พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. จูฬสีหนาทสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  27 ส.ค. 2564
หมายเลข  36014
อ่าน  1,121

[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 1

สีหนาทวรรค

๑. จูฬสีหนาทสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 18]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 1

๑. จูฬสีหนาทสูตร

[๑๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้ว. ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว.

สมณะ ๔ จําพวก

[๑๕๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในพระศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นว่าง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 2

เปล่าจากพระสมณะผู้รู้ทั่วถึง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงบันลือสีหนาทโดยชอบอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ทีเดียว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ในโลกนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อะไรเป็นความมั่นใจของพวกท่าน อะไรเป็นกําลังของพวกท่าน พวกท่านพิจารณาเห็นในตนด้วยประการไรจึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะมีในพระศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่าจากพระสมณะผู้รู้ทั่วถึง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ผู้มีวาทะอย่างนี้ อันพวกเธอพึงกล่าวตอบอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแล้ว มีอยู่ ที่พวกเราเห็นธรรมเหล่านี้ในตน จึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะมีในพระศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่าจากพระสมณะผู้รู้ทั่วถึง ธรรม ๔ อย่างเป็นไฉน ธรรม ๔ อย่างคือ ความเลื่อมใสในพระศาสดาของพวกเรา มีอยู่ ความเลื่อมใสในพระธรรมมีอยู่ ความกระทําให้บริบูรณ์ในศีล มีอยู่ ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน เป็นที่น่ารัก น่าพอใจ มีอยู่ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการเหล่านั้นแล อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ที่พวกเราเล็งเห็นธรรมเหล่านี้ในตน จึงกล่าวอย่างนี้ สมณะมีในพระศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่าจากพระสมณะผู้รู้ทั่วถึง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ผู้ใดเป็นศาสดาของพวกเรา ความเลื่อมใสในศาสดาแม้ของพวกเราก็มีอยู่ คําสอนใดเป็นธรรมของ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 3

พวกเรา ความเลื่อมใสในธรรมแม้ของพวกเราก็มีอยู่ ศีลเหล่าใดเป็นศีลของพวกเรา แม้พวกเราก็กระทําให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน แม้ของพวกเราก็เป็นที่น่ารัก น่าพอใจ. ผู้มีอายุ ในข้อเหล่านี้อะไรเป็นข้อที่แปลกกัน อะไรเป็นข้อประสงค์ อะไรเป็นข้อที่กระทําให้ต่างกัน ในระหว่างของท่านและของเราดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ผู้มีวาทะอย่างนี้ อันพวกเธอพึงกล่าวตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ความสําเร็จมีอย่างเดียวหรือมีมากอย่าง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสําเร็จมีอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีมากอย่าง. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ก็ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้มีราคะ หรือของผู้ปราศจากราคะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากราคะ มิใช่ของผู้มีราคะ. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้น เป็นของผู้มีโทสะ หรือของผู้ปราศจากโทสะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากโทสะ มิใช่ของผู้มีโทสะ. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้มีโมหะ หรือของผู้ปราศจากโมหะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากโมหะ มิใช่ของผู้มีโมหะ. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้มีตัณหา หรือของผู้ปราศจากตัณหา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากตัณหา มิใช่ของผู้มีตัณหา. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้มีอุปาทาน หรือของผู้ไม่มีอุปาทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวก

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 4

ปริพาชกอัญญเดียรถีย์เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ไม่มีอุปาทาน มิใช่ของผู้มีอุปาทาน. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้รู้แจ้ง หรือของผู้ไม่รู้แจ้ง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้รู้แจ้ง มิใช่ของผู้ไม่รู้แจ้ง. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ยินดียินร้าย หรือของผู้ไม่ยินดียินร้าย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ไม่ยินดียินร้าย มิใช่ของผู้ยินดียินร้าย. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ยินดีในความเนิ่นช้า มีความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี หรือของผู้ยินดีในความไม่เนิ่นช้า มีความไม่เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียร์ถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ยินดีในความไม่เนิ่นช้า มีความไม่เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี มิใช่ของผู้ยินดีในความเนิ่นช้า มีความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี.

ทิฏฐิ ๒

[๑๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิ ๒ อย่างเหล่านี้ คือ ภวทิฏฐิ และวิภวทิฏฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นผู้แอบอิงภวทิฏฐิ เข้าถึงภวทิฏฐิ หยั่งลงสู่ภวทิฏฐิ สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ยินร้ายต่อวิภวทิฏฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้แอบอิงวิภวทิฏฐิ เข้าถึงวิภวทิฏฐิ หยั่งลงสู่วิภวทิฏฐิ สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ยินร้ายต่อภวทิฏฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ทั่วถึงความเกิด ความดับ คุณ โทษ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 5

และการถ่ายถอนแห่งทิฏฐิ ๒ อย่างเหล่านี้ตามความเป็นจริง สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ยังมีราคะ ยังมีโทสะ ยังมีโมหะ ยังมีตัณหา ยังมีอุปาทาน ไม่ใช่ผู้รู้แจ้ง ยังยินดีและยินร้าย เป็นผู้ยินดีในความเนิ่นช้า มีความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี พวกเขาย่อมไม่หลุดพ้นจากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ําไร ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และความคับแค้นทั้งหลาย เรากล่าวว่า ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งย่อมรู้ทั่วถึงความเกิดความดับ คุณ โทษ และการถ่ายถอนแห่งทิฏฐิ ๒ อย่างเหล่านี้ ตามความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น เป็นผู้ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ปราศจากตัณหา ปราศจากอุปาทาน เป็นผู้รู้แจ้ง เป็นผู้ไม่ยินดีและยินร้าย มีความยินดีในความไม่เนิ่นช้า มีความไม่เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี พวกเขาย่อมหลุดพ้นจากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ําไร ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และความคับแค้นทั้งหลาย เรากล่าวว่า ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์.

อุปาทาน ๔

[๑๕๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปาทาน ๔ อย่างเหล่านี้ ๔ อย่างเป็นไฉน คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขาย่อมไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ คือ ย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้ทิฏุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้สีลัพพตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นรู้ไม่ทั่วถึงฐานะ ๓ ประการเหล่านี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขาไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ บัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน ไม่

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 6

บัญญัติความรอบรู้ทิฏุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้สีลัพพตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขาไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ บัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน บัญญัติความรอบรู้ทิฏุปาทานไม่บัญญัติความรอบรู้สีลัพพตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่รู้ทั่วถึงฐานะ ๒ ประการเหล่านี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขาไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ คือ บัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน บัญญัติความรอบรู้ทิฏุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้สีลัพพตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขาไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ คือ บัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน บัญญัติความรอบรู้ทิฏุปาทาน บัญญัติดวามรอบรู้สีลัพพตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่รู้ทั่วถึงฐานะอย่างหนึ่งนี้ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขาไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ คือ บัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน บัญญัติความรอบรู้ทิฏุปาทาน บัญญัติความรอบรู้สีลัพพตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้น เราไม่กล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ ความเลื่อมใสในธรรมใด ความเลื่อมใสนั้น เราไม่กล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ ความกระทําให้บริบูรณ์ในศีลใด ข้อนั้นเราไม่กล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ ความเป็นที่รัก และน่าพอใจในหมู่สหธรรมิกใด ข้อนั้นเราไม่กล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ ในธรรมวินัยเห็นปานนี้แล ข้อนั้นเพราะ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 7

เหตุอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะข้อนั้นเป็นความเลื่อมใสในธรรมวินัยที่ศาสดากล่าวชั่วแล้ว ประกาศชั่วแล้ว มิใช่สภาพนําออกจากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ มิใช่อันผู้รู้เองโดยชอบประกาศไว้.

[๑๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นแล เป็นผู้มีวาทะรอบรู้อุปาทานทุกอย่าง ปฏิญาณอยู่ ย่อมบัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ คือ ย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน ย่อมบัญญัติความรอบรู้ทิฏุปาทาน ย่อมบัญญัติความรอบรู้สีลัพพตุปาทาน ย่อมบัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้น เรากล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ ความเลื่อมใสในธรรมใด ความเลื่อมใสนั้น เรากล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ ความกระทําให้บริบูรณ์ในศีลใด ข้อนั้นเรากล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ ความเป็นที่รัก และน่าพอใจในหมู่สหธรรมิกใด ข้อนั้นเรากล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ ในพระธรรมวินัยเห็นปานนี้แล ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะข้อนั้นเป็นความเลื่อมใสในธรรมวินัยอันศาสดากล่าวดีแล้ว ประกาศดีแล้ว เป็นสภาพนําออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ อันท่านผู้รู้เองโดยชอบ ประกาศแล้ว.

ตัณหาเป็นเหตุเกิดอุปาทาน

[๑๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุปาทาน ๔ เหล่านี้ มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกําเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด. อุปาทาน ๔ เหล่านี้ มีตัณหาเป็นต้นเหตุ มีตัณหาเป็นเหตุเกิด มีตัณหาเป็นกําเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตัณหานี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกําเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด. ตัณหามีเวทนาเป็นต้นเหตุ มีเวทนาเป็นเหตุเกิด มีเวทนาเป็นกําเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิด.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 8

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนานี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกําเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด. เวทนามีผัสสะเป็นต้นเหตุ มีผัสสะเป็นเหตุเกิด มีผัสสะเป็นกําเนิด มีผัสสะเป็นแดนเกิด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผัสสะนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกําเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด. ผัสสะมีสฬายตนะเป็นต้นเหตุ มีสฬายตนะเป็นเหตุเกิด มีสฬายตนะเป็นกําเนิด มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สฬายตนะนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกําเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด. สฬายตนะมีนามรูปเป็นต้นเหตุ มีนามรูปเป็นเหตุเกิด มีนามรูปเป็นกําเนิด มีนามรูปเป็นแดนเกิด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนามรูปนี้เล่ามีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกําเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด. นามรูปมีวิญญาณเป็นต้นเหตุ มีวิญญาณเป็นเหตุเกิด มีวิญญาณเป็นกําเนิด มีวิญญาณเป็นแดนเกิด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกําเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด. วิญญาณมีสังขารเป็นต้นเหตุ มีสังขารเป็นเหตุเกิด มีสังขารเป็นกําเนิด มีสังขารเป็นแดนเกิด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกําเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด สังขารมีอวิชชาเป็นต้นเหตุ มีอวิชชาเป็นเหตุเกิด มีอวิชชาเป็นกําเนิด มีอวิชชาเป็นแดนเกิด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ภิกษุละอวิชชาได้แล้ววิชชาเกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น ภิกษุนั้น เพราะสํารอกอวิชชาเสียได้ เพราะวิชชาบังเกิดขึ้น ย่อมไม่ถือมั่นกามุปาทาน ย่อมไม่ถือมั่นทิฏุปาทาน ย่อมไม่ถือมั่นสีลัพพตุปาทาน ย่อมไม่ถือมั่นอัตตวาทุปาทาน เมื่อไม่ถือมั่น ย่อมไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมปรินิพพานเฉพาะตนนั่นเทียว เธอย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 9

พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทํา ทําเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วแล.

