พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. พรหมนิมันตนิกสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  27 ส.ค. 2564
หมายเลข  36053
อ่าน  546

[เล่มที่ 19] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 441

๙. พรหมนิมันตนิกสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 19]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 441

๙. พรหมนิมันตนิกสูตร

[๕๕๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า.

[๕๕๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย. สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่โคนต้นรังใหญ่ในสุภควัน เมืองอุกกัฏฐาก็สมัยนั้นแล พกพรหมมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานฉะนี้เกิดขึ้นว่า พรหมสถานนี้เที่ยงยั่งยืน มั่นคงแข็งแรง มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดา พรหมสถานนี้แลไม่เกิดไม่แก่ไม่ตายไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แหละสถานที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นที่ดียิ่งกว่าพรหมสถานนี้ไม่มีดังนี้ภิกษุทั้งหลาย. ครั้งนั้น เรารู้ความปริวิตกแห่งใจพกพรหมด้วยใจแล้วจึงหายไปที่โคนต้นรังใหญ่ ในสุภควันใกล้เมืองอุกกัฏฐาไปปรากฏในพรหมโลกนั้น เปรียบเหมือนบุรุษที่มีกําลังเหยียดแขนที่คู้หรือพึงคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย พกพรหมได้เห็นเราผู้มาแต่ไกล แล้วได้พูดกะเราว่า ท่านผู้นิรทุกข์. เชิญมาเถิดท่านมาดีแล้ว นานทีเดียวที่ท่านเพิ่งทําทางจะมาในที่นี้ ท่านผู้นิรทุกข์.พรหมสถานนี้เที่ยงยั่งยืน มั่นคงแข็งแรง มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดาพรหมสถานนี้แลไม่เกิด ไม่แก่ไม่ตายไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แหละเหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นที่ดียิ่งกว่าพรหมสถานนี้ไม่มี ภิกษุทั้งหลาย.เมื่อพกพรหมกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะพกพรหมว่า ท่านผู้เจริญ. พกพรหมตกอยู่ในวิชชาแล้วหนอ พกพรหมตกอยู่ในอวิชชาแล้วหนอ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 442

เพราะว่าพกพรหมกล่าวสิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นแลว่า เที่ยง กล่าวสิ่งที่ไม่ยั่งยืนนั่นแลว่ายั่งยืน กล่าวสิ่งที่ไม่มั่นคงนั้นแลว่า มั่นคง กล่าวสิ่งที่ไม่แข็งแรงนั้นแลว่าแข็งแรง กล่าวสิ่งที่มีความเคลื่อนเป็นธรรมดานั่นแลว่า มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดาก็แหละสัตว์ทั้งเกิด ทั้งแก่ทั้งตาย ทั้งจุติทั้งอุบัติอยู่ในพรหมสถานใด พกพรหมก็กล่าวพรหมสถานนั้นอย่างนี้ว่า พรหมสถานนี้แลไม่เกิดไม่แก่ไม่ตายไม่จุติไม่อุบัติ และกล่าวเหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นที่ยิ่งขึ้นไปอันมีอยู่ว่า เหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นที่ยิ่งขึ้นไป ไม่มี.

[๕๕๓] ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มารผู้ลามกเข้าสิงร่างของพรหมปาริสัชะองค์หนึ่งแล้ว กล่าวกะเราว่า ภิกษุๆ. อย่ารุกรานพกพรหมนี้เลยอย่ารุกรานพกพรหมนี้เลย ภิกษุ เพราะว่าพรหมผู้นี้เป็นมหาพรหมเป็นใหญ่ (ปกครองคณะพรหม) หาใช่ผู้อื่นปกครองไม่ เป็นผู้ดูโดยแท้ ทําสรรพสัตว์ให้อยู่ในอํานาจเป็นอิสระเป็นผู้สร้างโลก นิรมิตโลกเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้แต่งสัตว์เป็นผู้ใช้อํานาจเป็นบิดาของเหล่าสัตว์ที่เกิดแล้วและกําลังจะเกิด ภิกษุ. สมณะและพราหมณ์พวกก่อนท่าน เป็นผู้ติดิน เกลียดดินเป็นผู้ติน้ำ เกลียดน้ำ เป็นผู้ติไฟ เกลียดไฟ เป็นผู้ติลม เกลียดลม เป็นผู้ติสัตว์เกลียดสัตว์ เป็นผู้ติเทวดา เกลียดเทวดา เป็นผู้ติปชาบดี เกลียดปชาบดีเป็นผู้ติพรหม เกลียดพรหมในโลก (ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา) สมณะและพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อกายแตกขาดลมปราณ ต้องไปเกิดในหมู่สัตว์ที่เลว (จตุราบาย) ภิกษุ. ส่วนสมณะพราหมณ์พวกก่อนท่าน เป็นผู้ชมดิน เพลินดิน เป็นผู้ชมน้ำ เพลินน้ำ เป็นผู้ชมไฟ เพลินไฟ เป็นผู้ชมลมเพลินลม เป็นผู้ชมสัตว์เพลินสัตว์ เป็นผู้ชมเทวดา เพลินเทวดา เป็นผู้ชมปชาบดี เพลินปชาบดีเป็นผู้ชมพรหม เพลินพรหม สมณพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อกายแตกขาดลมปราณ ก็ไปเกิดในกายประณีต หมู่สัตว์ชั้นดี (พรหม

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 443

โลก) ภิกษุ. เพราะเหตุนั้น เราจึงขอบอกกะท่านอย่างนี้ว่า ท่านผู้นิรทุกข์เชิญเถิด ท่านจงทําตามคําที่พรหมบอกแก่ท่านเท่านั้น อย่างฝ่าฝืนคําของพรหมเลย ภิกษุ. ถ้าท่านจักฝ่าฝืนคําของพรหม โทษจักมีแก่ท่าน เปรียบเหมือนบุรุษเอาท่อนไม้ตีไล่สิริที่มาหา หรือเปรียบเหมือนบุรุษผู้จะตกเหวนรก ชักมือและเท้าให้ห่างแผ่นดินเสีย ฉะนั้น ท่านผู้นิรทุกข์. เชิญเถิด ท่านจงทําอย่างที่พรหมบอกแก่ท่านเท่านั้น อย่าฝ่าฝืนคําของพรหมเลยภิกษุ. ท่านเห็นพรหมบริษัทประชุมกันแล้วมิใช่หรือ. ภิกษุทั้งหลาย. มารผู้ลามกย่อมเปรียบเทียบเรากะพรหมบริษัทดังนี้แล ภิกษุทั้งหลาย. เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้วเราได้กล่าวกะมารผู้ลามกนั้นว่าแน่ะมาร เราย่อมรู้จักท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่า พระสมณะไม่รู้จักเรา แน่ะมาร. ท่านเป็นมาร พรหมก็ดีพวกพรหมบริษัทก็ดี พวกพรหมปาริสัชชะก็ดีทั้งหมดนั่นและอยู่ในมือของท่าน ตกอยู่ในอํานาจของท่าน และท่านมีความดําริว่าแม้สมณะนี้ก็ต้องอยู่ในมือของเรา ต้องตกอยู่ในอํานาจของเรา ก็แต่ว่าเราไม่ได้อยู่ในมือของท่าน ไม่ได้ตกอยู่ในอํานาจของท่าน.

[๕๕๔] ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว พกพรหมได้กล่าวว่า ท่านผู้นิรทุกข์. ก็เรากล่าวสิ่งที่เที่ยงนั่นแลว่า เที่ยง กล่าวสิ่งที่มั่นคงนั่นแลว่า มั่นคงกล่าวสิ่งที่ยั่งยืนนั่นแลว่า ยั่งยืน กล่าวสิ่งที่แข็งแรงนั่นแลว่าแข็งแรงกล่าวสิ่งที่ไม่มีความเคลื่อนเป็นธรรมดานั่นแลว่า ไม่มีความเคลื่อนเป็นธรรมดาก็แหละสัตว์ย่อมไม่เกิดไม่แก่ไม่ตายไม่จุติไม่อุบัติ ในพรหมสถานใดเรากล่าวพรหมสถานนั้นแหละว่า พรหมสถานนี้แลไม่เกิดไม่แก่ ไม่ตายไม่จุติ ไม่อุบัติ และกล่าวเหตุที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นอันยิ่งขึ้นไปไม่มีว่า เหตุที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นยิ่งขึ้นไปไม่มี ภิกษุ. สมณะพราหมณ์พวกที่มีก่อนท่านได้มีแล้วในโลกอายุทั้งสิ้นของท่านเท่าไรกรรม

