พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๖. เจโตขีลสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  27 ส.ค. 2564
หมายเลข  36020
อ่าน  634

[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 170

๖. เจโตขีลสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 18]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 170

๖. เจโตขีลสูตร

[๒๒๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.

[๒๒๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งไม่ละตะปูตรึงใจ ๕ ประการ ไม่ถอนเครื่องผูกพันใจ ๕ ประการ ภิกษุนั้นหนอจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

[๒๒๘] ตะปูตรึงใจ ๕ ประการอันเธอยังละไม่ได้เป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุที่สงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น. ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจประการที่ ๑ ที่ภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุที่สงสัยเคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระธรรมนั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 171

ความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจประการที่ ๒ ที่ภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุที่สงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์นั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ชื่อว่าตะปูตรึงใจประการที่ ๓ ที่ภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุที่สงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขานั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจ ประการที่ ๔ ที่ภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้โกรธเคือง ไม่พอใจ มีจิตอันโทสะกระทบกระทั่ง มีใจดุจตะปูในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุที่โกรธเคือง ไม่พอใจ มีจิตอันโทสะกระทบกระทั่ง มีใจดุจตะปูในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายนั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 172

เพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจประการที่ ๕ ที่ภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว. ตะปูตรึงใจ ๕ ประการเหล่านี้ ชื่อว่าอันภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว.

เครื่องผูกพันใจ ๕ ประการ

[๒๒๙] เครื่องผูกพันใจ ๕ ประการ อันภิกษุนั้นยังถอนไม่ได้ เป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่ปราศจากความกําหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความเร่าร้อน ไม่ปราศจากความทะเยอทะยานในกาม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ไม่ปราศจากความกําหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความเร่าร้อน ไม่ปราศจากความทะเยอทะยานในกาม ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น. ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่า เครื่องผูกพันใจประการที่ ๑ ที่ภิกษุนั้นยังถอนไม่ได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ไม่ปราศจากความกําหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความเร่าร้อน ไม่ปราศจากความทะเยอทะยานในร่างกาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ไม่ปราศจากความกําหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 173

เร่าร้อน ไม่ปราศจากความทะเยอทะยานในร่างกายนั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าเครื่องผูกพันใจประการที่ ๒ ที่ภิกษุนั้นยังถอนไม่ได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ไม่ปราศจากความกําหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความเร่าร้อน ไม่ปราศจากความทะเยอทะยานในรูป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ไม่ปราศจากความกําหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความเร่าร้อน ไม่ปราศจากความทะเยอทะยานในรูปนั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าเครื่องผูกพันใจประการที่ ๓ ที่ภิกษุนั้นยังถอนไม่ได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุบริโภคอิ่มพอความประสงค์แล้ว ประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการเอน ความสุขในความหลับอยู่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้บริโภคอิ่มพอความประสงค์แล้ว ประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการเอน ความสุขในความหลับอยู่นั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 174

ความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าเครื่องผูกพันใจประการที่ ๔ ที่ภิกษุนั้นยังถอนไม่ได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุจักประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อปรารถนาเทพนิกายอันใดอันหนึ่งว่า เราจักได้เป็นเทพเจ้า หรือเทพองค์ใดองค์หนึ่งด้วยศีลอันนี้ ด้วยข้อวัตรอันนี้ ด้วยตบะอันนี้ หรือด้วยพรหมจรรย์อันนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้จักประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อปรารถนาเทพนิกายอันใดอันหนึ่งว่า เราจักได้เป็นเทพเจ้า หรือเทพองค์ใดองค์หนึ่ง ด้วยศีลอันนี้ ด้วยข้อวัตรอันนี้ ด้วยตบะอันนี้ หรือด้วยพรหมจรรย์อันนี้นั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น. ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าเครื่องผูกพันใจ ประการที่ ๕ ที่ภิกษุนั้นยังถอนไม่ได้แล้ว. เครื่องผูกพันใจ ๕ ประการเหล่านี้ ชื่อว่าอันภิกษุนั้นยังถอนไม่ได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งไม่ละตะปูตรึงใจ ๕ ประการเหล่านี้ ไม่ถอนเครื่องผูกพันใจ ๕ ประการเหล่านั้น ภิกษุนั้นหนอ จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

[๒๓๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งละตะปูตรึงใจ ๕ ประการเสียได้ ถอนเครื่องผูกพันใจ ๕ ประการเสียได้ ภิกษุนั้นหนอ จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.