จบ จูฬสีหนาทสูตร ที่ ๑

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 10

อรรถกถามัชฌิมนิกาย ชื่อ ปปัญจสูทนี

พรรณนามูลปัณณาสก์

ภาคที่ ๒

พรรณนาสีหนาทวรรค

อรรกถาจุลลสีหนาทสูตร (๑)

จุลลสีหนาทสูตร มีคําเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-

ก็เพราะจุลลสีหนาทสูตรนั้น มีการสรุปถึงความอุบัติของเรื่อง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าแสดงการสรุปนั้นแล้ว จักทําการพรรณนาบทโดยไม่ตามลําดับแห่งจุลลสีหนาทสูตรนั้น. ก็เรื่องนี้ได้ยกขึ้นกล่าวในความอุบัติของเรื่องอะไร. ในเรื่องที่เดียรถีย์คร่ําครวญ เพราะลาภสักการะเป็นปัจจัย. ได้ยินว่า ลาภสักการะใหญ่ได้บังเกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยนัยที่กล่าวแล้วในธัมมทายาทสูตร.

ก็โลกสันนิวาสนี้มีประมาณ ๔ ดํารงอยู่แล้วโดย ๔ อย่าง ด้วยอํานาจแห่งบุคคลเหล่านี้คือ บุคคลผู้มีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูป มีประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสียง มีประมาณในความเศร้าหมอง เลื่อมใสในความเศร้าหมอง มีประมาณในธรรม เสื่อมใสในธรรม. ข้อกระทําให้ต่างกันของบุคคลเหล่านั้นดังนี้.

ก็บุคคลผู้มีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูปเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้เห็นความเจริญขึ้น หรือเห็นความเจริญเต็มที่ เห็นความบริบูรณ์ หรือเห็นทรวดทรง ถือประมาณในรูปนั้นแล้ว ยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น


(๑) บาลี. จูฬสีหนาทสุตฺตํ

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 11

นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูป.

ก็บุคคลผู้มีประมาณในเสียงเลื่อมใสในเสียงเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ถือประมาณในเสียงนั้น ด้วยการพรรณนาของคนอื่น ด้วยการชมเชยของคนอื่น ด้วยการสรรเสริญของคนอื่น ด้วยคนผู้นําคุณของคนอื่นแล้วยังความเสื่อมใสให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสียง.

ก็บุคคลผู้มีประมาณในความเศร้าหมอง เลื่อมใสในความเศร้าหมองเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นความเศร้าหมองในจีวร หรือเห็นความเศร้าหมองในบาตร หรือเห็นความเศร้าหมองในเสนาสนะ หรือเห็นการบําเพ็ญทุกกรกิริยาต่างๆ แล้ว ถือประมาณในความเศร้าหมองนั้น ยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่า บุคคลผู้มีประมาณในความเศร้าหมอง เลื่อมใสในความเศร้าหมอง.

ก็บุคคลผู้มีประมาณในธรรม เลื่อมใสในธรรมเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นศีล หรือเห็นสมาธิ หรือเห็นปัญญาแล้ว ถือประมาณในธรรมนั้น ยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่า บุคคลผู้มีประมาณในธรรม เลื่อมใสในธรรม.

ในบุคคล ๔ พวกนี้ ฝ่ายบุคคลมีประมาณในรูป เห็นความเจริญขึ้น และความเจริญเต็มที่ ทรวดทรง ความบริบูรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพระฉวีวรรณสวยงาม ดุจวิจิตรด้วยรัตนะต่างๆ เพราะประดับประดาด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ อย่าง ดุจแผ่นใหญ่แห่งทองคําอันรุ่งเรืองด้วยหมู่ดาว เพราะเกลื่อนกล่นด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และดุจท้องฟ้าอันแจ่มจํารัสโดยประการทั้งปวงฉะนั้น มีพระสรีระหาที่เปรียบมิได้ มีปาริฉัตรสูงร้อยโยชน์ มีพระสิริแวดล้อมด้วยรัศมีประมาณหนึ่งวา สูงสิบแปดศอกแล้ว เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.

ฝ่ายบุคคลมีประมาณในเสียง ได้ฟังเสียงที่เป็นไปแล้วแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยนัยเป็นต้นว่า ตลอดสี่อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัป พระองค์ทรง

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 12

บําเพ็ญบารมีสิบ อุปปารมีสิบ ปรมัตถปารมีสิบ ทรงกระทําอังคบริจาค บุตรทารบริจาค รัชชบริจาค ธนบริจาค และนัยนบริจาคแล้วเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.

ฝ่ายบุคคลมีประมาณในความเศร้าหมอง เห็นความเศร้าหมองในจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว คิดว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ครองสมบัติ ก็จักทรงแต่ผ้าที่ทําจากเมืองกาสีเท่านั้น แต่พระองค์ครั้นทรงผนวชแล้ว ทรงยินดีด้วยจีวรบังสุกุลอันทําด้วยป่าน ทรงกระทําการหนัก ดังนี้ ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว. เห็นแม้ความเศร้าหมองในบาตรแล้ว คิดว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ เมื่อทรงครองเรือนได้เสวยโภชนะแห่งข้าวสาลีอันมีกลิ่นหอม สมควรแก่โภชนะของพระเจ้าจักรพรรดิ ในภาชนะทองคําอันประเสริฐสีแดง แต่ครั้นทรงผนวชแล้วทรงถือบาตรหิน เสด็จบิณฑบาตตามตรอกในประตูของตระกูลสูง ทรงยินดีด้วยก้อนข้าวที่ได้แล้ว กระทํากิจหนักดังนี้ ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว. แม้ได้เห็นความเศร้าหมองในเสนาสนะแล้ว คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ เมื่อทรงครองเรือนมีนางฟ้อน ๓ พวกเป็นบริวาร เสวยราชสิริ ดุจสมบัติทิพย์ในปราสาททั้ง ๓ อันสมควรแก่ฤดูทั้ง ๓ บัดนี้ ทรงผนวชแล้ว ทรงยินดีด้วยวัตถุ มีกระดานไม้แผ่นศิลาและเตียงไม้ไผ่ เป็นต้น ในรุกขมูลและเสนาสนะเป็นต้น ทรงกระทําการหนัก ดังนี้ ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว. แม้ได้เห็นการบําเพ็ญทุกกรกิริยาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังชีพให้เป็นไปด้วยวัตถุ มี น้ำต้มถั่วเขียว น้ำต้มถั่วพู และน้ำต้มหเรณุ เป็นต้น เพียงฟายมือๆ จักเจริญฌานอันไม่มีประมาณ ไม่ทรงห่วงใยในสรีระและชีวิตอยู่ตลอดหกปี โอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทํากิจที่ทําได้ยาก ดังนี้ ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 13

ฝ่ายบุคคลมีประมาณในธรรม เห็นศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ ฌานวิโมกข์ สมาธิสมบัติ สัมปทา ความบริบูรณ์แห่งอภิญญา ยมกปาฏิหาริย์ เทโวโรหณะ และความอัศจรรย์หลายประการ มีการทรมานปาฏิกบุตรเป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.

บุคคลเหล่านั้น เลื่อมใสอย่างนี้แล้ว ย่อมนําลาภสักการะใหญ่ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ลาภสักการะของเดียรถีย์ทั้งหลายก็เสื่อมไป ดุจกาในพาเวรุชาดก เหมือนอย่างท่านกล่าวว่า

นางนกยูงร้องเสียงไพเราะ เพราะไม่เห็นนกยูง จึงบูชากาในพาเวรุนั้น ด้วยเนื้อและผลไม้ ก็ในกาลใด นกยูงที่ถึงพร้อมด้วยเสียงสู่พาเวรุ ในกาลนั้นลาภและสักการะของกาก็เสื่อมไป ในกาลใด พระพุทธเจ้าผู้ธรรมราชา ทรงกระทําแสงสว่างยังไม่อุบัติขึ้น ในกาลนั้น ชนอื่นเป็นอันมาก ได้บูชาสมณพราหมณ์ทั้งหลาย แต่ในกาลใด พระพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยเสียง ทรงแสดงธรรม ในกาลนั้น ลาภและสักการะของเดียรถีย์ทั้งหลายก็เสื่อมไป.

เดียรถีย์เหล่านั้น เสื่อมจากลาภและสักการะอย่างนี้แล้ว แม้จะยังราตรีให้สว่างเพียงหนึ่งนิ้ว สองนิ้ว ก็เป็นผู้เสื่อมจากรัศมี ดุจหิ่งห้อยทั้งหลายในเวลาพระอาทิตย์ขึ้นฉะนั้น.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 14

หิ่งห้อยทั้งหลายย่อมแสดงออกซึ่งแสงในราตรีข้างแรม ก็นั่นเป็นวิสัยของหิ่งห้อยเหล่านั้น ก็ในเวลาใด พระอาทิตย์ที่ถึงพร้อมด้วยรัศมีขึ้นอยู่ ในเวลานั้นแสงของหมู่หิ่งห้อยทั้งหลายก็หายไปฉันใด แม้เดียรถีย์ทั้งหลายในโลกนี้ ส่วนมากเป็นเช่นกับหิ่งห้อยฉันนั้น ย่อมแสดงคุณตนในโลกที่เปรียบเหมือนข้างแรม แต่ในเวลาใด พระพุทธเจ้ามีรัศมีหาที่เปรียบมิได้ อุบัติขึ้นในโลก ในเวลานั้น เดียรถีย์ทั้งหลายก็หมดรัศมี ดุจหิ่งห้อยทั้งหลายในพระอาทิตย์ ฉะนั้น.

