๓. มฆเทวสูตร
[เล่มที่ 21] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 65
๓. มฆเทวสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 21]
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 65
๓. มฆเทวสูตร
[๔๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่อัมพวัน ของพระเจ้ามฆเทวะ ใกล้เมืองมิถิลา. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแย้มพระสรวลให้ปรากฏ ณ ประเทศแห่งหนึ่ง. ลําดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดว่า อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแย้มพระสรวล พระตถาคตทั้งหลายไม่ทรงแย้มพระสรวลโดยหาเหตุมิได้ ดังนี้แล้ว จึงทําจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแย้มพระสรวล พระตถาคตทั้งหลายไม่ทรงแย้มพระสรวลโดยหาเหตุมิได้.
[๔๕๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในเมืองมิถิลานี้แหละ ได้มีพระราชาพระนามว่ามฆเทวะ ทรงประกอบในธรรม เป็นพระธรรมราชา เป็นพระมหาราชาผู้ทรงตั้งอยู่ในธรรม ทรงประพฤติราชธรรมในพราหมณคหบดี ในชาวนิคมและชาวชนบท ทรงรักษาอุโบสถทุกวันที่สิบสี่สิบห้าและแปดคําแห่งปักษ์. ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น ด้วยล่วงปีเป็นอันมาก ล่วงร้อยปีเป็นอันมาก ล่วงพันปีเป็นอันมาก พระเจ้ามฆเทวะรับสั่งกะช่างกัลบกว่า ดูก่อนเพื่อนกัลบก ท่านเห็นผมหงอกเกิดบนศีรษะของเราเมื่อใด พึงบอกเราเมื่อนั้น. ช่างกัลบกทูลรับพระเจ้ามฆเทวะว่า อย่างนั้นขอเดชะ. ด้วยล่วงปีเป็นอันมาก ล่วงร้อยปีเป็นอันมาก ล่วงพันปีเป็นอันมาก ช่างกัลบกได้เห็นพระเกศาหงอกเกิดบนพระเศียรของพระเจ้ามฆเทวะ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 66
แล้วได้กราบทูลว่า เทวทูตปรากฏแก่พระองค์แล้ว พระเกศาหงอกเกิดบนพระเศียรแล้วเห็นปรากฏอยู่.
พระเจ้ามฆเทวะตรัสว่า ดูก่อนเพื่อนกัลบก ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเอาแหนบถอนผมหงอกนั้นให้ดี แล้ววางลงที่กระพุ่มมือของเราเถิด.
ช่างกัลบกทูลรับสั่งของพระเจ้ามฆเทวะ แล้วจึงเอาแหนบถอนพระเกศาหงอกนั้นด้วยดี แล้ววางไว้ที่กระพุ่มพระหัตถ์ของพระเจ้ามฆเทวะ. ครั้งนั้น พระเจ้ามฆเทวะพระราชทานบ้านส่วยแก่ช่างกัลบก แล้วโปรดให้พระราชทานกุมารผู้เป็นพระราชบุตรองค์ใหญ่มาเฝ้า แล้วรับสั่งว่า ดูก่อนพ่อกุมาร เทวทูตปรากฏแก่เราแล้ว ผมหงอกเกิดที่ศีรษะแล้วเห็นปรากฏอยู่ ก็กามทั้งหลายที่เป็นของมนุษย์เราได้บริโภคแล้ว เวลานี้เป็นสมัยที่จะแสวงหากามทั้งหลายที่เป็นทิพย์ มาเถิดพ่อกุมาร เจ้าจงครองราชสมบัตินี้ ส่วนเราจักปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ดูก่อนพ่อกุมาร ส่วนเจ้า เมื่อใดพึงเห็นผมหงอกเกิดบนศีรษะ เมื่อนั้นเจ้าพึงให้บ้านส่วยแก่ช่างกัลบก พึงพร่ําสอนราชกุมารผู้เป็นพระราชบุตรองค์ใหญ่ในการที่จะเป็นพระราชาให้ดี แล้วปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด เจ้าพึงประพฤติตามวัตรอันงาม ที่เราตั้งไว้แล้วนี้ เจ้าอย่าได้เป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย เมื่อสมัยแห่งบุรุษใดเป็นไปอยู่ วัตรอันงามเห็นปานนี้ขาดสูญไป สมัยแห่งบุรุษนั้นชื่อว่า เป็นบุรุษคนสุดท้ายของราชบรรพชิตนั้น ดูก่อนพ่อกุมาร เจ้าจะพึงประพฤติตามวัตรอันงามที่เราตั้งไว้แล้วนี้ ได้ด้วยประการใด เรากล่าวอย่างนี้กะเจ้าด้วยประการนั้น เจ้าอย่าได้เป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 67