[๒๓๑] ตะปูตรึงใจ ๕ ประการ ชื่อว่า อันภิกษุนั้นละได้แล้วเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ปลงใจเชื่อ เลื่อมใสในพระศาสดา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 175

ผู้ไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ปลงใจเชื่อ เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น. ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจประการที่ ๑ ที่ภิกษุนั้นละได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ปลงใจเชื่อ เลื่อมใสในพระธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ไม่สงสัยไม่เคลือบแคลง ปลงใจเชื่อ เลื่อมใสในพระธรรมนั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ชื่อว่าตะปูตรึงใจประการที่ ๒ ที่ภิกษุนั้นละได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ปลงใจเชื่อ เลื่อมใสในพระสงฆ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ปลงใจเชื่อ เลื่อมใสในพระสงฆ์นั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจประการที่ ๓ ที่ภิกษุนั้นละได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ปลงใจเชื่อ เลื่อมใสในสิกขา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ปลงใจเชื่อ เลื่อมใสในสิกขานั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครี่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 176

เพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจประการที่ ๔ ที่ภิกษุนั้นละได้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ไม่โกรธเคือง ไม่ใช่เป็นผู้ไม่พอใจ มีจิตอันโทสะไม่กระทบกระทั่ง หาใช่ผู้มีใจดุจตะปูไม่ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ไม่โกรธเคืองไม่ใช่เป็นผู้ไม่พอใจ มีจิตอันโทสะไม่กระทบกระทั่ง หาใช่ผู้มีใจดุจตะปูไม่ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายนั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจประการที่ ๕ ที่ภิกษุนั้นละได้แล้ว. ตะปูตรึงใจ ๕ ประการเหล่านี้ ชื่อว่าอันภิกษุนั้นละได้แล้ว.

[๒๓๒] เครื่องผูกพันใจ ๕ ประการ อันภิกษนั้นถอนได้ดีแล้วเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปราศจากความกําหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเร่าร้อน ปราศจากความทะเยอทะยานในกาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ปราศจากความกําหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเร่าร้อน ปราศจากความทะเยอะทะยานในกามนั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าเครื่องผูกพันใจประการที่ ๑ ที่ภิกษุนั้นถอนได้ดีแล้ว.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 177

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ปราศจากความกําหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเร่าร้อน ปราศจากความทะเยอทะยานในร่างกาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ปราศจากความกําหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเร่าร้อน ปราศจากความทะเยอทะยานในร่างกายนั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าเครื่องผูกพันใจประการที่ ๒ ที่ภิกษุนั้นถอนได้ดีแล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ปราศจากความกําหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเร่าร้อน ปราศจากความทะเยอทะยานในรูป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ปราศจากความกําหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเร่าร้อน ปราศจากความทะเยอทะยานในรูปนั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าเครื่องผูกพันใจประการที่ ๓ ที่ภิกษุนั้นถอนได้ดีแล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุไม่บริโภค อิ่มพอความประสงค์แล้ว ไม่ประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการเอน ความสุข