เดียรถีย์เหล่านั้น เป็นผู้ปราศจากรัศมีอย่างนี้ สรีระเกลื่อนกล่นด้วยหิด และต่อมเล็กๆ เป็นต้น ถึงความเสื่อมอย่างยิ่ง ไปหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และที่ประชุมของมหาชนแล้ว ยืนคร่ําครวญในระหว่างถนนบ้าง ในตรอกบ้าง ในทางสี่แพร่งบ้าง ในสภาบ้าง ร้องประการต่างๆ อย่างนี้ว่า ดูก่อนผู้เจริญ สมณโคดมเท่านั้นหรือเป็นสมณะ พวกเราไม่เป็นสมณะ สาวกของพระสมณโคดมเท่านั้นเป็นสมณะ สาวกแม้ของพวกเราก็ไม่เป็นสมณะ ทานที่ให้สมณโคดม และสาวกของสมณโคดมนั้น มีผลมาก ทานที่ให้แก่พวกเราไม่มีผลมาก สมณโคดมก็เป็นสมณะด้วย พวกเราก็เป็นสมณะด้วย สาวกของสมณโคดมก็เป็นสมณะด้วย สาวกของพวกเราก็เป็นสมณะด้วย ทานที่ให้แก่สมณโคดม และแก่สาวกของสมณโคดมนั้นก็มีผลมากด้วย ทานที่ให้แก่พวกเรา และแก่สาวกของพวกเรา ก็มีผลมากด้วยมิใช่หรือ ท่านทั้งหลายจงให้ จงทํา

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 15

แก่สมณโคดม แก่สาวกของสมณโคดมนั้นด้วย จงให้ จงทําแก่พวกเรา และแก่สาวกของพวกเราด้วย สมณโคดมอุบัติแล้วตลอดวันก่อนๆ มิใช่หรือ แต่พวกเราเมื่อเกิดขึ้นในโลกเทียว ก็ได้เกิดแล้วดังนี้. ลําดับนั้น บริษัทสี่ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้ฟังเสียงของเดียรถีย์เหล่านั้นแล้ว กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เดียรถีย์ทั้งหลาย กล่าวคํานี้ และคํานี้ ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคํานั้นแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าสําคัญว่า สมณะมีในที่อื่น ตามคําพวกเดียรถีย์ เมื่อจะทรงปฏิเสธความเป็นสมณะในอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย และเมื่อจะทรงอนุญาตความเป็นสมณะในศาสนานี้เท่านั้น จึงตรัสพระสูตรแห่งความเกิดขึ้นของเรื่องนี้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในศาสนานี้เท่านั้น.

ในบทนั้น

บทว่า อิเธว คือ ในศาสนานี้เท่านั้น. ก็ความจํากัดนี้พึงทราบแม้ในบทที่เหลือ. ก็สมณะทั้งหลายแม้มีสมณะที่ ๒ เป็นต้น ก็มีในศาสนานี้เท่านั้น ไม่มีในที่อื่น.

บทว่า สมโณ ได้แก่พระโสดาบัน. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ําเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีการตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะ. สกทาคามี ชื่อว่า สมณะที่ ๒. ด้วยเหตุนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๒ เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้เป็นสกทาคามี เพราะสังโยชน์สามสิ้นไป เพราะความที่ราคะ โทสะ และโมหะ เบาบางกลับมาสู่โลกนี้ ครั้งเดียวเท่านั้นก็จะทําที่สุคแห่งทุกข์ได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะที่ ๒ ดังนี้. พระอนาคามีชื่อว่า สมณะที่ ๓. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๓ เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ เพราะ

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 16

ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์เบื้องต่ํา ๕ อย่าง เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับมาจากโลกนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะที่ ๓. พระอรหันต์ชื่อว่า สมณะที่ ๔. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๔ เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ กระทําให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายด้วยอภิญญาของตนเอง เข้าถึงอยู่ในทิฏฐธรรมเทียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะที่ ๔. ท่านประสงค์เอาสมณะที่ตั้งอยู่ในผลสี่ในที่นี้เทียว ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า สุฺา ได้แก่ ว่าง คือ เปล่า.

บทว่า ปรปฺปวาทา ความว่า วาทะว่าเที่ยง ๔ วาทะว่าเที่ยงเป็นบางส่วน ๔ วาทะว่ามีที่สุดและไม่มีที่สุด ๔ วาทะที่ห้ามความไม่ตาย ๔ วาทะที่เกิดขึ้นเฉพาะ ๒ สัญญีวาทะ ๑๖ อสัญญีวาทะ ๘ เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ อุจเฉทวาทะ ๗ ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ ๕ แม้ทั้งหมดดังกล่าวมานี้ มาแล้วในพรหมชาลสูตร วาทะของเหล่าพาเหียรอื่นจากนี้ ๖๒ ชื่อว่า ปรัปปวาทะ. วาทะเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ว่างเปล่าจากสมณะผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ เหล่านี้. ก็วาทะเหล่านั้น ไม่มีในสมณะนั้น. ก็วาทะเหล่านั้นไม่มีอย่างเดียวก็หาไม่ แต่สูญจากสมณะเหล่านั้นนั่นเทียว. อนึ่ง สูญจากสมณะแม้สิบสองนั่นเทียว คือ จากสมณผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ บ้าง จากสมณะผู้วิปัสสกะซึ่งปรารภเพื่อประโยชน์แก่มรรค ๔ บ้าง.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงเนื้อความนี้นั้นเอง จึงตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า

ดูก่อนสุภัททะ เรามีวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้วตามแสวงหาอะไรเป็นกุศล ดูก่อนสุภัททะ ตั้งแต่เราบวชแล้วได้ ๕๐ ปีเศษ แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศแห่งธรรม

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 17

เป็นเครื่องนําออก ไม่มีในภายนอกแต่ธรรมวินัยนี้.

สมณะแม้ที่ ๒ ก็ไม่มี สมณะแม้ที่ ๔ ก็ไม่มี ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่าจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง. ก็ท่านประสงค์เอาผู้ปรารภวิปัสสนาว่า ปเทสวตฺตี ในมหาปรินิพพานสูตรนั้น. เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงกระทําผู้ปรารภวิปัสสนาเพื่อโสดาปัตติมรรค ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ผู้ตั้งอยู่ในผล แม้ทั้ง ๓ ดังกล่าวเข้าด้วยกันแล้ว ตรัสว่า แม้สมณะก็ไม่มีดังนี้. ทรงกระทําผู้ปรารภวิปัสสนาเพื่อสกทาคามิมรรค ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ผู้ตั้งอยู่ในผล แม้ทั้ง ๓ ดังกล่าวเข้าด้วยกัน ตรัสว่า สมณะแม้ที่ ๒ ก็ไม่มี. ในบททั้ง ๒ แม้นี้ ก็นัยนี้เช่นเดียวกัน. ก็สมณะเหล่านั้น ไม่มีในลัทธิอื่น เพราะเหตุไร. เพราะลัทธิอื่นนั้นไม่มีเขต. ก็เมล็ดผักกาดย่อมไม่ตั้งอยู่ในปลายเหล็กแหลม ไฟไม่ลุกโพลงในหลังน้ำ พืชทั้งหลายย่อมไม่งอกในแผ่นหิน ฉันใด สมณะเหล่านี้ย่อมไม่เกิดในลัทธิเดียรถีย์ภายนอก ฉันนั้นเหมือนกัน. ในศาสนานี้เท่านั้น เพราะเหตุไร เพราะศาสนานี้มีเขตดี. ก็ความที่ลัทธิเดียรถีย์ไม่มีเขต และความที่ศาสนานี้มีเขตนี้นั้น พึงทราบโดยความไม่มี และความมีอริยมรรค. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนสุภัททะ มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐ อันบุคคลไม่ได้ในธรรมวินัยใดแล แม้สมณะก็ไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะแม้ที่ ๒ ก็ไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะแม้ที่ ๓ ก็ไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะแม้ที่ ๔ ก็ไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น ดูก่อนสุภัททะ มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐย่อมได้ในธรรมวินัยใดแล แม้สมณะย่อมได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะแม้ที่ ๒ ก็ย่อมได้ในธรรมวินัยนั้น ฯลฯ สมณะแม้ที่ ๔ ก็ย่อมได้ในธรรมวินัยนั้น ดูก่อนสุภัททะ มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐย่อมได้ในธรรมวินัยนั้นแล. ดูก่อนสุภัททะ สมณะมีในศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่ ๒ ก็มีในศาสนานี้ สมณะที่ ๓ ก็มีใน

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 18

ศาสนานี้ สมณะที่ ๔ ก็มีในศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่น สูญจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ดังนี้. เพราะลัทธิเดียรถีย์ไม่มีเขต ศาสนามีเขตอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ไกรสรสีหะมีแสงสว่างพราวแพรว เป็นพระยาเนื้อ ซึ่งมีเท้าหน้าและเท้าหลังแดงจัด ย่อมไม่อาศัยอยู่ในป่าช้า หรือกองหยากเยื่อ แต่เข้าไปสู่หิมวันต์ซึ่งกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ อยู่ในถ้ำแก้วมณีฉันใด. พระยาช้างฉัททันต์ ย่อมไม่เกิดในตระกูลช้าง ๙ มีตระกูลช้างโคจริยะเป็นต้น แต่เกิดในตระกูลช้างฉัททันต์เท่านั้น ฉันใด. พระยาม้าวลาหกไม่เกิดในตระกูลลา หรือในตระกูลอูฐ แต่เกิดในตระกูลม้าสินธพที่ฝังแม่น้ำสินธุเท่านั้น ฉันใด. มณีรัตนะอันนําความพอใจ ให้สิ่งของที่ประสงค์ทุกอย่าง ย่อมไม่เกิดในกองหยากเยื่อ หรือในภูเขา มีภูเขาดินเป็นต้น ย่อมเกิดในระหว่างภูเขาวิบุลบรรพตเท่านั้น ฉันใด. พระยาปลาติมิงคละ ย่อมไม่เกิดในบ่อและสระโบกขรณีเล็กๆ ย่อมเกิดในมหาสมุทรที่ลึกได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์เท่านั้น ฉันใด. พระยาครุฑใหญ่ ๑๕๐ โยชน์ย่อมไม่อาศัยอยู่ในป่ามีป่าละหุ่งเป็นต้น ที่ใกล้ประตูบ้าน แต่บินข้ามมหาสมุทรแล้ว อาศัยอยู่ในสิมพลิทหวันเท่านั้น ฉันใด. พระยาหงส์ทองธตรัฏฐะ ไม่อาศัยอยู่ในที่ทั้งหลาย มีบ่อน้ำเป็นต้นที่ใกล้ประตูบ้าน แต่มีหงส์ ๙๐,๐๐๐ ตัวเป็นบริวาร อาศัยอยู่ในภูเขาจิตตกูฏบรรพตเท่านั้น ฉันใด. และพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ ย่อมไม่เกิดในตระกูลต่ํา แต่ย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์ที่ไม่เจือปนเท่านั้นฉันใด. ในสมณะเหล่านี้ แม้สมณะหนึ่ง ก็ไม่เกิดในลัทธิของอัญญเดียรถีย์ แต่ย่อมเกิดในพระพุทธศาสนา ซึ่งแวดล้อมด้วยอริยมรรคเท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในศาสนานี้เท่านั้น ฯลฯ ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่า จากสมณะทั้งหลาย ผู้รู้ทั่วถึง ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 19

บทว่า สมฺมา ในบทว่า สมฺมา สีหนาทํ นทถ นั้น ได้แก่โดยเหตุ โดยนัย โดยการณ์.