พระเจ้ามฆเทวะทรงผนวช
[๔๕๔] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น พระเจ้ามฆเทวะครั้นพระราชทานบ้านส่วยแก่ช่างกัลบก และทรงพร่ําสอนพระราชกุมารผู้เป็นพระราชบุตรองค์ใหญ่ ในการที่จะเป็นพระราชาให้ดีแล้ว ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงนุ่งห่มผ้ากาสายะ เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ ทรงผนวชเป็นบรรพชิตที่มฆเทวัมพวันนี้และ ท้าวเธอทรงมีพระหฤทัยประกอบด้วยเมตตา ทรงแผ่ไปทั่วทิศหนึ่งอยู่ ในทิศที่สอง ในทิศที่สาม ในทิศที่สี่ก็เหมือนกัน ทรงมีพระหฤทัยประกอบด้วยเมตตา อันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปทั่วโลก โดยมุ่งประโยชน์แก่สัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ทั้งในทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยประการฉะนี้. ทรงมีพระหฤทัยประกอบด้วยกรุณา... ทรงมีพระหฤทัยประกอบด้วยมุทิตา... ทรงมีพระหฤทัยประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปทั่วทิศหนึ่งอยู่. ในทิศที่สอง ในทิศที่สาม ในทิศที่สี่ก็เหมือนกัน. ทรงมีพระหฤทัยประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปทั่วโลก โดยมุ่งประโยชน์แก่สัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถานทั้งในทิศเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ด้วยประการฉะนี้. ดูก่อนอานนท์ ก็พระเจ้ามฆเทวะทรงเล่นเป็นพระกุมารอยู่แปดหมื่นสี่พันปี ทรงดํารงความเป็นอุปราชแปดหมื่นสี่พันปี เสวยราชสมบัติแปดหมื่นสี่พันปี เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ที่มฆเทวัมพวันนี้แลแปดหมื่นสี่พันปี. พระองค์ทรงเจริญพรหมวิหารสี่แล้ว เมื่อสวรรคตได้เสด็จเข้าถึงพรหมโลก.
[๔๕๕] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น พระราชบุตรของพระเจ้ามฆเทวะ โดยล่วงปีไปเป็นอันมาก ล่วงร้อยปีเป็นอันมาก ล่วงพันปีเป็นอันมาก รับสั่งกะช่างกัลบกว่า ดูก่อนเพื่อนกัลบก ท่านเห็นผมหงอกเกิดบนศีรษะของเราเมื่อใด
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 68
พึงบอกแก่เราเมื่อนั้น. ครั้งนั้น ช่างกัลบกรับคําสั่งของพระราชบุตรแห่งพระเจ้ามฆเทวะว่า อย่างนั้นขอเดชะ. ด้วยล่วงปีเป็นอันมาก ล่วงร้อยปีเป็นอันมาก ล่วงพันปีเป็นอันมาก ช่างกัลบกได้เห็นพระเกศาหงอกเกิดบนพระเศียรของพระราชบุตรแห่งพระเจ้ามฆเทวะ แล้วได้กราบทูลว่า เทวทูตปรากฏแก่พระองค์แล้ว พระเกศาหงอกเกิดบนพระเศียรเห็นปรากฏอยู่.
พระราชบุตรของพระเจ้ามฆเทวะตรัสว่า ดูก่อนเพื่อนกัลบก ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเอาแหนบถอนผมหงอกนั้นให้ดี แล้ววางในกระพุ่มมือของเราเถิด.