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 178

ในความหลับอยู่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้ไม่บริโภค อิ่มพอความประสงค์แล้ว ไม่ประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการเอน ความสุขในความหลับอยู่นั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าเครื่องผูกพันใจประการที่ ๓ ที่ภิกษุนั้นถอนได้ดีแล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ปรารถนาเทพนิกายอันใดอันหนึ่งว่า เราจักได้เป็นเทพเจ้า หรือเทพองค์ใดองค์หนึ่งด้วยศีลอันนี้ ด้วยข้อวัตรอันนี้ ด้วยตบะอันนี้ หรือด้วยพรหมจรรย์อันนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้จักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ปรารถนาเทพนิกายอันใดอันหนึ่งว่า เราจักได้เป็นเทพเจ้า หรือเทพองค์ใดองค์หนึ่งด้วยศีลอันนี้ ด้วยข้อวัตรอันนี้ ด้วยตบะอันนี้ หรือด้วยพรหมจรรย์อันนี้นั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรตั้งมั่น. ข้อที่จิตของภิกษุน้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความทําติดต่อ เพื่อความเพียรตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่าเครื่องผูกพันใจประการที่ ๕ ที่ภิกษุนั้น ถอนได้ดีแล้ว. เครื่องผูกพันใจ ๕ ประการเหล่านี้ ชื่อว่าอันภิกษุนั้นถอนได้ดีแล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ละตะปูตรึงใจ ๕ ประการเหล่านี้ได้แล้ว ถอนเครื่องผูกพันใจ ๕ ประการเหล่านี้ได้ดีแล้ว ภิกษุนั้นจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 179

อุปมาเหมือนไข่ของแม่ไก่

[๒๓๓] ภิกษุนั้นเจริญอิทธิบาท ประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร ๑ วิริยสมาธิปธานสังขาร ๑ จิตตสมาธิปธานสังขาร ๑ วิมังสาสมาธิปธานสังขาร ๑ และมีความขะมักเขม้นเป็นที่ ๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๕ รวมทั้งความขะมักเขม้นอย่างนี้นั้นแล เป็นผู้ควรแก่ความเบื่อหน่าย เป็นผู้ควรแก่การตรัสรู้ เป็นผู้ควรแก่การบรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงเยี่ยม.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๕ รวมทั้งความขะมักเขม้นอย่างนี้ เป็นผู้ควรแก่ความเบื่อหน่าย เป็นผู้ควรแก่การตรัสรู้ เป็นผู้ควรแก่การบรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงเยี่ยม เปรียบเหมือนไข่ของแม่ไก่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง แม่ไก่กกไว้โดยชอบ ให้อบอุ่นโดยชอบ ฟักโดยชอบ ถึงแม่ไก่นั้นจะไม่ปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอให้ลูกไก่เหล่านี้จงทําลายเปลือกไข่ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีก็ตาม ลูกไก่เหล่านั้นก็ต้องทําลายเปลือกไข่ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปากออกมาโดยสวัสดีได้ ฉะนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.

จบ โจโตขีลสูตรที่ ๖

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 180

อรรถกถาเจโตขีลสูตร

เจโตขีลสูตรเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้

ในเจโตขีลสูตรนั้น ความที่จิตเป็นชาติแข็งกระด้าง ความที่จิตเป็นดุจเกราะ ความที่จิตเป็นดุจตอไม้ ชื่อว่า เจโตขีลา.

บทว่า เจตโส วินิพนฺธา ความว่า กิเลสเครื่องหน่วงเหนี่ยวจิต เพราะอรรถว่า ผูกพันจิตยึดไว้เหมือนทําไว้ในกํามือ.

ความเจริญด้วยศีล ความงอกงามด้วยมรรค ความไพบูลย์ด้วยนิพพาน หรือความเจริญด้วยศีล และสมาธิ ความงอกงามด้วยวิปัสสนามรรค ความไพบูลย์ด้วยผล และนิพพาน ในบทเป็นต้นว่า วุฑฺฒิํ.

บทว่า สตฺถริ กงฺขติ ความว่า ภิกษุสงสัยในพระสรีระ หรือพระคุณของพระศาสดา. ภิกษุเมื่อสงสัยในพระสรีระ ก็ย่อมสงสัยว่า พระสรีระที่ประดับประดาด้วยพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการมีอยู่หนอแล หรือไม่มี. เมื่อสงสัยในพระคุณก็ย่อมสงสัยว่า พระสัพพัญุตญาณ ที่สามารถรู้อดีต อนาคต และปัจจุบันมีอยู่ หรือไม่หนอ.