บทว่า สีหนาทํ คือ การบันลือที่ประเสริฐที่สุด คือ การบันลือที่ไม่น่ากลัว การบันลือที่ไม่ติดขัด. ก็เพราะความที่สมณะ ๔ เหล่านี้มีอยู่ในศาสนานี้เท่านั้น การบันลือนี้เป็นการบันลือสูงสุด ชื่อว่าการบันลือที่ประเสริฐที่สุด. การบันลือของภิกษุผู้กล่าวว่า สมณะเหล่านี้มีในศาสนานี้เท่านั้น ชื่อว่า การบันลือที่ไม่น่ากลัว เพราะภัยหรือความหวาดระแวงจากที่อื่นไม่มี. การบันลือนี้ว่าสมณะเหล่านี้มีอยู่ในศาสนาแม้ของพวกเรา ชื่อว่าการบันลือไม่ติดขัด เพราะความที่บรรดาเจ้าลัทธิทั้งหลายมีปูรณะเป็นต้น แม้คนหนึ่งก็ไม่สามารถเพื่อจะลุกขึ้นกล่าวได้. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า บทว่า สีหนาทํ คือ การบันลือที่ประเสริฐที่สุด คือ การบันลือที่ไม่น่ากลัว การบันลือที่ไม่ติดขัด ดังนี้.

บทว่า านํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ความว่า ก็การณ์นี้แลมีอยู่.

บทว่า ยํ อฺติตฺถิยา คือ พวกอัญญเดียรถีย์ โดยการณ์ใด. อนึ่ง พึงทราบติตถะ พึงทราบติตถกร พึงทราบเดียรถีย์ พึงทราบติตถิยสาวกในที่นี้. ทิฏฐิ ๖๒ อย่าง ชื่อว่า ติตถะ. ก็สัตว์ทั้งหลายย่อมข้าม ย่อมลอยไป ย่อมกระทําการผุดขึ้น ดําลงในท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ติตถะ แปลว่า เป็นที่ข้ามของสัตว์ทั้งหลาย. ความที่ให้ทิฏฐิเหล่านั้นเกิดขึ้น ชื่อว่า ติตถกร แปลว่า เจ้าลัทธิ. ผู้ถือลัทธิของเจ้าลัทธินั้นแล้ว บวช ชื่อว่า เดียรถีย์. ผู้ให้ปัจจัยแก่เดียรถีย์เหล่านั้น พึงทราบว่า ติตถิยสาวก แปลว่าสาวกของเดียรถีย์. ผู้ที่ละความผูกพันทางฆราวาสแล้ว ถึงการบวชชื่อว่า ปริพาชก. ที่พึ่ง การดํารง การบํารุง ชื่อว่า อัสสาสะ. เรี่ยวแรง ชื่อว่าพละ.

บทว่า เยน ตุมฺเห ความว่า พวกเธอจงกล่าวอย่างนี้ด้วยอัสสาสะหรือพละใด. ในบทนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 20

ตรัสแล้วมีอยู่ ดังนี้ มีเนื้อความโดยย่อดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นใด บําเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ กําจัดกิเลสทั้งปวง ตรัสรู้โดยชอบยิ่ง ซึ่งสัมมาสัมโพธิอันยวดยิ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้รู้อาสยานุสัยของสัตว์เหล่านั้นๆ ผู้เห็นธรรมที่ควรรู้ทั้งหมด เหมือนมะขามป้อมที่วางไว้บนฝ่ามือฉะนั้น. อนึ่ง ทรงรู้ด้วยญาณทั้งหลายมีปุพเพนิวาสญาณเป็นต้น ทรงเห็นด้วยทิพยจักษุ. อนึ่ง ทรงรู้ด้วยวิชชา ๓ หรืออภิญญา ๖ ทรงเห็นด้วยสมันตจักษุ อันไม่ติดขัดในที่ทั้งปวง. ทรงรู้ด้วยปัญญาอันสามารถที่จะรู้ธรรมทั้งปวง ทรงเห็นรูปทั้งหลายที่ล่วงจักษุวิสัยของสัตว์ทั้งปวง หรือที่อยู่ในกําแพงเป็นต้น ด้วยมังสจักษุอันหมดจดยิ่ง ทรงรู้ด้วยปฏิเวธปัญญาอันเป็นปทัฏฐานแห่งสมาธิอันยังประโยชน์ตนให้สําเร็จ ทรงเห็นด้วยเทศนาปัญญา อันเป็นปทัฏฐานแห่งกรุณา อันยังประโยชน์คนอื่นให้สําเร็จ. ชื่อว่า เป็นพระอรหันต์ เพราะความที่กิเลสอันเป็นข้าศึกทั้งหลาย ทรงละได้แล้ว และเพราะความที่พระองค์เป็นผู้สมควรแก่ปัจจัยเป็นต้น. ชื่อว่า สัมมาสัมพุทธะ เพราะความที่สัจจะทั้งหลาย อันพระองค์ตรัสรู้แล้วโดยชอบ และด้วยพระองค์เอง. อนึ่ง ทรงรู้ธรรมอันประกอบด้วยอันตรายทั้งหลาย ทรงเห็นธรรมอันเป็นเครื่องนําสัตว์ออกจากทุกข์ทั้งหลาย ชื่อว่า เป็นพระอรหันต์ เพราะความที่ข้าศึกคือกิเลสทั้งหลายอันพระองค์ละได้แล้ว ชื่อว่า สัมมาสัมพุทธะ เพราะความที่ธรรมทั้งปวงอันพระองค์ตรัสรู้แล้ว ด้วยพระองค์เอง อันมหาชนชมเชยแล้ว ด้วยอาการ ๔ ด้วยสามารถแห่งเวสารัชชะ ๔ ได้ตรัสธรรม ๔ ด้วยประการฉะนี้. พวกเราใด เห็นธรรมเหล่านี้ในตน จงกล่าวอย่างนี้ จงอย่ากล่าวถึงการบํารุงช่วยเหลือ หรือกําลังกายของพระราชา และราชมหาอํามาตย์เป็นต้น.

บทว่า สตฺถริ ปสาโท ได้แก่ความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นแก่ผู้ระลึกถึงพุทธคุณ โดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.

บทว่า ธมฺเม ปสาโท

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 21

ได้แก่ ความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นแก่ผู้ระลึกถึง โดยนัยมีอาทิว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว.

บทว่า สีเลสุ ปริปูรการิตา คือ ความเป็นผู้กระทําบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย อันพระอริยเจ้าใคร่แล้ว. ศีล ๕ ชื่อว่า อริยกันตศีล. จริงอยู่ พระอริยสาวก แม้อยู่ในระหว่างภพ แม้เมื่อไม่รู้ความที่ตนเป็นพระอริยเจ้า ก็ไม่ล่วงละเมิดศีล ๕ เหล่านั้น ถ้าจะมีใครพึงกล่าวกะอริยสาวกนั้นว่า ขอให้ท่านรับเอาราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ทั้งสิ้นนี้แล้ว จงปลงแมลงวันตัวเล็กจากชีวิต ดังนี้. ข้อที่พระอริยสาวกจะพึงทําตามคําของผู้นั้นนั้น ไม่เป็นฐานะจะมีได้. ศีลทั้งหลาย เป็นที่ใคร่ คือ เป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของพระอริยเจ้าทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. ทรงหมายถึงศีลเหล่านั้น จึงตรัสว่า ความเป็นผู้ทําบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ดังนี้.

บทว่า สหธมฺมิกา โข ปน ได้แก่ ผู้มีปกติประพฤติธรรมร่วมกัน ๗ พวก นั่นคือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา. จริงอยู่ ในสหธรรมจารีเหล่านั้น ภิกษุ ชื่อว่า ประพฤติธรรมร่วมกับภิกษุทั้งหลาย เพราะความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน ภิกษุณี ก็ประพฤติธรรมร่วมกับภิกษุณีทั้งหลายเช่นเดียวกัน ฯลฯ อุบาสิกา ก็ประพฤติธรรมร่วมกับอุบาสิกาทั้งหลาย พระโสดาบันก็ประพฤติธรรมร่วมกับพระโสดาบันทั้งหลาย พระสกทาคามี ฯลฯ พระอนาคามีก็ประพฤติธรรมร่วมกับพระอนาคามีทั้งหลาย เพราะฉะนั้น สหธรรมจารีเหล่านั้นทั้งหมดแล เรียกว่า สหธัมมิก. อนึ่ง ในที่นี้ ท่านประสงค์พระอริยสาวกอย่างเดียว. เพราะพระอริยสาวกเหล่านั้น ไม่มีความวิวาทในการเห็นมรรค แม้ในระหว่างแห่งภพ เพราะฉะนั้น พระอริยสาวกเหล่านั้น จึงชื่อว่าสหธัมมิก เพราะมีปกติประพฤติธรรมอันเดียวกันโดยแท้. ท่านแสดงความเลื่อมใสที่เกิดแก่ผู้ระลึกถึงพระสงฆ์ โดยนัยมีอาทิว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดี ด้วยบทนี้. องค์ทั้งหลายแห่งพระโสดาบัน ๔ เป็น

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 22

อันท่านแสดงแล้ว ด้วยประการเพียงนี้.