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 444

ที่ทําด้วยตบะของท่านเท่านั้น สมณะและพราหมณ์เหล่านั้นแล พึงรู้เหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นอันยิ่งขึ้นไปมีอยู่ว่า เหตุที่ออกไปจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นมีอยู่ หรือพึงรู้เหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นอันยิ่งขึ้นไปไม่มีอยู่ภิกษุ เพราะเหตุไรเราจึงกล่าวกะท่านอย่างนี้ เพราะว่าท่านจักไม่เห็นเหตุที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นอันยิ่งขึ้นไปเลย และท่านจักเป็นผู้รับส่วนแห่งความลําบากแห่งความคับแค้นอย่างเดียวเท่านั้น ภิกษุ. ถ้าแลท่านจักกลืนกินแผ่นดินได้ไซร้ ท่านก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา เราพึงทําได้ตามประสงค์ เราพึงห้ามได้ ถ้าและท่านจักกลืนกินน้ำ ไฟ ลม เหล่าสัตว์เทวดา ปชาบดีพรหมได้ไซร้ท่านก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา เราพึงทําได้ตามประสงค์เราพึงห้ามได้ ดังนี้เรากล่าวว่าพรหม แม้เราย่อมรู้เหตุนี้ ถ้าเราจักกลืนกินแผ่นดินได้ไซร้ เราก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้ท่าน นอนในที่อยู่ของท่าน ท่านพึงทําได้ตามประสงค์ ท่านพึงห้ามได้ ถ้าและเราจักกลืนกินน้ำไฟ ลม เหล่าสัตว์เทวดา ปชาบดีพรหมได้ไซร้เราก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้ท่าน นอนในที่อยู่ของท่าน ท่านพึงทําได้ตามประสงค์ท่านพึงห้ามได้พรหม ใช่แต่เท่านั้น เราย่อมรู้ความสําเร็จและย่อมรู้อานุภาพของท่านว่า พกพรหมมีฤทธิ์มากอย่างนี้พกพรหมมีอานุ-ภาพมากอย่างนี้ พกพรหมมีศักดิ์มากอย่างนี้พกพรหมถามเราว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ก็ท่านรู้ความสําเร็จ และรู้อานุภาพของเราว่า พกพรหมมีฤทธิ์มากอย่างนี้พกพรหมมีอานุภาพมากอย่างนี้ พกพรหมมีศักดิ์มากอย่างนี้ได้อย่างไร เรากล่าวว่า

ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ย่อมโคจรส่องทิศให้สว่างอยู่เท่าใด อํานาจของท่านย่อมเป็นไปในพันจักรวาลเท่านั้น ท่านย่อมรู้จักสัตว์ที่เลวและสัตว์ที่ประณีต รู้จักสัตว์ที่มีราคะและสัตว์ที่ไม่มี

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 445

ราคะ รู้จักจักรวาลนี้และจักรวาลอื่น และรู้จักความมา และความไปของสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้

พรหม เราย่อมรู้ความสําเร็จ และย่อมรู้อานุภาพของท่านอย่างนี้ว่า พกพรหมมีฤทธิ์มากอย่างนี้พกพรหมมีอานุภาพมากอย่างนี้พกพรหมมีศักดิ์มากอย่างนี้พรหม กาย หมู่สัตว์๓ อย่างอื่นมีอยู่ ท่านไม่รู้ไม่เห็นในกาย๓ อย่างนั้น เรารู้เห็นกายเหล่านั้น พรหม กายหมู่สัตว์ชื่ออาภัสสระมีอยู่ ท่านเคลื่อนแล้วจากที่ใด มาอุบัติแล้วในที่นี้ ท่านมีสติหลงลืมไปเพราะความอยู่อาศัยนานเกินไป เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่รู้ไม่เห็นกายนั้น เรารู้เห็นกายนั้น พรหม เราเป็นผู้อันท่านเทียบเทียมไม่ได้ด้วยความรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ที่ไหนเราจะเป็นผู้ต่ํากว่าท่าน ที่แท้ เรานี่แหละเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน พรหมกายชื่อสุภกิณหะกายชื่อเวหัปผละมีอยู่แล ท่านย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็นกายนั้นเรารู้เห็นกายนั้น พรหม เราเป็นผู้อันท่านเทียบเทียมไม่ได้ด้วยความรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ที่แท้เรานี่แหละเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน พรหม เรารู้ยิ่งดินแลโดยความเป็นดิน รู้นิพพานอันสัตว์ถึงไม่ได้โดยความที่ดินเป็นดิน แล้วไม่เป็นดินไม่ได้มีความยึดถือแล้วในดิน ไม่ได้มีความยืดถือแล้วแต่ดิน ไม่ได้มีความยึดถือแล้วว่าดินของเราไม่ได้ชมดิน พรหม เราเป็นผู้อันท่านเทียบเทียมไม่ได้ด้วยความรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ที่ไหนเราจะต่ํากว่าท่าน ที่แท้เรานี่แหละเป็นผู้สูงกว่าท่าน พรหม เรารู้จักน้ำ... รู้จักไฟ...รู้จักลม...รู้จักเหล่าสัตว์...รู้จักเทวดา...รู้จักปชาบดี...รู้จักพรหม...รู้จักพวกอาภัสสรพรหม...รู้จักพวกสุภกิณหพรหม...รู้จักพวกเวหัปผลพรหม...รู้จักอภิภูพรหม...พรหม เรารู้จักสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นสิ่งทั้งปวง รู้จักนิพพานอันสัตว์ถึงไม่ได้โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวงแล้วไม่เป็นสิ่งทั้งปวงไม่ได้มีความยึดถือแล้วในสิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีความยึดถือแล้วแต่สิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีความยึดถือแล้วว่า

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 446

สิ่งทั้งปวงของเรา ไม่ได้ชมสิ่งทั้งปวง พรหม เราเป็นผู้อันท่านเทียบเทียมไม่ได้ด้วยความรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ที่ไหนเราจะต่ํากว่าท่าน ที่แท้ เรานี่แหละเป็นผู้สูงกว่าท่าน พกพรหมกล่าวกะเราว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าและเพราะท่านรู้นิพพานที่สัตว์ถึงไม่ได้โดยความที่สิ่งทั้งปวง เป็นสิ่งทั้งปวง ถ้อยคําของท่านอย่าได้ว่างเสียเลยอย่าได้เปล่าเสียเลย นิพพานอันผู้บรรลุพึงรู้แจ้งได้ เป็นอนิทัสสนะ (เห็นไม่ได้ด้วยจักษุวิญญาณ) เป็นอนันตะ (ไม่มีที่สุดหรือ หายไปจากความเกิดขึ้นและความเสื่อม) มีรัศมีในที่ทั้งปวง อันสัตว์ถึงไม่ได้โดยความที่ดินเป็นดิน โดยความที่น้ำเป็นน้ำโดยความที่ไฟเป็นไฟ โดยความที่ลมเป็นลม โดยความที่เหล่าสัตว์เป็นเหล่าสัตว์ โดยความที่เทวดาเป็นเทวดาโดยความที่ปชาบดีเป็นปชาบดีโดยความที่พรหมเป็นพรหม โดยความที่อาภัสสรพรหมเป็นอาภัสสรพรหม โดยความที่สุภกิณหพรหมเป็นสุภกิณหพรหม โดยความที่เวหัปผลพรหมเป็นเวหัปผลพรหม โดยความที่อภิภูพรหมเป็นอภิภูพรหม โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง พกพรหมกล่าวกะเราว่า ท่านผู้นิรทุกข์ผิฉะนั้น บัดนี้เราจะหายไปจากท่าน เรากล่าวว่า พรหม.ผิฉะนั้น บัดนี้ถ้าท่านอาจจะหายไปได้ก็จงหายไปเถิด ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พกพรหมกล่าวว่า เราจักหายไปจากพระสมณโคดม เราจักหายไปจากพระสมณโคดม แต่ก็ไม่อาจหายไปจากเราได้โดยแท้ ภิกษุทั้งหลายเมื่อพกพรหมกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะพกพรหมว่า พรหม ผิฉะนั้น บัดนี้เราจะหายไปจากท่าน พกพรหมกล่าวว่า ท่านผู้นฤทุกข์ผิฉะนั้น บัดนี้ถ้าท่านอาจหายไปได้ ก็จงหายไปเถิด ภิกษุทั้งหลาย ลําดับนั้น เราบันดาลอิทธาภิสังขารให้เป็นเหมือนอย่างนั้น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้พรหมก็ดี พวกพรหมบริษัทก็ดีพวกพรหมปาริสัชชะก็ดี ย่อมได้ยินเสียงเรา แต่มิได้เห็นตัวเรา ดังนี้ เราหายไปแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ว่า-

เราเห็นภัยในภพ และเห็นภพของสัตว์ผู้แสวง

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 447

หาวิภพแล้ว ไม่ชมภพ อะไรเลยทั้งไม่ยืดมั่นนันทิความเพลิดเพลินด้วย ดังนี้.