บทว่า วิจิกิจฺฉติ ความว่า เมื่อวิจัยย่อมเคลือบแคลง คือ ย่อมถึงทุกข์ ย่อมไม่อาจวินิจฉัย.

บทว่า นาธิมุจฺจติ ความว่า ย่อมไม่ได้รับความน้อมไปว่า นั่นต้องเป็นอย่างนี้.

บทว่า สมฺปสีทติ ความว่าย่อมไม่อาจเพื่อหยั่งลงในพระคุณทั้งหลายแล้วเลื่อมใส โดยความเป็นผู้ปราศจากความเคลือบแคลง คือ เพื่อเป็นผู้หมดความสงสัย.

บทว่า อาตปฺปาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่การทําความเพียรเครื่องเผากิเลส.

บทว่า อนุโยคาย ความว่า เพื่อประกอบความเพียรบ่อยๆ.

บทว่า สาตจฺจาย ความว่า เพื่อกระทําต่อเนื่อง.

บทว่า ปธานาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่การตั้งมั่น.

บทว่า อยํ ปโม เจโตขีโล ความว่า ความที่จิตเป็นธรรมชาติแข็งกระด้าง

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 181

กล่าวคือ ความเคลือบแคลงในพระศาสดาข้อที่ ๑ นี้ ย่อมเป็นอันภิกษุนั้นละยังไม่ได้แล้ว ด้วยเหตุอย่างนี้.

บทว่า ธมฺเม คือในปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรม. เมื่อสงสัยในปริยัติธรรม ย่อมสงสัยว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า พระพุทธพจน์ คือ ไตรปิฏกมี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นั่นมีอยู่หนอแล หรือไม่มี. เมื่อสงสัยในปฏิเวธธรรม ย่อมสงสัยว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ความไหลออกแห่งวิปัสสนา ชื่อว่า มรรค ความไหลออกแห่งมรรคชื่อว่า ผล การสลัดออกซึ่งสังขารทั้งปวง ชื่อว่า นิพพาน ดังนี้นั้น มีอยู่ หรือไม่หนอแล.

บทว่า สงฺเฆ กงฺขติ ความว่า ย่อมสงสัยว่า ชื่อว่าพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่แห่งบุคคล ๘ คือ ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ ผู้ปฏิบัติปฏิปทา เห็นปานนี้ ด้วยอํานาจแห่งบททั้งหลายมีว่า ผู้ปฏิบัติดี เป็นต้น มีอยู่ หรือไม่หนอแล. เมื่อสงสัยในสิกขา ก็ย่อมสงสัยว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ชื่ออธิสีลสิกขา ชื่ออธิจิตตสิกขา ชื่ออธิปัญญาสิกขา ดังนี้ สิกขานั้นมีอยู่ หรือไม่หนอแล.

บทว่า อยํ ปฺจโม ความว่า ความที่จิตเป็นธรรมชาติแข็งกระด้าง เป็นดุจเกราะ เป็นดุจตอไม้ กล่าวคือ ความกําเริบในเพื่อนสพรหมจารีนี้ เป็นที่ ๕.

พึงทราบวินิจฉัยในกิเลสเครื่องหน่วงเหนี่ยวทั้งหลาย.

บทว่า กาเม ได้แก่ วัตถุกามบ้าง กิเลสกามบ้าง.

บทว่า กาเย ความว่า ในกายของตน.

บทว่า รูเป ความว่า ในรูปภายนอก.

บทว่า ยาวทตฺถํ ความว่า มีประมาณเท่าที่ต้องการ.

บทว่า อุทราวเทหกํ ได้แก่ เต็มท้อง. จริงอยู่ ท้องนั้นเรียกว่า อุทราวเทหกํ เพราะไม่ย่อย.