บทว่า อิเม โข โน อาวุโส ความว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ธรรม ๔ เหล่านี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นตรัสว่า เป็นความมั่นใจ และเป็นกําลังของพวกเรา. พวกเราใด เล็งเห็นธรรมเหล่านี้ในตน จงกล่าวอย่างนี้. ปริพาชกแสดงอ้างศาสดาทั้ง ๖ มีปูรณกัสสป เป็นต้น ด้วยบทนี้ว่า ผู้ใด เป็นศาสดาของพวกเรา. ก็บัดนี้ มีความรักอันอาศัยเรือนว่า อาจารย์ของพวกเรา อุปัชฌาย์ของพวกเรา ในบุคคลทั้งหลายมีอาจารย์ และอุปัชฌาย์เป็นต้นในศาสนา โดยประการใด ปริพาชกกล่าวว่า ความเลื่อมใสในศาสดา หมายถึงความรัก เห็นปานนั้น. ก็พระเถระกล่าวว่า เพราะพระศาสดาไม่ใช่เป็นของคนเดียว ไม่ใช่เป็นของสองคน แต่เป็นพระศาสดาพระองค์เดียวเท่านั้น ของโลก พร้อมกับเทวโลก เพราะฉะนั้นเดียรถีย์ทั้งหลายได้แบ่งศาสดาออกเป็นแผนก ด้วยบทเดียวเท่านั้นว่า ศาสดาของพวกเรา เป็นอันพลาดแล้ว แพ้แล้วด้วยบทนี้เทียว ดังนี้.

ก็ในบทว่า ธมฺเม ปสาโท นี้ ปริพาชกทั้งหลายสําคัญว่า ทีฆนิกายของพวกเรา มัชฌิมนิกายของพวกเราในศาสนาในบัดนี้ ฉันใด ย่อมกล่าวหมายถึงความรักอันอาศัยเรือนในปริยัติธรรมของตนๆ ฉันนั้น.

บทว่า สีเลสุ คือ ในศีลทั้งหลาย มีศีลแพะ ศีลโค ศีลแกะ และศีลสุนัขเป็นต้น. ปริพาชกทั้งหลายกล่าวหมายถึงความเลื่อมใสว่า อิธ ในบทนี้ว่า อิธ โน อาวุโส ดังนี้.

บทว่า โก อธิปฺปาโย ได้แก่การประกอบข้อประสงค์อะไร.

บทว่า ยทิทํ ความว่า ปริพาชกทั้งหลายเป็นผู้มีธุระเสมอกันดํารงอยู่ด้วยถ้อยคําว่า ท่านพึงกล่าวข้อที่กระทําให้ต่างกันระหว่างของพวกท่านและของพวกเรานี้ใด ข้อนั้นเป็นความเลื่อมใสในฐาน ๔ แม้ของพวกท่าน ชื่อไร ก็เป็นความเลื่อมใสในฐานเดียวกันกับของพวกเราด้วยมิใช่หรือ พวกท่านและพวกเราเป็นเช่นกับพวกเดียวกัน ดุจทองคําที่แตกออกเป็น ๒ ส่วนแล้ว ฉะนั้น. ลําดับนั้น พระผู้มี

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 23

พระภาคเจ้า เมื่อจะทรงทําลายความเป็นผู้มีธุระเสมอกันนั้นของปริพาชกเหล่านั้น จึงตรัสว่า เอวํ วาทิโน ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกา นิฏฺา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงถามอย่างนี้ว่า ความสําเร็จอันเป็นที่สุดแห่งความเลื่อมใสนั้นใด ความสําเร็จนั้นมีอย่างเดียวหรือมีมากอย่าง. ก็เพราะชื่อผู้บัญญัติความสําเร็จในลัทธินั้นๆ ไม่มี อสัญญีภพ จึงถูกกําหนดอย่างนี้ว่า ก็พรหมโลกเป็นของพวกพราหมณ์ ความสําเร็จ คือความดับมีอย่างเดียว อาภัสสราเป็นของพวกดาบส สุภกิณหาเป็นของพวกปริพาชก โดยที่สุดเป็นของพวกอาชีวก. ก็อรหัต คือ ความสําเร็จในศาสนานี้. ก็พวกปริพาชกเหล่านั้นทั้งหมดย่อมกล่าวว่า อรหัตเท่านั้น คือความสําเร็จ. อนึ่ง ย่อมบัญญัติโลกทั้งหลายมีพรหมโลกเป็นต้น ด้วยอํานาจทิฏฐิ เพราะฉะนั้น จึงบัญญัติความสําเร็จมีอย่างเดียวเท่านั้นด้วยอํานาจแห่งลัทธิของตนๆ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงความสําเร็จนั้น จึงตรัสว่า เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ ดังนี้เป็นต้น.

บัดนี้ ครั้นเมื่อความสําเร็จ ๒ อย่าง คือ ความสําเร็จมีอย่างเดียวในศาสนานี้สําหรับภิกษุทั้งหลายด้วย ความสําเร็จมีอย่างเดียวสําหรับเดียรถีย์ทั้งหลายด้วย ดํารงอยู่เหมือนลูกความทั้งหลายฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงวัตรแห่งการประกอบเนืองๆ จึงตรัสว่าดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้มีราคะ หรือของผู้ปราศจากราคะ ดังนี้เป็นต้น. ในที่นี้เพราะธรรมดาความสําเร็จของผู้มีกิเลสทั้งหลาย มีผู้อันราคะย้อมเป็นต้น ไม่มี เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงพยากรณ์โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ความสําเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากราคะ แก่เดียรถีย์ทั้งหลายผู้เห็นโทษนี้ว่า ผิว่าแม้สุนัขบ้าน และสุนัขจิ้งจอกเป็นต้นจะพึงมีไซร้ ก็จะพึงมี ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิทฺทสุโน ได้แก่ บัณฑิต.

บทว่า อนุรุทฺธปฏิวิรุทฺธสฺส ได้

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 24

แก่ ผู้ยินดีด้วยราคะ ผู้ยินร้ายด้วยความโกรธ.

ในบทว่า ปปฺจารามสฺส ปปฺจรติโน นั้น สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีในความเนิ่นช้านั้น เพราะฉะนั้นความเนิ่นช้านั้น จึงชื่อว่า อาราโม เป็นที่มายินดี. ความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดีของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่า ปปฺจาราโม แปลว่าผู้มีความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี. ความยินดีในความเนิ่นช้าของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่า ปปฺจรตี ผู้ยินดีในความเนิ่นช้า.

บทว่า ปปฺโจ นั้น เป็นชื่อของตัณหาทิฏฐิและมานะ อันเป็นไปแล้วโดยความเป็นอาการของผู้มัวเมาและผู้ประมาทแล้ว. ก็ในที่นี้ ท่านประสงค์เฉพาะตัณหาและทิฏฐิเท่านั้น. กิเลสอย่างเดียวเท่านั้น มาแล้วในฐานะ ๕ ว่าของผู้มีราคะเป็นต้น พึงทราบอาการและความเป็นต่างๆ ของกิเลสนั้น. ก็ท่านถือเอากิเลสด้วยอํานาจราคะที่เจือด้วยกามคุณ ๕ ในที่ท่านกล่าวว่า สราคสฺส. ถือเอากิเลสด้วยอํานาจภวตัณหาในบทว่า สตณฺหสฺส. ถือเอากิเลสด้วยอํานาจการยึดถือในบทว่า สอุปาทานสฺส. ถือเอากิเลสด้วยอํานาจคู่ในบทว่า อนุรุทฺธปฏิวิรุทฺธสฺส. ถือเอากิเลสด้วยอํานาจการแสดงความเกิดขึ้นของกิเลสเครื่องเนิ่นช้าในบทว่า ปปฺจรามสฺส. อีกอย่างหนึ่ง ถือเอากิเลสด้วยอํานาจอกุศลมูลในบทนี้ว่า สราคสฺส. ถือเอากิเสสด้วยอํานาจอุปาทาน เพราะตัณหาเป็นปัจจัยในบทนี้ว่า สตณฺหสฺส. บทที่เหลือก็เช่นกับบทก่อนนั้นเทียว. ก็พระเถระกล่าวว่า ท่านจงกําจัดอย่างนี้เพราะเหตุไร เพราะโลภตัวเดียวนี้เท่านั้นกล่าวว่า ราคะ ด้วยอํานาจแห่งความยินดี ก็ชื่อว่า ตัณหา ด้วยอํานาจการกระทําความทะยานอยากชื่อว่า อุปาทาน ด้วยอรรถว่ายึดถือ ชื่อว่า ความยินดีและความยินร้าย ด้วยอํานาจคู่ชื่อว่า ปปัญจะ ด้วยอรรถว่า เกิดขึ้นแห่งกิเลสเครื่องเนิ่นช้า. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงทิฏฐิวาทะอันเป็นรากเหง้าของกิเลสเหล่านี้จึงตรัสว่า เทฺวมา ภิกฺขเว ทิฏฺิโย ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 25

บทว่า ภวทิฏฺิ ได้แก่ ความเห็นว่าเที่ยง.

บทว่า วิภวทิฏฺิ ได้แก่ ความเห็นว่าขาดสูญ.

บทว่า ภวทิฏฺิ อลฺลีนา ความว่า ผู้แอบอิง ความเห็นว่าเที่ยงด้วยอํานาจตัณหาทิฏฐิ.

บทว่า อุปคตา ความว่า เข้าถึงด้วยอํานาจตัณหาทิฏฐิเทียว.

บทว่า อชฺโฌสิตา ความว่า ตามเข้าไปด้วยอํานาจตัณหาทิฏฐินั้นเทียว.

บทว่า วิภวทิฏฺิยา เต ปฏิวิรุทฺธา ความว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้ยินร้ายว่า พวกท่านโง่เขลาพร้อมด้วยผู้กล่าวว่าขาดสูญ ไม่รู้ว่า โลกนี้เที่ยง โลกนี้ไม่ขาดสูญ ขวนขวายในการทะเลาะเป็นนิตย์อยู่. แม้ในวาระที่ ๒ ก็นัยนี้เหมือนกัน.