[๕๕๕] ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พรหมก็ดี พวกพรหมบริษัทก็ดีพวกพรหมปาริสัชชะก็ดี ได้มีความแปลกปลาดอัศจรรย์จิตว่า ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์น่าแปลกประหลาดหนอ พระสมณโคดม มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากก่อนแต่นี้พวกเราไม่ได้เห็นไม่ได้ยินสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเหมือนพระสมณโคดมนี้ผู้ออกผนวชแต่ศากยสกุล ถอนภพพร้อมทั้งรากแห่งหมู่สัตว์ผู้รื่นรมย์ยินดีในภพ เพลิดเพลินในภพ.

[๕๕๖] ภิกษุทั้งหลายครั้งนั้น มารผู้ลามกเข้าสิง พรหมปาริสัชชะองค์หนึ่งแล้วกล่าวกะเราว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าท่านรู้จักอย่างนี้ ตรัสรู้อย่างนี้ก็อย่าแนะนํา อย่าแสดงธรรม อย่าทําความยินดีกะพวกสาวกและพวกบรรพชิตเลย ภิกษุ สมณะและพราหมณ์พวกก่อนท่าน ผู้ปฏิญญาว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก สมณะและพราหมณ์พวกนั้นแนะนําแสดงธรรม ทําความยินดีกะพวกสาวกและพวกบรรพชิต ครั้นกายแตกขาดลมปราณ ก็ไปเกิดในหีนกายหมู่สัตว์ชั้นเลว ส่วนสมณะและพราหมณ์พวกก่อนท่าน ผู้ปฏิญญาว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สมณะและพราหมณ์พวกนั้น ไม่แนะนําไม่แสดงธรรม ไม่ทําความยินดีกะพวกสาวกบรรพชิต ครั้นกายแตกขาดลมปราณก็ไปเกิดในปณีตกายหมู่สัตว์ชั้นดีภิกษุ.เพราะฉะนั้น เราจึงบอกกะท่านอย่างนี้ท่านผู้นิรทุกข์เชิญท่านเป็นผู้มักน้อย ตามประกอบความอยู่สบายในชาตินี้อยู่เถิดเพราะการไม่บอกเป็นความดีท่านอย่าสั่งสอนสัตว์อื่นๆ เลย ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้วเราจึงกล่าวว่า มารผู้ลามก เรารู้จักท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่าพระสมณะไม่รู้จักเรา ท่านเป็นมาร ท่านหามีความอณุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูลไม่จึงกล่าวกะ

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 448

เราอย่างนี้ ท่านไม่มีความอนุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูล จึงกล่าวกะเราอย่างนี้ท่านมีความดําริว่า พระสมณโคดมจักแสดงธรรมแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นจักล่วงวิสัยของเราไป ก็พวกสมณะและพราหมณ์นั้นมิได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิญญาว่า เราทั้งหลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มารผู้ลามก เราเป็นสัมมาสัมพุทธะย่อมปฏิญญาว่า เราเป็นสัมมาสัมพุทธะมารผู้ลามก! ตถาคตแม้เมื่อแสดงธรรมแก่พวกสาวก ก็เป็นเช่นนั้นแม้เมื่อไม่แสดงธรรมแก่พวกสาวกก็เป็นเช่นนั้น ตถาคต แม้เมื่อแนะนําพวกสาวกก็เป็นเช่นนั้น แม้เมื่อไม่แนะนําพวกสาวกก็เป็นเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะเหตุอะไรเพราะอาสวะเหล่าใดอันให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์มีชาติชรา มรณะ ต่อไป อาสวะเหล่านั้น ตถาคตละเสียแล้ว มีรากเหง้าอันถอนขึ้นแล้ว ทําไม่ให้มีที่ตั้งดังว่าต้นตาลแล้ว ทําไม่ให้มีต่อไปแล้ว มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เหมือนต้นตาลมียอดถูกตัดเสียแล้ว ไม่ควรงอกอีกได้ ฉะนั้น.

ไวยากรณภาษิตนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว โดยมารมิได้เรียกร้องและโดยพรหมเชื้อเชิญดังนี้ เพราะฉะนั้น ไวยากรณภาษิตนี้จึงมีชื่อว่าพรหมนิมันตนิกสูตร ฉะนี้แล.

จบ พรหมนิมันตนิกสูตรที่ ๙

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 449

อรรถกถาพรหมนิมันตนิกสูตร

พรหมนิมันตนิกสูตร ขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า "ทิฏฐิอันชั่ว" ได้แก่ความเห็นว่าเที่ยงอันลามกคําว่า "นี้เป็นของเที่ยง" คือพูดว่า ฐานะของพรหมพร้อมกับโอกาสอันเป็นของไม่เที่ยงนี้ว่า เที่ยง. คําว่า "แน่นอน" เป็นต้น ก็เป็นคําใช้แทนคําว่า "เที่ยง" นั้นนั่นเอง. ในคําเหล่านั้น คําว่า "แน่นอน" คือมั่นคง. คําว่า "เที่ยงแท้" คือมีอยู่ทุกเมื่อ. คําว่า "ล้วน" คือทั้งหมดไม่มีขาด. คําว่า"มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดา" คือมีสภาพไม่เคลื่อนไป. ถึงฐานะในคําเป็นต้นว่า "นี้แลย่อมไม่เกิด" นี้คือพูดหมายเอาว่าผู้เกิดผู้แก่ผู้ตายผู้เคลื่อนผู้บังเกิดขึ้น ย่อมไม่มี. คําว่า "และก็อื่นจากนี้" คือความเห็นว่าเที่ยงแท้อย่างแรง ย่อมเป็นของที่เกิดขึ้นแล้วแก่เขาอย่างนี้ว่า ชื่อว่าเหตุแห่งการออกไปอย่างอื่นที่นอกเหนือจากฐานะของพรหม พร้อมทั้งโอกาสนี้ไม่มี. ก็แหละผู้พูดเช่นนี้นั้นย่อมป้องกันทุกอย่างคือ ชั้นของฌานข้างบน ๓ มรรค๔ ผล ๔ นิพพาน ๑. คําว่า "ผู้ไปในความไม่รู้" ความว่าผู้ไปคือประกอบในความไม่รู้ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่รู้คือเป็นผู้บอด. คําว่า "ก็ชื่อใน ... ใด" คือชื่อใด. มารในบททั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย! ครั้งนั้น มารผู้มีบาป ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างไร?

เล่ามาว่า มารนั้นนั่งคํานึงถึงพระศาสดาในบ้านตัวเองตลอดเวลาว่า "วันนี้พระโคดมผู้สมณะอยู่ที่ตําบล หรืออําเภออะไร? และตอนที่กําลังคํานึงอยู่นี้รู้ว่า "กําลังอาศัยเมืองอุกกัฏฐะอยู่ที่ป่าสุภคะจึงสํารวจดูแล้วจะไปไหนอีกหนอ? ก็เห็นว่ากําลังไปพรหมโลกจึงคิดว่า พระโคดมผู้สมณะกําลังไปพรหมโลกเราจะไปทําให้พอใจในธรรมเทศนาอย่างผิดๆ ตลอดเวลาที่