บทว่า เสยฺยสุขํ ความว่า ความสุขบนเตียง และบนตั่ง หรือความสุขในฤดู.

บทว่า ปสฺสสุขํ ความว่า ความสุขที่เกิดขึ้นเหมือนอย่างความสุขตะแคงขวา และตะแคงซ้ายของผู้นอนพลิกไปมาฉะนั้น.

บทว่า มิทฺธสุขํ ได้แก่ ความสุขในการหลับ.

บทว่าอนุยุตฺโต

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 182

ความว่า เป็นผู้ประกอบความเพียรอยู่.

บทว่า ปณิธาย ความว่า ปรารถนาแล้ว.

จริงอยู่ จตุปาริสุทธสีล ชื่อว่า สีล ในบทเป็นต้นว่า สีเลน ดังนี้. การสมาทานวัตร ชื่อว่า วตะ. การประพฤติความเพียรเครื่องเผากิเลส ชื่อว่า ตบะ. การงดเว้นเมถุน ชื่อว่า พรหมจรรย์.

บทว่า เทโว วา ภวิสฺสามิ ความว่า เราจักเป็นเทพเจ้าผู้มเหศักดิ์.

บทว่า เทวฺตโรวา ความว่า หรือเป็นเทพองค์ใดองค์หนึ่งในบรรดาเทพผู้มีศักดิ์น้อย. สมาธิที่ถึงแล้วเพราะอาศัยความพอใจในอิทธิบาททั้งหลาย ชื่อว่า ฉันทสมาธิ. สังขารทั้งหลายที่เป็นปธาน ชื่อว่า ปธานสังขาร.

บทว่า สมนฺนาคตํ ความว่า ประกอบด้วยธรรมเหล่านั้น. บาทแห่งฤทธิ์ หรือบาทที่เป็นฤทธิ์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อิทธิบาท. ในบททั้งหลายแม้ที่เหลือ ก็มีนัยเช่นนั้นเทียว. ความสังเขปในพระสูตรนี้เพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดาร มาแล้วในอิทธิบาทวิภังค์นั้นแล. ส่วนเนื้อความแห่งอิทธิบาทนั้นได้แสดงไว้แล้วในวิสุทธิมรรค. ได้กล่าวการละด้วยการข่มไว้ด้วยอิทธิบาท ๔ นี้ ด้วยประการฉะนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความเพียรอันพึงกระทําในที่ทั้งปวงว่า อุสฺโสฬฺหิ ในบทนี้ว่า อุสฺโสฬหิเยว ปฺจมี ดังนี้.

บทว่า อุสฺโสฬฺหิปณฺณรสงฺคสมนฺนาคโต ความว่า ผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๕ ประการพร้อมกับความเพียรอย่างนี้ คือ การละตะปูตรึงใจ ๕ การละกิเลสเครื่องรึงรัดจิต ๕ อิทธิบาท ๔ ความเพียร ๑.

บทว่า ภพฺโพ ความว่า อนุรูป คือสมควร.

บทว่า อภินิพฺภิทาย ความว่า เพื่อทําลายกิเลสด้วยญาณ.

บทว่า สมฺโพธาย ความว่า เพื่อตรัสรู้ดีซึ่งมรรค ๔.

บทว่า อนุตฺตรสฺส ความว่าประเสริฐที่สุด.

บทว่า โยคกฺเขมสฺส ความว่า ความเกษมจากโยคะ ๔ คือพระอรหัต.

บทว่า อธิคมาย ความว่า เพื่อได้รับ.

ศัพท์ว่า เสยฺยถา เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเปรียบเทียบ. ศัพท์ว่า ปิ เป็นนิบาตลงในอรรถว่า

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 183

ยกย่อง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด ดังนี้ ด้วยบทแม้ทั้งสอง. ก็ในบทนี้ว่า ไข่ของแม่ไก่มี ๘ ฟองบ้าง ๑๐ ฟองบ้าง ๑๒ ฟองบ้าง ดังนี้ จะเป็นไข่ของแม่ไก่แม้น้อยกว่า หรือมากกว่าจากประการที่กล่าวแล้วก็ตาม. แต่คํานั้นท่านกล่าวด้วยความสละสลวยแห่งถ้อยคํา. จริงอยู่ถ้อยคําที่สละสลวยย่อมมีในโลกอย่างนี้.