ในบทมีว่า สมุทยฺจ เป็นต้น แดนเกิดของทิฏฐิทั้งหลายมี ๒ อย่าง คือ ขณิกสมุทัย ๑ ปัจจยสมุทัย ๑. ความเกิดของทิฏฐิทั้งหลาย ชื่อว่า ขณิกสมุทัย ฐานะที่ตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทิฏฐิทั้งหลาย ชื่อว่า ปัจจยสมุทัย. อย่างไร. คือ ขันธ์ก็ดี อวิชชาก็ดี ผัสสะก็ดีสัญญาก็ดี วิตกก็ดี อโยนิโสมนสิการก็ดี ปาปมิตรก็ดี เสียงกึกก้องอย่างอื่นก็ดี จัดเป็นทิฏฐิฐานะ. ขันธ์ทั้งหลายเป็นเหตุ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้นของทิฏฐิทั้งหลาย เพราะอรรถว่าตั้งขึ้นพร้อม. แม้ขันธ์ทั้งหลายชื่อว่า ทิฏฐิฐานะด้วยประการฉะนี้. อวิชชา ผัสสะ สัญญา วิตก อโยนิโสมนสิการ ปาปมิตร เสียงกึกก้องฝ่ายอื่น เป็นเหตุ เป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้นของทิฏฐิทั้งหลาย เพราะอรรถว่าตั้งขึ้นพร้อม. แม้เสียงกึกก้องฝ่ายอื่น ชื่อว่า ทิฏฐิฐานะด้วยประการฉะนี้. แม้การตั้งอยู่ไม่ได้มี ๒ อย่างเท่านั้น คือ ขณิกัตถังคมะ ๑ ปัจจยัตถังคมะ ๑. ความสิ้น ความเสื่อม ความแตก ความสลาย ความไม่เที่ยง ความหายไป ชื่อว่า ขณิกัตถังคมะ. โสดาปัตติมรรค ชื่อ ปัจจยัตถังคมะ. ก็โสดาปัตติมรรค ท่านกล่าวว่า ทําลายพร้อมซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย.

บทว่า อสฺสาทํ คือกล่าวหมายถึงอานิสงส์อันมีทิฏฐิเป็นมูล. อธิบายว่า พระศาสดาทรงมีทิฏฐิใด สาวกทั้งหลายก็เป็นผู้มีทิฏฐินั้น สาวกทั้งหลาย ย่อมสักการะ เคารพ นับถือ

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 26

บูชาย่อมได้พระศาสดาทรงมีทิฏฐิใด ทิฏฐินั้นเป็นต้นเหตุแห่งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัย เภสัช และบริขารทั้งหลาย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอานิสงส์ที่ประกอบด้วยทิฏฐิธรรมแห่งทิฏฐิ.

บทว่า อาทีนวํ ได้แก่ อุปัททวะซึ่งมีการยึดถือทิฏฐิเป็นมูล. อาทีนพนั้น พึงทราบด้วยอํานาจแห่งวัตรทั้งหลายมีอาทิว่า วัคคุลิวัตร อุกกุฏิกปธานะ กัณฏกาปัสสยตา ปัญจาตปตัปปนะ มรุปปปาตปตนะ เกสมัสสุโลจนะ อัปปาณกฌาน.

บทว่า นิสฺสรณํ ได้แก่ นิพพาน ชื่อว่า สลัดออกซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย.

บทว่า ยถาภูตํ นปฺปชานนฺติ ความว่า สมณะหรือ พราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้สมุทัยเป็นต้นนั้นทั้งหมด ตามสภาวะ.

บทว่า น ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมา ความว่า ไม่หลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์ทั้งสิ้น. ด้วยบทนี้ ทรงแสดงว่า ชื่อว่าความสําเร็จของสมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นไม่มี.

บทว่า ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมา ความว่า ย่อมหลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์ทั้งสิ้น. ด้วยบทนี้ ทรงตั้งไว้ซึ่งความสําเร็จมีในศาสนาเท่านั้น ดุจทรงตัดสินคดีของลูกความทั้งสองว่า ความสําเร็จของสมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น มีอยู่ ดังนี้.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงการตัดทิฏฐิ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปาทาน ๔ อย่างเหล่านี้เป็นต้น. กถาว่าด้วยความพิสดารของอุปาทานเหล่านั้น ได้กล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นเทียว.

บทว่า สพฺพุปาทานปริฺาวาทา ปฏิชานมานา ความว่า ปฏิญาณอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายย่อมกล่าวความรอบรู้ คือ ความก้าวล่วงอุปาทานทุกอย่าง.

บทว่า น สมฺมา สพฺพุปาทานสฺสปริฺํ ปฺเปนฺติ ความว่า ย่อมไม่บัญญัติการก้าวล่วงอุปาทานทุกอย่างโดยชอบ. บางพวกบัญญัติความรอบรู้เพียงกามุปาทานเท่านั้น บางพวกบัญญัติความรอบรู้เพียงทิฏุปาทาน บางพวกบัญญัติความรอบรู้แม้เพียงสีลัพพตุปาทาน. แต่ผู้ชื่อว่าบัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทานไม่มี. ก็

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 27

เมื่อจะทรงแสดงการจําแนกอุปาทานเหล่านั้น จึงตรัสว่า บัญญัติความรอบรู้กามุปาทานดังนี้เป็นต้น. ในอุปาทานเหล่านั้น สมณพราหมณ์แม้ทั้งหมดบัญญัติความรอบรู้กามุปาทานเท่านั้น. ก็แม้ความเห็นนอกรีตนอกรอย ๙๖ ประการ ก็คือ กามแล อันบรรพชิตไม่พึงเสพ เพราะฉะนั้น สมณพราหมณ์จึงไม่บัญญัติว่าผู้เสพวัตถุ ย่อมควร กระทําให้เป็นอกัปปิยเท่านั้นแล้ว จึงบัญญัติ. ก็บุคคลเหล่าใดเสพ บุคคลเหล่านั้นเสพโดยไถยจิต. เพราะฉะนั้นจึงตรัสว่า ย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน ดังนี้. เพราะสมณพราหมณ์ถือว่าทานที่ให้แล้วไม่มีผล ดังนี้เป็นต้นเที่ยวไป ย่อมถือว่า ความบริสุทธิ์ด้วยศีล ความบริสุทธิ์ด้วยวัตร ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ด้วยภาวนา ชื่อว่าไม่สละอัตตุปลัทธิ เพราะฉะนั้น จึงไม่บัญญัติความรอบรู้ทิฏุปาทาน อัตตวาทุปาทาน.

บทว่า ตํ กิสฺส เหตุ ความว่า การไม่บัญญัตินั้นเป็นเหตุไร แห่งอุปาทานเหล่านั้น คือ เพราะเหตุไร.

บทว่า อิมานิ หิ เต โภนฺโต ความว่า เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่รู้การณ์ ๓ อย่างนี้ตามสภาวะ. ก็สมณพราหมณ์เหล่าใด ย่อมรู้ตามสภาวะในบทนั้นว่า เหตุแห่งการบัญญัติความรอบรู้ ๒ อย่างคือ ทิฏฐิ และสีลัพพตะ นั้นพึงละ ทรงหมายถึงสมณพราหมณ์เหล่านั้น จึงตรัสวาระ ๒ อย่างไว้ข้างหน้า. บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด ถือว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ดังนี้เป็นต้น สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมบัญญัติความรอบรู้ทิฎุปาทาน. ส่วนเหล่าใด ถือว่าความบริสุทธิ์ด้วยศีล ความบริสุทธิ์ด้วยวัตร ความบริสุทธิ์ด้วยภาวนา เหล่านั้นย่อมบัญญัติความรอบรู้แม้สีลัพพตุปาทาน. แต่แม้ผู้หนึ่งไม่อาจเพื่อบัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทานข้างหน้า. ก็เดียรถีย์ทั้งหลายผู้ได้สมาบัติ ๘ ก็ดี ผู้เอามือลูบคลําพระจันทร์และพระอาทิตย์อยู่ก็ดี ย่อมบัญญัติความรอบรู้ ๓ อย่าง แต่ไม่อาจเพื่อจะเปลื้องอัตตวาทะได้ เพราะฉะนั้น จึงตกอยู่ในวัฏฏะ

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 28

บ่อยๆ นั้นเทียว. ก็เดียรถีย์เหล่านั้น ก็เหมือนกระต่ายรังเกียจแผ่นดิน. อุปมาเกี่ยวกับการสนทนาเนื้อเรื่องในที่นี้ ดังนี้. ได้ยินว่า แผ่นดินกล่าวกะกระต่ายว่า แน่ะกระต่าย. กระต่ายพูดว่า นั้นใคร. แผ่นดิน. เจ้าสําเร็จอิริยาบถทั้งหมด ถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะบนเราเทียว ทําไมจึงไม่รู้เรา กระต่าย. ท่านเห็นเราด้วยดี ก็ที่อันเราเหยียบเป็นเหมือนที่ถูกต้องด้วยปลายนิ้ว น้ำที่ปล่อยออกมาก็มีประมาณน้อย กรีสก็เพียงเมล็ดตุมกา แต่แม้ที่อันช้างและม้าเป็นต้นเหยียบแล้วเป็นที่ใหญ่ แม้ปัสสาวะของสัตว์เหล่านั้นประมาณเต็มหม้อ อุจจาระก็ประมาณกระเช้า เราพอละกับท่าน จึงกระโดดไปอยู่ในที่อื่น. แต่นั้นแผ่นดินกล่าวกะกระต่ายนั้นว่า โอ ถึงเจ้าไปไกล เจ้าก็อยู่บนเราแล้ว มิใช่หรือ. กระต่ายนั้นเกลียดแผ่นดินนั้นอีก จึงกระโดดไปอยู่ในที่อื่น. กระต่ายกระโดดแล้วกระโดดอีกอยู่ แม้พันปีอย่างนี้ ก็ไม่อาจพ้นแผ่นดินได้เดียรถีย์ทั้งหลายก็เหมือนอย่างนั้น แม้บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่าง ก็ย่อมบัญญัติการก้าวล่วงอุปาทาน ๓ อย่าง มีกามุปทานเป็นต้นเท่านั้น. แต่ไม่อาจเพื่อจะพ้นอัตตวาทะได้ เมื่อไม่อาจจึงตกอยู่ในวัฏฏะบ่อยๆ นั่นเทียว. ด้วยประการฉะนี้ เดียรถีย์ทั้งหลายไม่อาจเพื่อก้าวล่วงอุปาทานใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงวาทะที่ตัดขาดทิฏฐิ ด้วยอํานาจแห่งอุปาทานนั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงวาทะอันตัดความเลื่อมใส จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยเห็นปานนี้แล ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมวินเย ได้แก่ ในธรรมและวินัย. ทรงแสดงศาสนาซึ่งไม่เป็นเครื่องนําสัตว์ออกจากทุกข์ ด้วยบทแม้ทั้งสอง.