ช่างกัลบกรับคําสั่งของพระราชบุตรแห่งพระเจ้ามฆเทวะ แล้วจึงเอาแหนบถอนพระเกศาหงอกนั้นด้วยดี แล้ววางไว้ในกระพุ่มพระหัตถ์ของพระราชบุตรแห่งพระเจ้ามฆเทวะ. ครั้งนั้น พระราชบุตรของพระเจ้ามฆเทวะ พระราชทานบ้านส่วยแก่ช่างกัลบก. แล้วโปรดให้พระราชกุมารผู้เป็นพระราชบุตรองค์ใหญ่มาเฝ้าแล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนพ่อกุมาร เทวทูตปรากฏแก่เราแล้ว ผมหงอกเกิดบนศีรษะแล้วเห็นปรากฏอยู่ กามทั้งหลายที่เป็นของมนุษย์ เราบริโภคแล้ว เวลานี้เป็นสมัยที่จะแสวงหากามอันเป็นทิพย์ มาเถิดพ่อกุมาร เจ้าจงครองราชสมบัตินี้ ส่วนเราจักปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ถ้าแม้เจ้าพึงเห็นผมหงอกเกิดบนศีรษะเมื่อใด เมื่อนั้น เจ้าพึงให้บ้านส่วยแก่ช่างกัลบก แล้วพร่ําสอนราชกุมารผู้เป็นบุตรคนใหญ่ในการที่จะเป็นพระราชาให้ดี แล้วพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต พึงประพฤติตามวัตรอันงามนี้ที่เราตั้งไว้แล้ว เจ้าอย่าได้เป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย เมื่อยุคแห่งบุรุษใดเป็นไปอยู่ วัตรอันงามเห็นปานนี้ขาดสูญไป ยุคแห่งบุรุษนั้นชื่อว่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายของราชบรรพชิตนั้น. ดูก่อนพ่อกุมาร เจ้าจะพึงประพฤติวัตรอันงาม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 69
ที่เราตั้งไว้แล้วนี้ได้ด้วยประการใด เรากล่าวอย่างนี้กะเจ้าด้วยประการนั้น เจ้าอย่าได้เป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย.
พระราชบุตรของพระเจ้ามฆเทวะผนวช
[๔๕๖] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น พระราชบุตรของพระเจ้ามฆเทวะ ครั้นพระราชทานบ้านส่วยแก่ช่างกัลบก ทรงพร่ําสอนพระราชกุมารผู้เป็นพระราชบุตรองค์ใหญ่ในการที่จะเป็นพระราชาให้ดีแล้ว ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสายะ แล้วเสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ ทรงผนวชเป็นบรรพชิตอยู่ในมฆเทวัมพวันนี้แล. ท้าวเธอมีพระหฤทัยประกอบด้วยเมตตา ทรงแผ่ไปทั่วทิศหนึ่งอยู่. ในทิศที่สอง ในทิศที่สาม ในทิศที่สี่ก็เหมือนกัน. มีพระหฤทัยประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ทรงแผ่ไปทั่วโลก โดยมุ่งประโยชน์แก่สัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถาน ทั้งในทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยประการฉะนี้. มีพระหฤทัยประกอบด้วยกรุณา... มีพระหฤทัยประกอบด้วยมุทิตา... มีพระหฤทัยประกอบด้วยอุเบกขา ทรงแผ่ไปทั่วทิศหนึ่งอยู่. ในทิศที่สอง ในทิศที่สาม ในทิศที่สี่เหมือนกัน. มีพระหฤทัยประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปทั่วโลก โดยมุ่งประโยชน์แก่สัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถานทั้งในทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวางด้วยประการฉะนี้. ดูก่อนอานนท์ พระราชบุตรของพระเจ้ามฆเทวะ ทรงเล่นเป็นพระกุมารแปดหมื่นสี่พันปี ทรงดํารงความเป็นอุปราชแปดหมื่นสี่พันปี เสวยราชสมบัติแปดหมื่นสี่พันปี เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ที่มฆเทวัมพวันนี้แลแปดหมื่นสี่พันปี. พระองค์ทรงเจริญพรหมวิหารสี่แล้ว เมื่อสวรรคต ได้เสด็จเข้าถึงพรหมโลก.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 70