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 450

มารกล่าวธรรมกถาในที่นั้นแล้วยังไม่ทําให้คณะพรหมก้าวพ้นวิสัยของเรา"จึงเดินสะกดรอยพระศาสดาแล้วมายืนกําบังตัวในระหว่างหมู่พรหม. แกรู้ว่า "พวกพรหมถูกพระศาสดารุกราน, จึงได้ยืนทําตัวเป็นผู้ค้ำชูพรหมเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป" ดังนี้คําว่า "เข้าสิงพรหมปาริสัชชะแล้ว" คือ "มารเข้าสู่ร่างของพรหมปริสัชชะองค์หนึ่งก็ยังไม่สามารถเข้าสอดแทรกมหาพรหม หรือพวกพรหมปุโรหิตได้. คําว่า "อย่ารุกรานผู้นี้" คืออย่าได้รุกรานพกพรหมนี้. คําว่า"ครอบงํา (เป็นผู้ยิ่งใหญ่) " คือเป็นผู้ครอบงําตั้งอยู่คือเจริญที่สุด (ใหญ่ที่สุด หัวหน้า). คําว่า "ไม่ถูกครอบงํา" คือพวกอื่นครอบงําไม่ได้. คําว่า"โดยแท้" เป็นนิบาตลงในคําที่ระบุว่าส่วนเดียว ทรงแสดงว่าผู้เห็นด้วยอํานาจการเห็น ย่อมเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง. คําว่า "ผู้หมุนอํานาจ" คือ "ย่อมยังชนทั้งหมดให้เป็นไปในอํานาจ. คําว่า "เป็นอิศวร" คือเป็นใหญ่ในโลก. คําว่า ผู้สร้าง ผู้นิรมิต คือเป็นผู้สร้างและผู้นิรมิตโลกไว้ท่านแสดงว่าแผ่นดินหิมพานต์ เขาสิเนรุ จักรวาล มหาสมุทร พระจันทร์และพระอาทิตย์มหาพรหมองค์นี้นิรมิตไว้. คําว่า "ผู้ประเสริฐสุด ผู้จัดแจง" คือ มหาพรหมองค์นี้ เป็นผู้ประเสริฐสุดและเป็นผู้จัดแจง ท่านแสดงว่า มหาพรหมองค์นี้ ได้จัดหมู่สัตว์ไว้อย่างนี้ว่า เธอเป็นกษัตริย์ เธอเป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์เป็นศูทรเป็นชาวบ้าน เป็นนักบวช กระทั่งเป็นอูฐเป็นโค ท่านกล่าวว่า มหาพรหมองค์นี้ชื่อว่าเป็นผู้มีอํานาจ เพราะสะสมอํานาจไว้มหาพรหมองค์นี้เป็นพระบิดาของพวกภูต และพวกภัพย์ด้วยบทว่า เป็นผู้มีอํานาจเป็นพระบิดาของพวกภูตและภัพย์. ในคําว่าพวกภูตและภัพย์นั้น พวกสัตว์ที่เกิดในไข่และในมดลูก ชื่อว่าภัพย์ตอนอยู่ภายในกะเปาะไข่และภายในลําไส้ (มดลูก) ตั้งแต่เวลาที่ออกมาข้างนอกแล้ว ชื่อว่า ภูต พวกที่เกิดตามเหงื่อไคล (เช่นในน้ำครํา เป็นต้น) ในขณะจิตแรกเป็นภัพย์ตั้งแต่ขณะ

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 451

จิตที่สองไปเป็นภูต. พวกผู้ผุดเกิด เป็นภัพย์ในอิริยาบถแรก ตั้งแต่อิริยาบถที่สองไป พึงทราบว่า เป็นภูต. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นพระบิดาของพวกภูตและภัพย์ด้วยทรงสําคัญว่า พวกสัตว์แม้ทั้งหมดนั้น เป็นลูกของมหาพรหมองค์นี้. ด้วยบทว่า "ผู้ตําหนิแผ่นดินนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า พวกเขาได้เป็นผู้ตําหนิแผ่นดินมาแล้วเหมือนที่เธอกําลังตําหนิเกลียดแผ่นดินว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่เป็นตัวตน ในบัดนี้และไม่ใช่แต่เธอเท่า นั้นหรอก. แม้ในคําเป็นต้นว่า ผู้ตําหนิน้ำ ก็ทํานองเดียวกันนี้แหละ.คําว่า "ตั้งอยู่ในกายอันทราม" ได้แก่เกิดในอบายทั้งสี่. ด้วยบทว่า "ผู้ชมแผ่นดิน" นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าพวกเขาได้เป็นผู้ชมแผ่นดิน คือเป็นผู้พูดสรรเสริญคุณแผ่นดินมาแล้วอย่างนี้ คือพวกเขาไม่ตําหนิ (แต่ชมว่า) แผ่นดินเที่ยงแท้แน่นอน ถาวรไม่ขาดไม่สิ้น เหมือนที่เธอกําลังตําหนิ. (๑) คําว่า "ผู้มีความเพลิดเพลินในแผ่นดิน" ได้แก่ เป็นผู้มีความเพลิดเพลินในแผ่นดินด้วยอํานาจตัณหาและทิฏฐิ แม้ในบทที่เหลือทั้งหลายก็ทํานองเดียวกันนี้แหละ. คําว่า "ดํารงอยู่ในกายที่ประณีต" ได้แก่ "เกิดในพรหมโลก. คําว่า "ฉะนั้น ฉัน ... กะเธอ" คือเพราะเหตุนั้น ฉัน.. กะเธอ คําว่า "เอาเถอะ" เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเตือน. คําว่า "เข้าไปเป็นไปล่วง"คือก้าวล่วง ปาฐะว่า อุปาติวตฺติโต เข้าไปประพฤติล่วง บ้างก็มี. ใจความก็อย่างเดียวกันนี้แหละคําว่า "ให้โดดหนีไปด้วยกระบอง" คือเอาดุ้นกระบองยาวสี่ศอกตีให้หนีไป. คําว่า "ในเหวนรก" คือในบึงใหญ่ลึกร้อยชั่วคน. คําว่า "พึงพลาด" ได้แก่ไม่พึงอาจเพื่อจะทําเป็นที่ยึดที่เหยียบในที่ซึ่งพอจะเอามือจับ หรือพอจะวางเท้าได้. ด้วยคําว่า "ภิกษุ เธอเห็นมิใช่หรือ?"นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอิทธานุภาพของผู้ที่ดํารงอยู่ในโอวาทของพรหมว่า "ภิกษุ" เธอก็ย่อมเห็นพรหมปริษัท ที่ประชุมกัน กระจ่างสว่าง


(๑) กําลังชมกระมัง

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 452

ไสวรุ่งเรือง โชติช่วงนี้ มิใช่หรือ. คําว่า "ภิกษุทั้งหลาย มารผู้มีบาป ได้น้อมเอาพรหมบริษัทมาสู่เรา อย่างนี้แล" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย มารผู้มีบาป กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า "ภิกษุ เธอก็ย่อมเห็นพรหมบริษัทที่สว่างไสวด้วยยศและด้วยสิริมิใช่หรือ? ถึงเธอก็เถอะถ้าไม่ก้าวล่วง คํามหาพรหมทําตามที่พรหมกล่าวกับเธอแล้ว เธอเองก็จะต้องรุ่งเรืองด้วยยศและสิริแบบนี้เหมือนกัน" ก็น้อม คือนําเอาพรหมบริษัทมาสู่เรา. คําว่า "แกอย่าสําคัญไป" คือมารผู้มีบาป แกอย่าสําคัญไปเลย. คําว่า "แกเป็นมารผู้ลามก"คือมาร ฉันรู้จักแกว่าแกชื่อว่ามารเพราะฆ่ามหาชน แกชื่อว่าผู้สกปรกเพราะกระทําพร้อมด้วยเหล็กอย่างสกปรกคือลามกแก่มหาชน. คํา"อายุทั้งหมด" คืออายุทั้งสิ้น. คําว่า "เขาเหล่านั้นแลพึงทราบอย่างนี้"คือพรหมมากล่าวสืบไปว่า พวกเขาถึงพร้อมด้วยการทําตบะใหญ่อย่างนี้เธอก็ยังมีกลิ่นน้ำนมพัดมา (ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม). คําว่า "จะกลืนกินแผ่นดิน" คือจักกลืนกินแผ่นดินจนหมดเกลี้ยงแล้วถือเอาด้วยตัณหา มานะและทิฏฐิ. คําว่า "แกจะเป็นผู้ติดสอยห้อยตามฉัน." คือแกจะเป็นผู้ติดฉันแจ หมายความว่า เมื่อฉันเดินแกก็เดินตาม ฉันยืนแกก็ยืนข้าง, ฉันนั่ง แกก็นั่งข้าง, ฉันนอนแกก็นอนข้าง. คําว่า "เป็นผู้นอนเฝ้าโยง" คือเป็นผู้นอนในเรือนฉัน. คําว่า "เป็นผู้พึงกระทําตามความใคร่ เป็นผู้พึงแบกขน" ความว่าแกเป็นผู้ต้องทําสิ่งที่ฉันต้องการตามความพอใจของตัวฉันเอง และเมื่อจะแบกขนมาแกก็จะเป็นผู้ต้องทําให้ต่ํากว่า เตี้ยกว่าแม้แต่พุ่มผักไห่เสียอีก. พรหมย่อมพูดรวน ย่อมระราน พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ด้วยคํานี้ชื่อว่า ย่อมพูดรวน คือพรหมชื่อว่าย่อมพูดรวนก่อนอย่างนี้ว่า "ภิกษุถ้าเธอจะกลืนกินแผ่นดินนั้นด้วยตัณหา เป็นต้น เธอก็จะเป็นผู้นอนใกล้ฉัน เมื่อฉันเดิน เธอก็จะเดิน ฉันยืน เธอก็จะยืนฉันนั่ง เธอก็จะนั่ง ฉันนอนเธอ