บทว่า ตานสฺสุ แยกบทเป็น ตานิอสฺสุ ความว่า ไข่เหล่านั้นพึงมี.

บทว่า กุกฺกุฎิยา สมฺมา อธิสยิตานิ ความว่า เมื่อแม่ไก่นั้นป้องปีกทั้งสองกกไข่เหล่านั้น ไข่เหล่านั้นเป็นอันแม่ไก่กกดีแล้ว.

บทว่า สมฺมา ปริเสทิตานิ ความว่า อันแม่ไก่ให้อบอุ่นตลอดกาลอันสมควร เป็นอันอบอุ่นด้วยดี คือ โดยชอบ ได้แก่ กระทําให้มีไออุ่น.

บทว่า สมฺมา ปริภาวิตานิ ความว่า เป็นอันฟักด้วยดี คือโดยชอบตลอดกาลอันสมควรอธิบายว่า ให้ได้รับกลิ่นของไก่.

บทว่า กิฺจาปิ ตสฺส กุกฺกุฏิยา ความว่า แม่ไก่นั้นทําความไม่ประมาทด้วยการทํากิริยา ๓ อย่างนี้ ไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้โดยแท้.

บทว่า อถโข ภพฺพาว เต ความว่า ลูกไก่เหล่านั้น ควรแท้เพื่อออกมาโดยสวัสดี โดยนัยที่กล่าวแล้ว. จริงอยู่ เพราะไข่ทั้งหลายอันแม่ไก่นั้นเพียรฟักด้วยอาการ ๓ อย่างนี้ ย่อมไม่เน่า ยางเหนียวของไข่เหล่านั้น ก็จะถึงความแก่ขึ้น เปลือกไข่ก็จะบาง ปลายเล็บเท้า และจะงอยปากก็จะแข็ง ไข่ทั้งหลายก็จะแก่รอบ แสงสว่างข้างนอกก็จะปรากฏข้างในเพราะเปลือกไข่บาง เพราะฉะนั้น ลูกไก่เหล่านั้นจึงใคร่จะออกด้วยคิดว่า เรางอปีกงอเท้าอยู่ในที่คับแคบ เป็นเวลานานแล้วหนอ และแสงสว่างภายนอกนี้ก็ปรากฏ บัดนี้ พวกเราจักอยู่เป็นสุขในที่มีแสงสว่างนั้น ดังนี้ แล้วกะเทาะเปลือกด้วยเท้า ยื่นคอออก แต่นั้น เปลือกนั้นก็จะแตกออกเป็นสองส่วนลําดับต่อมา ลูกไก่ทั้งหลาย ขยับปีก ร้อง ออกมาตามสมควรแก่ขณะนั้นนั้นเทียว ครั้นออกมาแล้ว ก็จะเที่ยวหากิน ตามคามเขต.