บทว่า โย สตฺถริ ปสาโท โส น สมฺมคฺคโต ความว่า ก็ศาสดาในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนําสัตว์ออกจากทุกข์ ทํากาละแล้ว เป็นสีหะบ้าง เสือโคร่งบ้าง เสือเหลืองบ้าง หมีบ้าง เสือดาวบ้าง. ส่วนสาวกทั้งหลายของศาสดานั้น เป็นเนื้อบ้าง สุกรบ้าง กระต่ายบ้าง. มันไม่

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 29

ทําความอดทน หรือความหวังดี หรือความเอ็นดูว่า สัตว์เหล่านี้ เคยเป็นอุปัฏฐาก ผู้ให้ปัจจัยแก่เรา ฆ่าสัตว์เหล่านั้นแล้ว ดูดเลือดบ้าง กินเนื้อสันทั้งหลายบ้าง. ก็อีกประการหนึ่ง ศาสดาเกิดเป็นแมว. สาวกทั้งหลายเป็นไก่หรือหนู. ลําดับนั้น แมวก็จะไม่ทําความอนุเคราะห์ ย่อมกินไก่ หรือหนูเหล่านั้นโดยนัยกล่าวแล้วนั้นเทียว. อนึ่ง ศาสดาเป็นนายนิรยบาล สาวกทั้งหลายเป็นสัตว์นรก. นายนิรยบาลนั้น จะไม่ทําความอนุเคราะห์ว่า สัตว์เหล่านี้ เคยให้ปัจจัยแก่เรา ย่อมทํากรรมกรณ์ต่างๆ ใส่ในรถที่ร้อนจัดบ้าง ให้ขึ้นภูเขาไฟบ้าง ทิ้งศีรษะลงในหม้อโลหะบ้าง ประกอบด้วยทุกขธรรมหลายอย่างบ้าง. ก็หรือสาวกทั้งหลายตายไปเป็นสัตว์มีสีหะเป็นต้น. ศาสดาเป็นสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งมีเนื้อเป็นต้น. สัตว์เหล่านั้นไม่ทําความอดทน หรือความหวังดี หรือความเอ็นดูในสัตว์นั้นว่า เราเคยอุปัฏฐากสัตว์นี้ด้วยปัจจัยสี่ สัตว์นี้เคยเป็นศาสดาของพวกเรา ดังนี้ ย่อมให้ถึงความพินาศ โดยนัยกล่าวแล้วนั้นเทียว. ในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนําสัตว์ออกจากทุกข์ด้วยประการฉะนี้ ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้นไม่ไปแล้วโดยชอบ แม้ไปสู่กาละอย่างไรแล้ว จะพินาศในภายหลังนั้นเทียว.

บทว่า โย ธมฺเม ปสาโท ความว่า ก็ธรรมดาความเลื่อมใสในธรรม ในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนําสัตว์ออกจากทุกข์ เป็นความเลื่อมใสในตันติธรรม เพียงเรียน เล่าเรียน ทรงไว้ และบอกแล้ว แต่ความพ้นจากวัฏฏะ ไม่มีในความเลื่อมใสนั้น เพราะฉะนั้น ความเลื่อมใสในธรรมนั้นใด ความเลื่อมใสนั้นรังแต่จะทําวัฏฎะให้ลึกบ่อยๆ เพราะฉะนั้น เรากล่าวว่าไม่ไปแล้วโดยชอบ คือ ไม่ไปแล้วโดยสภาวะ.

บทว่า ยา สีเลสุ ปริปูรการิตา ความว่า ความกระทําให้บริบูรณ์ด้วยอํานาจแห่งศีลทั้งหลาย มีศีลแพะเป็นต้น ในศาสนาที่ไม่นําสัตว์ออกจากทุกข์แม้ใด ความกระทําให้บริบูรณ์แม้นั้น ไม่ยังให้ถึงความพ้นจากวัฏฏะ คือ ความสลัดออกจากภพ

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 30

ได้ แต่เมื่อถึงพร้อม ย่อมนํามาสู่กําเนิดเดียรัจฉาน เมื่อให้ผลย่อมนํามาสู่นรก เพราะฉะนั้น เราจึงไม่กล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ.

บทว่า ยา สหธมฺมิเกสุ ความว่า ก็ในศาสนาอันไม่เป็นเครื่องนําสัตว์ออกจากทุกข์ หมู่สหธรรมิกบางพวกทํากาละแล้ว เป็นสัตว์แม้มีสีหะเป็นต้น บางพวกเป็นสัตว์มีเนื้อเป็นต้น ในสัตว์เหล่านั้น พวกที่เป็นสัตว์มีสีหะเป็นต้น ไม่ทํากิจมีความอดทนเป็นต้น ในสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเนื้อเป็นต้นว่า สัตว์เหล่านี้เป็นสหธรรมิกของพวกเราดังนี้แล้ว ยังมหาทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลาย มีเนื้อเป็นต้นเหล่านั้น โดยนัยกล่าวแล้วในบทก่อนนั้นเทียว เพราะฉะนั้น แม้ความเป็นที่รัก และน่าพอใจในหมู่สหธรรมิกนั้น เราจึงกล่าวว่า ไม่ไปแล้วโดยชอบ. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงประเภทแห่งการณ์แม้ทั้งหมดนี้รวมกัน จึงตรัสว่า ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะข้อนั้น ดังนี้เป็นต้น. ความสังเขปในบทนั้น ดังนี้.

บทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะข้อที่เรากล่าวว่าความเลื่อมใสในศาสดาใด ไม่ไปแล้วโดยชอบนั้นย่อมเป็นอย่างนี้ ดังนี้เป็นต้นนั้นย่อมเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุอะไร เพราะความเลื่อมใสเป็นต้นเหล่านั้น ในธรรมวินัยที่ศาสดากล่าวชั่วแล้ว ฯลฯ มิใช่อันผู้รู้เองโดยชอบประกาศไว้.

ก็ในบทนั้น บทว่า ยถาตํ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูรกฺขาเต ได้แก่ กล่าวไว้ไม่ดี. ชื่อว่า ประกาศไม่ดีแล้ว เพราะความที่ธรรมวินัยนั้นกล่าวไว้ไม่ดีนั้นเทียว. ก็ธรรมวินัยนี้นั้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่มรรคและผล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อนิยฺยานิโก แปลว่า ไม่เป็นเครื่องนําออกจากทุกข์. ชื่อว่า ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ เพราะไม่เป็นไปเพื่อความสงบกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น. ชื่อว่า ไม่ใช่อันผู้รู้เองโดยชอบประกาศไว้ เพราะอันผู้รู้เองโดยชอบ คือ สัพพัญู ไม่ประกาศไว้. ในธรรมวินัยนั้น มิใช่สภาพนําออกจากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความ

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 31

สงบ มิใช่อันผู้รู้เองโดยชอบประกาศไว้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่าความเลื่อมใสในเดียรถีย์ทั้งหลายไร้ประโยชน์ ดุจความเลื่อมใสในสุนัขจิ้งจอกดื่มสุราฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้.

ได้ยินว่า สุนัขจิ้งจอก ตาบอดข้างเดียวตัวหนึ่งเข้าสู่นครในกลางคืน กินส่าสุราแล้วนอนหลับในป่าบุนนาค ตื่นขึ้นในเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้วคิดว่า เราไม่อาจไปในเวลานี้ได้ สัตว์ที่เป็นเวรกับเรามีมาก สมควรหลอกลวงคนหนึ่งดังนี้. สุนัขจิ้งจอกนั้นเห็นพราหมณ์ผู้หนึ่งเดินไป จึงคิดว่าเราจักหลอกลวงพราหมณ์นี้ แล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านพราหมณ์. พราหมณ์พูดว่า นั่นใครเรียกพราหมณ์. สุนัขจิ้งจอกตอบว่า เรา นาย ท่านจงมานี้ก่อน. พราหมณ์. อะไรนาย. สุนัขจิ้งจอก. ท่านจงนําเราไปนอกบ้าน เราจักให้กหาปณะสองร้อยแก่ท่าน. พราหมณ์นั้นพูดว่า เราจักนําไป แล้วจับที่เท้าทั้งหลาย. สุนัขจิ้งจอกพูดว่า แน่ะพราหมณ์โง่ เราไม่มีกหาปณะทอดทิ้งไว้ กหาปณะเป็นของหาได้ยาก เจ้าจงจับเราดีๆ. พราหมณ์. เราจะจับอย่างไร นาย. สุนัขจิ้งจอก. ท่านจงเอาผ้าห่มสะพายเราแล้วจับ. พราหมณ์จับสุนัขจิ้งจอกอย่างนั้น แล้วไปสู่สถานใกล้ที่ประตูทางทิศใต้ แล้วถามว่า เราจักปล่อยในที่นี้. สุนัขจิ้งจอก. นั่นที่ไหน. พราหมณ์. นั่นประตูใหญ่. สุนัขจิ้งจอก. เอ้ยพราหมณ์โง่ ญาติของท่านเก็บกหาปณะไว้ในภายในประตูหรือ จงนําเราไปที่อื่น. พราหมณ์นั้นค่อยๆ ไปพลางถามว่า เราจักปล่อยที่นี้ๆ ถูกสุนัขจิ้งจอกคุกคามแล้วบอกว่า ท่านจงไปที่ปลอดภัยแล้ว ปล่อยในที่นั้น ดังนี้แล้วปล่อยไป ถือผ้าสาฎก. กาณสิงคาลกล่าวว่า เราได้พูดไว้ว่า เราจักให้กหาปณะสองร้อยแก่ท่าน แต่เรามีกหาปณะมาก ไม่ใช่มีเพียงสองร้อยกหาปณะเท่านั้น ท่านจงยืนดูพระอาทิตย์จนกว่าเราจะนํากหาปณะทั้งหลายมาให้ท่านแล้วค่อยๆ ไป กลับมาพูดกะพราหมณ์อีกว่า ท่านพราหมณ์ ท่านอย่ามองดูแต่ที่นี้

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 32

จงยืนมองดูพระอาทิตย์อย่างเดียว. ก็แลสุนัขจิ้งจอก ครั้นพูดอย่างนี้แล้ว ก็เข้าไปสู่ป่าการะเกด หนีไปตามชอบใจ. ฝ่ายพราหมณ์มองดูพระอาทิตย์นั้นเทียว จนเหงื่อไหลออกจากหน้าผาก และรักแร้. ลําดับนั้น รุกขเทวดาได้กล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า

ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเชื่อสุนัขจิ้งจอกดื่มสุรา สุนัขจิ้งจอกทั้งร้อยไม่มีศิลปะ กหาปณะตั้งสองร้อยจะมีแต่ที่ไหน.