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 453

ก็จะนอน ฉันจะปกป้องเธอแล้วทําเธอให้เป็นคนสนิท เป็นคนภายใน. ส่วนด้วยบทที่เหลือ ชื่อว่าย่อมระราน. ในบทเหล่านี้แล มีอธิบายดังต่อไปนี้พรหมชื่อว่ายอมระรานอย่างนี้ว่า "ถ้าเธอจะกลืนกินแผ่นดิน เธอก็จะกลายเป็นผู้นอนในเรือนฉัน คอยฉันเดินเป็นต้นแล้ว จึงจะเดิน จะยืน จะนั่ง หรือจะนอน จะถืออารักขาฉันในเรือนฉัน ฉันจะทําเธอตามความใคร่ และจะทําเธอให้แบกขนอะไรไปต่ําเสียยิ่งกว่ากอผักไห่". แต่พรหมนี้อาศัยความถือตัว ฉะนั้นในที่นี้จึงหมายเอาเพียงการระรานเท่านั้น ในเรื่องน้ำเป็นต้นก็ทํานองนี้เหมือนกัน.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสคําเป็นต้นว่าอีกอย่างหนึ่งของเธอ ฉัน พรหม แล้วมาทรงคิดว่า พรหมนี้อาศัยความถือตัวจึงสําคัญว่า "ข้าย่อมรู้" เป็นผู้ถูกสมมติโดยยศของตัวเอง จึงไม่เห็นอะไรสักนิดที่สามารถจะถูกต้องร่างกายได้ ควรข่มอีกหน่อยแล้วจึงทรงเริ่มเทศนานี้.

ในคําเหล่านั้น คําว่า "ย่อมรู้ชัดคติด้วย" ความว่า ฉัน ย่อมรู้ชัดซึ่งความสําเร็จด้วย. คําว่า "และความรุ่งเรือง" คือฉันย่อมรู้ชัดซึ่งอานุ-ภาพด้วย. คําว่า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ "คือเป็นผู้มียศใหญ่ มีบริวารมาก."คําว่า "พระจันทร์และพระอาทิตย์ ย่อมบริหาร มีประมาณเพียงไร"คือ พระจันทร์และพระอาทิตย์ ย่อมท่องเที่ยวไปในที่มีประมาณเพียงใด. คําว่า "ทิศทั้งหลาย สว่างรุ่งเรือง" คือ ส่องแสงสว่างรุ่งเรืองในทิศทั้งหลาย หรือว่า ทิศทั้งหลายย่อมส่องแสงสว่างรุ่งเรือง เพราะพระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านั้น. คําว่า "เพียงนั้น พันโลก" คือโลก (ธาตุ) หนึ่งพันโดยประมาณเพียงนั้น อธิบายว่า พันจักรวาลรวมทั้งจักรวาลนี้ด้วย. คําว่า"อํานาจของเธอย่อมเป็นไปในพันจักรวาล" คืออํานาจของเธอย่อมเป็นไปในพันจักรวาลนี้. คําว่า "เธอย่อมรู้ซึ่งสัตว์อื่นที่ยิ่งกว่าสัตว์อื่น" (คือต่างชั้น

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 454

กับ, แตกต่างกัน) คือเธอย่อมรู้จักสัตว์ที่มีระดับต่างกันคือ สูง ต่ํา เลวประณีต ในพันจักรวาลนี้. คําว่า "และผู้มีราคะและผู้ไม่มีราคะ" คือไม่ใช่แต่รู้จักสัตว์ที่มีระดับแตกต่างกันว่าคนนี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เป็นคนปกติ (คนธรรมดาสามัญ) ดังนี้เท่านั้น หากแต่ยังรู้จักคนที่ยังมีราคะและปราศจากราคะอย่างนี้ว่า "คนนี้ยังมีราคะคนนี้ปราศจากราคะแล้ว". คําว่า "ความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่น" คือ จักรวาลนี้เรียกว่า ความเป็นอย่างนี้ จักรวาล ๙๙๙ ที่เหลือจากนี้เรียกความเป็นอย่างอื่น. คําว่า "การมาการไป ของเหล่าสัตว์นี้" คือเธอยังรู้ชัดการมาของพวกสัตว์ด้วยอํานาจปฏิสนธิ และคติด้วยอํานาจจุติในพันจักรวาลนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงข่มว่า "ความสําคัญ ก็แลฉันย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าเธอเธอแต่เป็นพรหมในพันจักรวาล ส่วนพรหมเหล่าอื่นจะหาขนาดที่เกินเธอ ๒๐๐๐,๓๐๐๐,๔๐๐๐,๕๐๐๐,๑๐,๐๐๐ และ ๑๐๐,๐๐๐ ก็ไม่มี, ยังมาทําความสําคัญว่าข้าใหญ่เหมือนพยายามเอาผ้าขี้ริ้ว ๔ ศอกมาทําเป็นขนาดผ้า. คําว่า "เข้าถึงในที่นี้" คือเข้าถึงชั้นของฌานที่หนึ่งนี้. คําว่า "เพราะเหตุนั้นเธอจึงไม่รู้จักอันนั้น" คือเพราะเหตุนั้น เธอจึงไม่รู้จักกายนั้น. คําว่า "ผู้ที่พอๆ กับเธอก็ไม่เลย." คือผู้ที่แม้ถึงฐานะที่พึงรู้เท่ากับเธอ ก็ไม่ใช่เป็นฉัน. คําว่า "รู้ยิ่ง"คือรู้อย่างทั่วถึง. คําว่า "พึงต่ํา แต่ที่ไหน" คือ ก็แหละความเป็นผู้ต่ํากว่า เธอจะมีแก่ฉัน แต่ที่ไหน? ได้ยินว่า พรหมองค์นี้ เป็นผู้เกิดในหนหลัง เมื่อยังไม่เกิดการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าได้บวชเป็นฤาษีทําการบริกรรมกสิณ ทําให้เกิดสมาบัติ ไม่เสื่อมจากฌาน ตายแล้วก็เกิดถือเอาอายุ ๕๐๐ กัปในพรหมโลกชั้นเวหัปผลา ในชั้นฌานที่สี่ครั้นดํารงอยู่ในที่นั้น จนตลอดอายุแล้วก็ทําในกําเนิดหนหลังอบรมฌานที่สามอย่างประณีตแล้วจึงเกิดถือเอาอายุ๖๔ กัป ในพรหมโลก ชั้นสุภกิณหา. อบรมฌานที่สองในชั้นนั้น เกิดถือเอาอายุ ๘ กัปในชั้นอาภัสสร. ในชั้นนั้น ได้อบรม

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 455

ฌานที่หนึ่งแล้วก็เกิดเป็นผู้มีอายุกัปหนึ่งในชั้นฌานที่หนึ่ง. ในตอนแรกๆ เขารู้ได้อย่างทั่วถึงทั้งกรรมที่ได้สร้าง ทั้งสถานที่เกิด. แต่เมื่อเวลาล่วงไป เขาลืมหมดทั้งสองอย่างจึงบังเกิดความเห็นว่าเที่ยงขึ้นมา. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสกะเขาว่า "เพราะเหตุนั้น เธอจึงไม่รู้ถึงอันนั้น ฯลฯ ฉันพึงต่ําแต่ไหน?

ทีนั้น พรหมคิดว่า "พระโคดม ผู้สมณะ มารู้ทั้งอายุที่เกิดและกรรมที่สร้างไว้เมื่อก่อนของฉัน, เอาละ ฉันจะถามถึงกรรมที่สร้างไว้เมื่อก่อนกะแก" ดังนี้แล้วจึงทูลถามบุพกรรมของตนกะพระศาสดา. พระศาสดาจึงตรัสว่า

ได้ยินว่า เมื่อก่อน พรหมนี้ได้เกิดในเรือนแห่งตระกูลเห็นโทษในกามทั้งหลายแล้วจึงคิดว่า "ฉันจะทําที่สุดของความเกิดความแก่และความตาย" แล้วออกไปบวชเป็นฤาษี ยังสมาบัติให้เกิดขึ้นแล้วเป็นผู้ได้ฌานที่มีอภิญญารองรับ ให้สร้างโรงมุงใบไม้ริมฝังแม่น้ำคงคา ฆ่าเวลาด้วยความยินดีในฌาน.