บทว่า เอวเมว โข

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 184

นี้ มีอรรถว่าเปรียบเทียบ นักปราชญ์เปรียบเทียบด้วยอรรถอย่างนี้แล้วพึงทราบ. ก็พึงทราบความที่ภิกษุนี้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยองค์ ๑๕ รวมทั้งความอุตสาหะเหมือนแม่ไก่นั้นทํากิริยา ๓ อย่างในไข่ทั้งหลายฉะนั้น ความไม่เสื่อมแห่งวิปัสสนาญาณ เพราะความถึงพร้อมด้วยอนุปัสสนา ๓ อย่างของภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๕ เหมือนความที่ไข่ทั้งหลายไม่เน่า เพราะความถึงพร้อมด้วยกิริยา ๓ อย่างของแม่ไก่ฉะนั้น การถือเอายางเหนียว คือความใคร่อันเป็นไปในภพ ๓ ด้วยความถึงพร้อมด้วยอนุปัสสนา ๓ อย่างของภิกษุนั้น เหมือนการแก่รอบแห่งยางเหนียวของไข่ทั้งหลาย ด้วยการกระทํากิริยา ๓ อย่างของแม่ไก่ฉะนั้น ความที่เปลือกไข่คือ อวิชชา ของภิกษุเป็นธรรมชาติเบาบาง เหมือนความที่เปลือกไข่เป็นธรรมชาติบางฉะนั้น ความที่วิปัสสนาญาณของภิกษุเป็นธรรมชาติ คมแข็ง ผ่องใส และกล้า เหมือนความที่ปลายเล็บเท้า และจะงอยปากของลูกไก่ทั้งหลายเป็นธรรมชาติกระด้าง และแข็งฉะนั้น กาลเปลี่ยนแปลง กาลอันเจริญแล้ว กาลแห่งการถือห้องแห่งวิปัสสนาญาณของภิกษุ เหมือนกาลแปรไปแห่งลูกไก่ทั้งหลายฉะนั้น กาลที่ภิกษุนั้นให้ถือห้องคือวิปัสสนาญาณเที่ยวไปได้อุตุสัปปายะ โภชนสัปปายะ ปุคคลสัปปายะ หรือธรรมสวนสัปปายะ อันเกิดแต่วิปัสสนาญาณนั้น นั่งบนอาสนะเดียวเจริญวิปัสสนา ทําลายเปลือกไข่คืออวิชชา ด้วยอรหัตตมรรค ที่บรรลุแล้วโดยลําดับ ขยับปีกคืออภิญญาแล้ว บรรลุพระอรหัตโดยสวัสดี เหมือนกาลที่ลูกไก่ทั้งหลายกะเทาะเปลือกไข่ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปากแล้ว ขยับปีกทั้งหลายออกมาโดยความสวัสดีฉะนั้น. ก็ฝ่ายแม่ไก่รู้ความที่ลูกไก่ทั้งหลายแก่จัดแล้ว ทําลายเปลือกไข่ฉันใด แม้พระศาสดาก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงรู้ความแก่งอมแห่งญาณของภิกษุเห็นปานนั้นแล้ว ทรงแผ่โอภาสแล้ว ทรงทําลายเปลือกไข่คืออวิชชาด้วยพระคาถามีอาทิว่า

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 185

บุคคลพึงตัดความรักของตน ดุจเด็ดดอกโกมุทในสารกาลด้วยมือ แล้วพอกพูนเฉพาะทางสันติเท่านั้น พระนิพพานอันพระสุคต แสดงไว้แล้ว.

ภิกษุนั้นทําลายเปลือกไข่คืออวิชชาแล้ว บรรลุพระอรหัตในเวลาจบพระคาถา. จําเดิมแต่นั้น ลูกไก่เหล่านั้น ยังคามเขตให้งามเที่ยวไปในคามเขตนั้นฉันใด ภิกษุแม้นี้เป็นพระมหาขีณาสพบรรลุผลสมาบัติ อันมีนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว ยังสังฆารามให้งามอยู่เที่ยวไปฉันนั้น. ท่านแสดงปหานะ ๔ อย่าง ในพระสูตรนี้ ด้วยประการฉะนี้. อย่างไร. ก็ท่านแสดงปฏิสังขานปหานะด้วยการละตะปูตรึงใจทั้งหลาย ละกิเลสเครื่องรึงรัดใจทั้งหลาย แสดงวิขัมภนปหานะ ด้วยอิทธิบาททั้งหลาย แสดงสมุจเฉทปหานะ เมื่อมรรคมาแล้ว แสดงปฏิปัสสัทธิปหานะ เมื่อผลมาแล้ว. คําที่เหลือในบททั้งปวง มีเนื้อความง่ายทั้งนั้นดังนี้.

จบ อรรถกถาเจโตขีลสูตรที่ ๖