ด้วยประการฉะนี้ ความเลื่อมใสในกาณสิงคาลไร้ประโยชน์ ฉันใด ความปีติอย่างดีในเดียรถีย์ ก็ไร้ประโยชน์ฉันนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความที่ความเลื่อมใสในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนําออกจากทุกข์ เป็นสิ่งไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อทรงแสดงความที่เลื่อมใสนั้นในศาสนาที่เป็นเครื่องนําออกจากทุกข์ว่า เป็นสิ่งมีประโยชน์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตถาคตแล ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามุปาทานสฺส ปริฺํ ปฺาเปติ ความว่า ทรงบัญญัติความรอบรู้ในการละ คือ การก้าวล่วงกามุปาทาน ด้วยอรหัตตมรรค ทรงบัญญัติความรอบรู้อุปทาน ๓ อย่างนอกนี้ ด้วยโสดาปัตติมรรค.

บทว่า เอวรูเปโข ภิกฺขเว ธมฺมวินเย ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมและวินัยเห็นปานนี้ ทรงแสดงศาสนาที่เป็นเครื่องนําออกจากทุกข์ด้วยบทแม้ทั้งสอง.

บทว่า สตฺถริ ปสาโท ความว่า ในศาสนาเห็นปานนี้ ความเลื่อมใสในพระศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้น เรากล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ คือย่อมเป็นไปเพื่อสลัดออกจากทุกข์ในภพ. ในข้อนั้นมีเรื่องเหล่านี้.

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 33

ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยอยู่ในถ้ำอินทศาล ณ เวทิสสกบรรพต. ครั้งนั้นนกฮูกตัวหนึ่ง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ก็บินตามได้ครึ่งทาง ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมา ก็ทําการต้อนรับครึ่งทาง. ในวันหนึ่ง นกฮูกนั้นลงจากภูเขา ไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับนั่งในเวลาเย็น โดยป้องปีก ประคองอัญชลีทําศีรษะให้ต่ําลง ยืนนมัสการพระทศพลอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูนกฮูกนั้นแล้ว ทรงกระทําการยิ้มแย้ม. พระอานนทเถระทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยแห่งการทรงยิ้มแย้มให้ปรากฏ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงดูนกฮูกนี้ นกฮูกนี้ยังจิตให้เลื่อมใสในเรา และในพระภิกษุสงฆ์แล้วท่องเที่ยวในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายตลอดแสนกัป จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าโสมนัส ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า

ดูก่อนนกฮูกตากลม อยู่เป็นเวลายาวนานในภูเขาเวทิสสกะ เจ้านกฮูก เจ้ามีความสุขแล้ว เจ้านั้นเห็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐผู้ลุกขึ้นตามกาล ยังจิตให้เลื่อมใสในเรา และในพระภิกษุสงฆ์อันยอดเยี่ยม จะไม่ไปสู่ทุคติตลอดแสนกัป ครั้นเคลื่อนจากเทวโลกแล้ว อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีญาณอันหาที่สุดมิได้ปรากฏนามว่า โสมนัส.

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 34

ก็เรื่องทั้งหลายมีเรื่องสุมนมาลาการ ในนครราชคฤห์ เรื่องมหาเภริวาทกะ เรื่องโมรชาดก เรื่องวีณาวาทะ เรื่องสังขธมกะ ดังนี้เป็นต้น แม้อื่นๆ พึงให้พิสดารในเรื่องนั้น. ความเลื่อมใสในพระศาสดาในศาสนาที่เป็นเครื่องนําออกจากทุกข์ เป็นอันไปแล้วโดยชอบ ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า ธมฺเม ปสาโท ความว่า ความเลื่อมใสในธรรม ในศาสนาที่เป็นเครื่องนําออกจากทุกข์ เป็นอันไปแล้วโดยชอบ ความเลื่อมใสนั้นย่อมให้สมบัติแม้แก่ดิรัจฉานทั้งหลายที่ถือนิมิตในสักว่าเสียง ฟังอยู่. เนื้อความนี้พึงทราบด้วยอํานาจแห่งเรื่องของมัณฑุกเทวบุตรเป็นต้น.

บทว่า สีเลสุ ปริปูรการิตา ความว่า แม้ความกระทําให้บริบูรณ์ในศีล ในศาสนาที่เป็นเครื่องนําออกจากทุกข์ เป็นอันไปแล้วโดยชอบ คือย่อมนํามาซึ่งสวรรค์สมบัติและโมกขสมบัติ. ในที่นั้น พึงแสดงเรื่องทั้งหลายมีเรื่องฉัตตมาณวกะ และเรื่องสามเณรเป็นต้น.

บทว่า สหธมฺมิเกสุ ความว่า แม้ความเป็นที่รักและน่าพอใจในหมู่สหธรรมิก ในศาสนาที่เป็นเครื่องนําออกจากทุกข์ เป็นอันไปแล้วโดยชอบ คือย่อมนํามาซึ่งมหาสมบัติ. เนื้อความนี้พึงแสดงด้วยเรื่องวิมานเปรตทั้งหลาย ก็ท่านได้กล่าวคํานั้นไว้ว่า เราได้ให้น้ำนมแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต เราให้น้ำอ้อย ฯลฯ ลําอ้อย มะพลับ แตง ฟักทอง วัลลิปักกะ หัตถปตากะ กําผัก ข้าวเม่า เผือก กําสะเดา น้ำส้ม ขนมทอด ประคตเอว ผ้าอังสะ ผ้าสําหรับทําความเพียร การพูด พัดใบตาล โมรหัตถ์ ร่ม รองเท้า ขนม ก้อนขนม เครื่องผูก แก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ท่านจงดูวิมานของเรานั้น เรามีนางฟ้าผู้มีวรรณน่าใคร่ ดังนี้ คําว่า ตํ กิสฺส เหตุ เป็นต้นพึงทราบประกอบโดยแนวแห่งนัยที่กล่าวแล้ว เถิด.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงปัจจัยแห่งอุปาทานทั้งหลายที่เดียรถีย์ทั้งหลายไม่บัญญัติความรอบรู้โดยชอบ ตถาคตทรงบัญญัติ จึงตรัส

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 35

ว่า อิเม จ ภิกฺขเว เป็นต้น. คําทั้งหลายมีนิทานเป็นต้น

ในบททั้งหลายมีว่า กิํนิทานา เป็นต้นในบทนั้น. ทั้งหมดเทียวเป็นไวพจน์ของการณ์ จริงอยู่ การณ์ย่อมมอบให้ซึ่งผล เหมือนส่งให้ว่า เอาเถอะ ท่านทั้งหลายจงถือเอาผลนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่านิทาน. เพราะนิทานนั้น ย่อมเกิด ตั้งขึ้น ผลิตออกจากการณ์นั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า สมุทัย ชาติ ปภวะ. ก็เนื้อความแห่งบทในที่นี้ ดังนี้. อะไรเป็นต้นเหตุแห่งอุปาทานเหล่านั้น เพราะฉะนั้น อุปาทานเหล่านั้นมีอะไรเป็นต้นเหตุ. อะไรเป็นเหตุเกิดแห่งอุปาทานเหล่านั้น เพราะฉะนั้น อุปาทานเหล่านั้น มีอะไรเป็นเหตุเกิด. อะไรเป็นกําเนิดของอุปทานเหล่านั้น เพราะฉะนั้น อุปาทานเหล่านั้น มีอะไรเป็นกําเนิด. อะไรเป็นแดนเกิดของอุปทานเหล่านั้น เพราะฉะนั้น อุปทานเหล่านั้น มีอะไรเป็นแดนเกิด. ก็เพราะตัณหาเป็นต้นเหตุ เป็นเหตุเกิด เป็นกําเนิดและเป็นแดนเกิดของอุปาทานเหล่านั้น โดยเนื้อความตามที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า มีตัณหาเป็นต้นเหตุ ดังนี้เป็นต้น. พึงทราบเนื้อความในบททั้งปวงอย่างนี้. ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรู้ปัจจัยแห่งอุปาทานอย่างเดียวเท่านั้น หามิได้ ย่อมทรงรู้ถึงปัจจัยของตัณหาซึ่งเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานด้วย ของธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้น ซึ่งมีตัณหาเป็นต้นเป็นปัจจัยด้วย เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานี้ ดังนี้เป็นอาทิ.

บทว่า ยโต จ โข ได้แก่ในกาลใด.

บทว่า อวิชฺชา ปหีนา โหติ ความว่า อวิชชาซึ่งเป็นรากเหง้าของวัฏฏะ เป็นอันละแล้วด้วยอนุปปาทนิโรธ.

บทว่า วิชฺชา อุปฺปนฺนา ได้แก่ วิชชาคืออรหัตตมรรคเกิดขึ้นแล้ว.

บทว่า โส อวิชฺชาวิราคา วิชฺชุปฺปาทา ความว่า ภิกษุนั้น เพราะความที่อวิชชาละได้แล้ว และเพราะความที่วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ถือมั่นกามุปาทาน.

บทว่า เนว กามุปาทานํ อุปาทิยติ ความว่า ย่อมไม่ถือมั่น คือไม่เข้าสู่กามุปาทาน ย่อมไม่ถือมั่น

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 7 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 36

ย่อมไม่เข้าสู่อุปาทานทั้งหลายที่เหลือ.

บทว่า อนุปาทิยํ น ปริตสฺสติ ความว่า เมื่อไม่ถือมั่นอุปาทานไรๆ อย่างนี้ เชื่อว่าไม่สะดุ้ง ด้วยความสะดุ้งคือตัณหา.

บทว่า อปริตสฺสํ ได้แก่เมื่อไม่สะดุ้ง คือไม่ยังตัณหาให้เกิดขึ้น.

บทว่า ปจฺจตฺตํเยว ปรินิพฺพายติ ความว่า ย่อมปรินิพพานด้วยการดับกิเลส เฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความสิ้นไปแห่งอาสวะแก่ภิกษุนั้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงปัจจเวกขณะญาณแก่ภิกษุผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว จึงตรัสว่า ชาติสิ้นแล้ว ดังนี้เป็นต้น. บทที่เหลือมีเนื้อความดังกล่าวแล้วแล.

จบ อรรถกถาจุลลสีหนาทสูตรที่ ๑