเภทกัน เพราะเหตุว่าสำหรับอุเบกขาสันตีรณจิตเท่านั้น ที่ทำได้ถึง ๕ กิจ
สำหรับอุเบกขาสันตีรณจิตที่ทำได้ ๕ กิจ คือ ทำปฏิสนธิกิจได้ ๑ ทำภวังคกิจได้ ๑ ทำจุติกิจได้ ๑ ทำสันตีรณกิจได้ ๑ ทำตทาลัมพนกิจได้ ๑
สันตีรณจิตดวงที่ ๑ และดวงที่ ๒ (อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากและอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก) เท่านั้น ที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติได้ สันตีรณจิตทั้ง ๓ ประเภททำกิจพิจารณาอารมณ์ (สันตีรณกิจ) ได้ ส่วนโสมนัสสันตีรณจิตกระทำสันตีรณกิจเมื่ออารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ที่น่ายินดียิ่ง
และจากคำถามที่ว่า ทำไมโสมนัสสันตีรณจิตไม่สามารถทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติได้ เหมือน อุเบกขาสันตีรณจิต?
โสมนัสสันตีรณกุศลวิบากจิต ทํากิจปฏิสนธิไม่ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า หากเป็นโสมนัสเวทนาแล้ว เป็นเวทนาที่มีกำลัง ย่อมจะทำกิจปฏิสนธิ ในมหาวิบาก ที่เป็น กุศลวิบากที่เป็นโสมนัส ครับ เพราะโสมนัสเวทนา มีกำลังกว่า อุเบกขาเวทนา ดังนั้น เมื่อโสมนัสเวทนา เป็นเวทนาที่มีกำลัง ย่อมไม่คู่ควร กับจิตที่มีกำลังอ่อน ที่ไม่ประกอบด้วยเหตุเลย ที่เป็น สันตีรณจิต ที่จะทำกิจปฏิสนธิ แต่ย่อมคู่ควร กับ มหาวิบากที่เป็นกุศล ที่มีกำลัง ที่เป็นโสมนัส ที่จะทำกิจปฏิสนธิ ครับ ส่วนอุเบกขาเวทนา เป็นเวทนาที่มีกำลังอ่อนกว่า โสมนัส ย่อมคู่ควรกับ จิตที่เป็นสันตีรณจิต ที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ จึงทำกิจปฏิสนธิได้ครับ
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ครับ
สัมปฏิจฉันนจิต - สันตีรณจิต กับ ปฏิสนธิกิจ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงความเป็นจริงของธรรม ตามความเป็นจริง จิตใด ทำกิจใด ไม่มีใครที่จะเข้าใจได้ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ฟังผู้ศึกษาก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เท่าที่จะเข้าใจได้ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา เพราะเป็นแต่เพียงจิตแต่ละขณะๆ ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...