ก็แลในครั้งนั้น บางครั้งบางคราวก็มีพวกพ่อค้าขับเกวียน ๕๐๐เล่มผ่านทะเลทรายมา. ก็แหละในทะเลทราย (นั้น) กลางวันจะไปไม่ได้ไปได้แต่กลางคืน. ครั้งนั้น โคที่เทียมคู่แอกของเกวียนเล่มแรกเดินไปแล้วก็กลับหันหน้ามาตามทางที่มาอีกเกวียนเล่มถัดๆ มาก็กลับไปตามๆ กันต่อเมื่อสว่างจึงได้รู้ว่ากลับ. และครั้งนั้น เป็นวันข้ามพ้นทะเลทรายของพวกเขาเสียด้วยจึงคิดกั้นว่า "ฟืน และน้ำหมดเกลี้ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้น คราวนี้พวกเราตายแน่" แล้วก็เอาโคผูกไว้ที่ล้อ พวกคนต่างก็เข้าไปนอนที่ร่มเกวียน.

ฝ่ายดาบส เช้าขึ้นมาก็ออกจากบรรณศาลา นั่งมองดูแม่น้ำคงคาที่ประตูบรรณศาลานั่นเองได้เห็น (พวกพ่อค้า) แล้ว ครั้นได้เห็นแม่น้ำคงคา

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 456

มีห้วงน้ำใหญ่เต็มไหลมาเหมือนลําแก้วมณีจึงคิดว่า "ในโลกนี้มีบ้างไหมหนอ พวกสัตว์ที่กําลังลําบากเพราะไม่ได้น้ำอร่อยเห็นปานนี้.? เมื่อท่านพิจารณาอยู่อย่างนี้ ก็ได้เห็นกองเกวียนนั้นในทะเลทรายจึงคิดว่า "ขอสัตว์เหล่านี้จงอย่าฉิบหาย" แล้วก็อธิษฐานด้วยอภิญญาจิตว่าขอให้ลําน้ำใหญ่จงตัดขาดจากนี้หันหน้าไปหากองเกวียนในทะเลทรายเถิด. พร้อมกับเกิดความคิดขึ้น น้ำก็ไหลไปทะเลทรายนั้น ราวกะว่าขึ้นมาตามคลอง. พวกคนต่างลุกขึ้นเพราะเสียงน้ำได้พบน้ำต่างร่าเริงยินดี ได้อาบดื่มกันแล้วให้พวกโคดื่มน้ำ เสร็จแล้วก็พากันไปสู่ที่ซึ่งตนต้องการโดยความปลอดภัย.เมื่อพระศาสดาจะทรงแสดงบุพกรรมนั้น ของพรหมจึงตรัสคาถานี้ว่า

"เธอได้ให้พวกคนที่กระหาย ไปเผชิญหน้าเอาในทะเลทรายร้อนจํานวนมากดื่มน้ำใด นั่นเป็นพรตและศีลวัตรเก่าของเธอ. ฉันตามระลึกได้ คล้ายกะคนหลับแล้วตื่น"

ในสมัยอื่นอีก ดาบสให้สร้างโรงมุงใบไม้ อยู่อาศัยหมู่บ้านชาวป่า. ก็แหละสมัยนั้นพวกโจรโจมตีหมู่บ้านนั้น ถือเอาของมีค่าติดมือ (ต้อนช้างสาร) แล้วต้อนวัวและเชลยไปทั้งวัวทั้งหมา ทั้งคนก็ร้องดังลั่น. ดาบสได้ยินเสียงนั้น ก็ใคร่ครวญว่า มันอะไรกันหนอ ก็รู้ว่า "ภัยเกิดขึ้นแก่พวกคน" จึงคิดว่า "เมื่อเราเห็นอยู่ขอสัตว์เหล่านี้จงอย่าฉิบหาย" แล้วก็เข้าฌานซึ่งมีอภิญญารองรับ ออกแล้วก็นิรมิตกองทัพสี่เหล่าที่เตรียมพร้อมกําลังเดินมาสวนทางมากับพวกโจรด้วยอภิญญาจิต. พวกโจรได้เห็นก็พากันเข้าใจว่า "พระราชา" จึงทิ้งการปล้นหลีกไป ดาบสอธิษฐานว่า "อันใดเป็นของ

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 457

ผู้ใด อันนั้น ก็จงเป็นของของผู้นั้นนั่นแล. ของนั้นก็ได้เป็นอย่างนั้นนั่นแล.มหาชนก็ถึงความปลอดภัย. พระศาสดาเมื่อจะทรงชี้บุพกรรมแม้นี้ของพรหมนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

"เธอได้ปล่อย (๑) คนที่ถูกต้อน ของที่พึงเอาซึ่งกําลังถูกนําไปที่ตระกูลเนื้อทรายใด, นั้นเป็นพรต และศีลวัตรเก่าของเธอ, ฉันตามระลึกได้คล้ายกะคนหลับแล้วตื่น"

คําที่ว่าตระกูลเนื้อทรายในที่นี้ หมายถึงที่ริมฝังแม่น้ำคงคา.

สมัยอื่นอีก ตระกูลที่อยู่ตามแม่น้ำคงคาตอนบน การทําสันถวไมตรีกับตระกูลที่อยู่ทางแม่น้ำคงคาตอนล่าง พากันผูกแพ เรือ ให้ติดกัน แล้วช่วยกันขนเอาของเคี้ยวของกิน และระเบียบของหอมเป็นอันมากมาใส่แล้วก็มาตามกระแสแม่คงคา. พวกคนก็พากันเคี้ยวกิน ฟ้อนรํา ทําเพลง สนุกสนานกันเต็มที่ เหมือนกะขี่เทพวิมานไป. นาคที่เกิดในแม่น้ำคงคาเห็นเข้าก็เดือดดาลว่า "คนเหล่านี้ ไม่ทําแม้แต่สัญญาในเรา คราวนี้ เราจะให้พวกมันถึงทะเลให้ได้." แล้วก็นิรมิตร่างกายใหญ่โต แยกน้ำออกเป็นสองส่วน โผล่มาแผ่พังพาน พ่นเสียงฟู่ๆ อยู่. มหาชนได้เห็นก็กลัว ส่งเสียงหลง. ดาบสนั่งที่บรรณศาลาได้ยินเข้า ใคร่ครวญว่า "คนพวกนี้ร้องเพลง ฟ้อนรํา เกิดความสนุกสนานมา แต่บัดนี้ ร้อง ชนิดเสียงร้องกลัวตาย, อะไรกันหนอ? ได้เห็นพญานาคจึงคิดว่า "เมื่อเราเห็นอยู่ ขอสัตว์ทั้งหลายจงอย่าฉิบหาย" แล้วก็เข้าฌานที่มีอภิญญารองรับ ละร่างแล้วแปลงเป็นเพศครุฑ แล้วแสดงต่อพญานาค, พญานาคกลัวหุบพังพานดํานั้นไป (เข้าสู่น้ำ). มหาชนก็ถึงความ


(๑) บาลี อโมจยึ เข้าใจเป็น อโมจยิ จึงแปลตามนี้

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 458

สวัสดี. เมื่อพระศาสดาจะทรงชี้บุพกรรมนี้ของพรหมนั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า :-

"เธอได้ใช้กําลังครอบงําเข้าแก้เรือนที่ถูกนาคโหดร้ายยึดไว้ในกระแสคงคา เพราะงานของคนนั้นเป็นพรต และศีลวัตรเก่าของเธอ.ฉันตามระลึกได้คล้ายกะคนที่หลับแล้วตื่น."

ในสมัยอื่นอีก พรหมองค์นี้บวชเป็นฤาษี เป็นดาบสชื่อเกสวะ. โดยสมัยนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นมาณพ ชื่อกัปปเป็นลูกศิษย์ติดสอยห้อยตามท่านเกสวะรับสนองกิจการงาน ประพฤติถูกอกถูกใจถึงพร้อมด้วยความรอบรู้ เป็นผู้ประพฤติประโยชน์. เว้นนายกัปปแล้วเกสวะ ก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้. เพราะได้อาศัยนายกัปปนั้นแหละเกสวะจึงเลี้ยงชีพได้. พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงบุพกรรมแม้นี้ของพรหมนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-

"ก็ฉันเป็นนายกัปป ติดสอยห้อยตามเธอ,เธอก็ได้เข้าใจว่าฉันมีความรอบรู้ มีพรต,นั้นเป็นพรต เป็นศีลวัตรเก่าของเธอ,ฉันตามระลึกได้ คล้ายกะหลับแล้วตื่น"

พระศาสดาได้ทรงประกาศกรรมที่ทําแล้วในอัตภาพต่างๆ ของพรหมดังที่ว่ามานี้. ขณะที่พระศาสดากําลังตรัสอยู่นั่นเอง พรหมก็กําหนดแล้ว. กรรมทุกอย่างของพรหมนั้น ปรากฏเหมือนรูปที่ปรากฏเมื่อประทีปพันดวงลุกโพลงขึ้นฉะนั้น. พรหมนั้น มีจิตเลื่อมใสกล่าวคาถานี้ว่า

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 459

"เธอรู้ชัดอายุของฉันนี้แน่นอนเธอรู้แม้สิ่งอื่นๆ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าอานุภาพอันเธอให้ลุกโพลงแล้วนี้ก็อย่างนั้นแล ย่อมยังพรหมโลกให้สว่าง ตั้งอยู่."

ที่นั้น เมื่อจะทรงประกาศความเป็นผู้เท่าเทียมกับผู้หาใครเท่าเทียมไม่ได้ แม้ยิ่งขึ้นไปแก่พรหมองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคําเป็นต้นว่า ซึ่งแผ่นดินแล ฉัน พรหม. ในคําเหล่านั้น คําว่า "ไม่เป็นไปตาม เพราะอรรถว่าเป็นแผ่นดินแห่งแผ่นดิน" ความว่าไม่เป็นไปตามได้แก่ ไม่ถึงเพราะความเป็นแผ่นดินแห่งแผ่นดิน. ถามว่า นั้น ได้แก่อะไรเล่า? ตอบว่าได้แก่พระนิพพาน. ก็แลพระนิพพานนั้น ชื่อว่าไม่ถึงโดยความเป็นแผ่นดินเพราะความที่พระนิพพานนั้น พ้นจากสภาวะที่ถูกปัจจัยทุกอย่างปรุงแต่ง. คําว่า "รู้ยิ่งซึ่งพระนิพพานนั้น" ความว่า "รู้คือทําพระนิพพานนั้นให้แจ่มแจ้งแล้ว. คําว่า "ไม่เพียงพอกะแผ่นดิน" ความว่า "เราไม่ถือเอาแผ่นดินด้วยการถือเอาด้วยอํานาจตัณหา ทิฏฐิและมานะ. แม้ในน้ำเป็นต้น ก็ทํานองเดียวกันนี้แหละ. ส่วนความพิสดารพึงทราบตามแบบที่กล่าวแล้วในมูลปริยายสูตรนั่นแล. พรหมนี้แสดงอักขระว่า "ทั้งหมดเพราะความที่ตนเป็นผู้กล่าวคํานี้ว่า "ถ้าแล ของเธอ ผู้นิรทุกข์แห่งทั้งหมด" เพราะอรรถว่าทั้งหมด แล้วเอาความผิดในอักขระมากล่าว. แต่พระศาสดาทรงเป็นผู้สามารถจึงทรงหมายเอาสิ่งใดมาตรัสว่า "ทั้งหมด. พรหมจึงกล่าวว่า เธอหมายเอาหมดทั้งหมดมากล่าวว่า ทั้งหมดเธอพูดว่าไม่เป็นไปตาม เพราะอรรถว่า ทั้งหมด ถ้าสิ่งที่ไม่เป็นไปตามทั้งหมดไม่มีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามของสิ่งนั้นก็มี ขอให้คําของเธอจงอย่าเป็นคําที่เปล่าๆ เท่านั้นเลย อย่าเป็นคําที่

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 460

ว่างๆ เท่านั้นเลย แล้วก็ข่มพระศาสดาด้วยมุสาวาท (คือหาว่าทรงพูดเท็จ) ว่า ขอให้คําของท่านจงอย่าเป็นคําที่เปล่าๆ จงอย่าเป็นคําที่ว่างๆ ดังนี้

ส่วนพระศาสดาทรงเป็นนักพูดเสียยิ่งกว่าพรหมนี้ ตั้งร้อยเท่าพันเท่า ฉะนั้น เมื่อจะทรงนําเอาเหตุมาเพื่อย่ํายีคําพูดของพรหมนั้นว่า ฉันจะกล่าวถึงสภาวะทั้งหมดฉันจะกล่าวสภาวะที่ไม่มีอะไรเป็นไปตาม จงฟังฉัน จึงตรัสคําเป็นต้นว่า วิญญาณ ในคําเหล่านั้น คําว่า "วิญญาณ" ความว่า พึงเข้าใจแจ่มแจ้ง. คําว่า "เห็นไม่ได้" ความว่า ชื่อว่าเห็นไม่ได้เพราะไม่เข้าสู่คลองแห่งจักขุวิญญาณ. แม้ด้วยบททั้งสอง (นี้) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระนิพพานนั่นเอง. คําว่า "ไม่มีที่สุด" ความว่า "ชื่อว่าหาที่สุดไม่ได้ เพราะพระนิพพานนี้นั้น เว้นจากระหว่างแห่งการเกิดและการเสื่อม. สมจริงดังคําที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ตรัสไว้แล้วว่า

"สัตว์ทั้งหลายมีที่สุด พระนิพพานที่ไม่เกิด ไม่มีที่สุดสัตว์ทั้งหลาย ไม่ปรากฏในที่สุดเราได้ประกาศที่สุดในสัตว์แล้ว."

คําว่า "เข้าถึงแสงทั้งหมด" ได้แก่สมบูรณ์ด้วยแสงโดยประการทั้งปวง. จริงอยู่นอกจากพระนิพพานแล้วไม่มีสิ่งอื่นที่มีแสงกว่า มีความโชติช่วงกว่า มีที่สุดที่หมดจดกว่า หรือขาวกว่าอีกอย่างหนึ่ง พระนิพพาน เป็นแดนเกิดจากที่ทั้งปวงทีเดียว ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ไม่มี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นแดนเกิดโดยประการทั้งปวงจริงอยู่ ในทิศตะวันออกเป็นต้น ชื่อว่าในทิศโน้น ไม่พึงกล่าวว่าไม่มีพระนิพพาน. อีกอย่างหนึ่ง

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 461

คําว่า "แสง" เป็นชื่อของท่า. ชื่อว่ามีท่าทุกแห่ง เพราะทุกแห่งมีท่า. เขาเล่าเกี่ยวกับพระนิพพานว่าผู้อยากจะข้ามมหาสมุทรโดยที่ใดๆ ที่นั้นๆ แล้วย่อมเป็นท่า, ชื่อว่าที่ที่ไม่ใช่ท่าย่อมไม่มีฉันใดในกัมมัฏฐาน ๓๘ อย่างผู้ประสงค์จะข้ามไปพระนิพพานด้วยหัวข้อสําคัญใดๆ หัวข้อนั้นๆ แลย่อมเป็นท่า, ไม่มีกัมมัฏฐานที่ชื่อว่าไม่เป็นท่าของพระนิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน, เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "เป็นท่าทุกแห่ง". คําว่า "นั้นแห่งแผ่นดิน เพราะอรรถว่าแผ่นดิน" ความว่า "พระนิพพานนั้น เป็นสภาพที่ไม่เป็นไปตามแผ่นดิน เพราะอรรถว่าแผ่นดิน และไม่เป็นไปตามน้ำเป็นต้น อื่นจากแผ่นดินนั้น เพราะสภาพแห่งน้ำเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งพระดํารัสว่าธรรมชาติที่เป็นไปในภูมิ๓ ทั้งหมดอันเป็นวิสัยของบุคคลแบบเธอ อันใด ธรรมชาตินั้น เป็นธรรมชาติที่พึงรู้แจ้ง เห็นไม่ได้ไม่มีที่สุด ท่าทุกแห่งเป็นธรรมชาติที่ไม่เป็นไปตาม (อะไรๆ) เพราะอรรถว่าทั้งหมดของธรรมชาติทั้งหมดนั้น ดังนี้.

ลําดับนั้น พรหมถูกพระศาสดาบังคับให้สละสิ่งที่ถือไว้แล้วๆ เมื่อมองไม่เห็นอะไรที่พึงถือเอาก็ใคร่จะทําลัทธิไว้ จึงพูดว่า "เอาเถิดถ้าอย่างนั้น ฉันจะหายตัวแก่แก นะผู้นิรทุกข์!" ในคําเหล่านั้น คําว่า "ฉันจะหายตัว" ความว่า พรหมกล่าวว่า ฉันจะกระทําปาฏิหาริย์ไม่ให้ใครเห็นตัว.คําว่า "ถ้าเธอสามารถ" ความว่าถ้าเธอสามารถ ก็จงทําปาฏิหาริย์ที่หายตัวได้จริงๆ เพื่อความหายตัวแก่ฉันซิ. คําว่า "เธอไม่สามารถจะหายตัวแก่ฉันหรอก" ความว่า เธอจะไม่สามารถเพื่อจะหายตัวแก่ฉันได้หรอก. ถามว่าก็แล พรหมนี้เป็นผู้ใคร่จะทําอะไร? ตอบว่า เป็นผู้ใคร่เพื่อจะไปสู่ปฏิสนธิดังเดิม. จริงอยู่อัตภาพที่ได้จากปฏิสนธิดั้งเดิมของพวกพรหมเป็นสิ่งละเอียดเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นไม่ได้ ย่อมดํารงอยู่ด้วยกายที่ถูกสร้างอย่างยิ่ง (อภิสังขาร) นั่นเอง. พระศาสดาไม่ได้ประทานเพื่อไปสู่ปฏิสนธิดั้งเดิมแก่พรหม

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 462

นั้น. หรือเมื่อไม่ไปสู่ปฏิสนธิดั้งเดิม พรหมพึงทําตัวให้หายไปแล้วเป็นผู้ที่ไม่มีใครมองเห็นด้วยความมืดใด. พระศาสดาก็ทรงบรรเทาความมืดนั้นเสียแล้วเพราะฉะนั้นพรหมจึงไม่สามารถจะหายตัวได้. เมื่อเขาไม่สามารถแอบซ่อนในวิมาน จึงแอบซ่อนที่ไม้กัลปพฤกษ์นั่งกระหย่งอยู่. พวกพรหมก็ทําการเยาะเย้ยว่า พกพรหมนี้แล แอบซ่อนในวิมาน แอบซ่อนที่ไม้กัลปพฤกษ์ นั่งกระหย่งอยู่. พรหม ท่านชื่อว่าย่อมก่อให้เกิดสัญญาว่า "ข้าจะหายตัว" เขาถูกพวกพรหมเยาะเย้ยเอา ก็แสนจะอับอายขายหน้า.

คําว่า เมื่อพรหมพูดอย่างนั้น "ฉัน ภิกษุทั้งหลาย" ความว่า ภิกษุทั้งหลายเมื่อพรหมนั้นกล่าวอย่างนั้นว่า "เอาละถ้าอย่างนั้น แก่เธอผู้นิรทุกข์ฉันจะหายตัว ฉันมองเห็นว่าพรหมนั้นไม่สามารถจะหายตัวได้ จึงได้กล่าวคํานี้. คําว่า "ฉันได้กล่าวคาถานี้" ความว่าถามว่า ทําไมพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสพระคาถา? ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคิดว่า พวกพรหมจงอย่ามีโอกาสพูดอย่างนี้ว่า "ใครจะสามารถทราบได้อย่างไรว่า ในที่นี้มีพระโคดมผู้เป็นสมณะ หรือไม่มี จึงได้ตรัสพระคาถาแล้วเสด็จหายพระองค์ไป.

ในคําเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า "ฉันได้มองเห็นภัยในภพนั่นแล" ความว่า ฉันได้มองเห็นภัยในภพโดยแท้. บาทพระคาถาว่า "ภพและผู้แสวงหาวิภพ" ความว่า เห็นภพของสัตว์แม้ทั้งสามอย่างมีกามภพเป็นต้นนี้ เห็นผู้แสวงหาวิภพ คือแสวงหาอยู่ได้แก่ เสาะหาอยู่ซึ่งวิภพ และเห็น (ภัย) ในภพนั่นแลเนืองๆ.คําว่า "ไม่พร่ําหาภพ" ความว่าไม่บ่นพร่ําคือไม่แสวงหาภพไรๆ ด้วยอํานาจตัณหาและทิฏฐิ บาทคาถาว่า "และไม่ยึดมั่นความเพลิดเพลิน" ความว่าไม่เข้าถึงคือไม่ได้ถือเอาตัณหาในภพ. พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความจริงสี่ประการ ทรงแสดงพระธรรมด้วยประการฉะนี้.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 463

เมื่อทรงเทศน์จบ พรหมประมาณหมื่นองค์ ยังวิปัสสนาให้ถือเอาครรภ์ (ตั้งท้องแล้วก็คลอดเหมือนข้าวกล้าตั้งท้องแล้วก็ออกรวง) ตามแนวแห่งเทศนาแล้วก็ดื่มน้ำอมฤตคือมรรคผล.

คําว่า "เป็นผู้เกิดจิตเป็นอัศจรรย์พิลึก พิลั่นแล้ว" ความว่า เป็นผู้เกิดอัศจรรย์เกิดความหลากใจและเกิดความยินดีแล้ว. บาทพระคาถาว่า "ทรงถอนภพพร้อมทั้งรากเหง้าได้แล้ว" ความว่า ทรงถอน คือทรงรื้อ ได้แก่ทรงกระชากภพพร้อมทั้งรากเหง้า ของเทวดาและมนุษย์เป็นอันมากแม้เหล่าอื่น ด้วยเทศนานั้นๆ ของพระองค์ควงไม้โพธิ์.

ก็แลในสมัยนั้น มารผู้มีบาป เป็นผู้อันความโกรธครอบงําแล้วคิดว่า "เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่นั่นแหละ พรหมประมาณหมื่นองค์เป็นไปล่วงอํานาจเราไปได้เพราะพระโคดมผู้สมณะแสดงธรรม จึงเข้าสิงในร่างของพรหมปาริสัชชะองค์ใดองค์หนึ่ง เพราะความเป็นผู้ถูกความโกรธครอบงําแล้วเพื่อทรงแสดงมารนั้น จึงตรัสคําเป็นต้นว่า "ครั้งนั้นแล" ภิกษุทั้งหลาย, ดังนี้.บรรดาคําเหล่านั้น คําว่า "หากแกตามตรัสรู้อย่างนี้" ความว่า หากแกมาตามตรัสรู้ความจริงสี่อย่างด้วยตนอย่างนี้. คําว่า "อย่าน้อมหมู่สาวกเข้าไป" ความว่าอย่าน้อมเอาธรรมนั้นเข้าไปในสาวกที่เป็นคฤหัสถ์หรือสาวกที่เป็นบรรพชิต. คําว่า "ตั้งอยู่ในกายทราม" ความว่า ดํารงอยู่ในอบายทั้ง ๔. คําว่า "ตั้งอยู่ในกายประณีต" ความว่า ดํารงอยู่ในพรหมโลก.พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคํานี้หมายเอาพวกใคร? ตรัสหมายเอาพวกดาบสและปริพพาชกที่เป็นนักบวชในลัทธิภายนอก. ความจริงมีอยู่ว่า เมื่อยังไม่เกิดยุคแห่งการเกิดพระพุทธเจ้า พวกกุลบุตรบวชเป็นดาบส ไม่เลือกอะไรๆ ของใครๆ เที่ยวเร่ร่อนไปคนเดียว บังเกิดสมาบัติแล้วก็เข้าถึงพรหมโลก. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาพวกเหล่านั้น บาทคาถาว่าผู้นิรทุกข์

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 464

แกไม่ได้เอ่ยถึงกุศลเลย ความว่า ผู้นิรทุกข์แกไม่ได้เอ่ยถึงกุศล ไม่สั่งสอน ไม่กล่าวธรรมกถาแก่คนเหล่าอื่น ข้อนั้นเป็นการดีกว่า. คําว่า "จงอย่าสั่งสอนผู้อื่น ความว่า แกอย่าเที่ยวแสวงหามนุษยโลก เป็นเวลาเทวโลก เป็นเวลา พรหมโลกเป็นเวลา นาคโลกเป็นเวลา จงนั่งฆ่าเวลาด้วยความสุขในฌานในมรรคและในผลในที่เดียว. คําว่า "เพราะความเป็นผู้ไม่พูดพร่ํา"ความว่า เพราะความเป็นผู้ไม่คุยโว. คําว่า "และเพราะความเป็นการเชื้อเชิญของพรหม" ความว่าและเพราะคําเชื้อเชิญของพกพรหม ด้วยตําแหน่งแห่งพรหม ผู้มีโอกาสพร้อมโดยนัยเป็นต้นว่า "ผู้นิรทุกข์ นี้แล เป็นของเที่ยง. คําว่า "ตสฺมา" แปลว่า เพราะเหตุนั้น. คําว่า "พรหมนิมันตนิก"นั่นแลเป็นชื่อเป็นคําสําหรับนับ เป็นคําที่รู้พร้อมกัน เป็นคําแต่งตั้ง เกิดแล้ว แต่คําร้อยแก้วนี้. คําที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นแล้วทั้งนั้น ดังนี้แล.

จบ อรรถกถาพรหมนิมันตนิกสูตรที่ ๙