[๔๕๗] ดูก่อนอานนท์ ก็พระราชบุตร พระราชนัดดาของพระเจ้ามฆเทวะสืบวงศ์นั้นมาแปดหมื่นสี่พันชั่วกษัตริย์ ได้ปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสายะ เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ณ มฆเทวัมพวันนี้แล. ท้าวเธอเหล่านั้นมีพระหฤทัยประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปทั่วทิศหนึ่งอยู่. ในทิศที่สอง ในทิศที่สาม ในทิศที่สี่ก็เหมือนกัน. มีพระหฤทัยประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปทั่วโลก โดยมุ่งประโยชน์แก่สัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถานทั้งในทิศเบื้องบน เบื้องต่ํา เบื้องขวาง ด้วยประการฉะนี้. มีพระหฤทัยประกอบด้วยกรุณา... มีพระหฤทัยประกอบด้วยมุทิตา... มีพระหฤทัยประกอบด้วยอุเบกขาทรงแผ่ไปทั่วทิศหนึ่งอยู่. ในทิศที่สอง ในทิศที่สาม ในทิศที่สี่ก็เหมือนกัน. ทรงมีพระหฤทัยประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปทั่วโลกทั้งปวง โดยมุ่งประโยชน์แก่สัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ทั้งในทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยประการฉะนี้. ท้าวเธอเหล่านั้น ทรงเล่นเป็นพระกุมารแปดหมื่นสี่พันปี ดํารงความเป็นอุปราชแปดหมื่นสี่พันปี เสวยราชสมบัติแปดหมื่นสี่พันปี เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ที่มฆเทวัมพวันนี้แล แปดหมื่นสี่พันปี. พระองค์ทรงเจริญพรหมวิหารสี่แล้ว เมื่อสวรรคตได้เสด็จเข้าถึงพรหมโลก. พระเจ้านิมิราชเป็นพระราชาองค์สุดท้ายแห่งราชบรรพชิตเหล่านั้น เป็นพระราชาประกอบในธรรมเป็นพระธรรมราชา เป็นพระมหาราชาผู้ทรงสถิตอยู่ในธรรม ทรงประพฤติธรรมในพราหมณคหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท ทรงรักษาอุโบสถทุกวันที่สิบสี่ ที่สิบห้า และที่แปดแห่งปักษ์.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 71
[๔๕๘] ดูก่อนอานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว อันตรากถา นี้เกิดขึ้นแล้วแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ผู้นั่งประชุมกัน ณ สภาชื่อสุธรรมาว่า ดูก่อนผู้เจริญ เป็นลาภของชนชาววิเทหะหนอ ดูก่อนผู้เจริญ ชนชาววิเทหะได้ดีแล้วหนอ ที่พระเจ้านิมิราชของเขาเป็นพระราชาประกอบในธรรม เป็นพระธรรมราชา เป็นพระมหาราชาผู้ทรงสถิตอยู่ในธรรม ทรงประพฤติธรรมในพราหมณคหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท และทรงรักษาอุโบสถทุกวันที่สิบสี่ ที่สิบห้าและที่แปดแห่งปักษ์.
ท้าวสักกะเข้าเฝ้า
[๔๕๙] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพตรัสเรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มาว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายปรารถนาจะเห็นพระเจ้านิมิราชหรือไม่.
เทวดาชั้นดาวดึงส์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ข้าพระองค์ทั้งหลายปรารถนาจะเห็นพระเจ้านิมิราช.
ดูก่อนอานนท์ สมัยนั้น ในวันอุโบสถที่สิบห้า พระเจ้านิมิราชทรงสนานพระกายทั่วพระเศียรแล้ว ทรงรักษาอุโบสถ เสด็จขึ้นปราสาทอันประเสริฐประทับนั่งอยู่ชั้นบน. ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพทรงหายไปในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ไปปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านิมิราช เปรียบเหมือนบุรุษมีกําลังพึงเหยียดแขนที่คู้ออก หรือพึงคู้แขนที่เหยียดเข้า ฉะนั้น แล้วได้ตรัสว่า ข้าแต่มหาราช เป็นลาภของพระองค์ ข้าแต่มหาราช พระองค์ได้ดีแล้ว เทวดาชั้นดาวดึงส์ นั่งประชุมกันสรรเสริญอยู่ในสุธรรมาสภาว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ เป็นลาภของชนชาววิเทหะหนอ ดูก่อนท่านผู้เจริญ ชนชาววิเทหะได้ดีแล้วหนอ ที่พระเจ้านิมิราชผู้ทรงธรรม เป็นพระธรรมราชา เป็น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 72
พระมหาราชาผู้สถิตอยู่ในธรรม ทรงประพฤติธรรมในพราหมณคหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท และทรงรักษาอุโบสถทุกวันที่สิบสี่ ที่สิบห้า และที่แปดแห่งปักษ์ ข้าแต่มหาราช เทวดาชั้นดาวดึงส์ปรารถนาจะเห็นพระองค์ หม่อมฉันจักส่งรถม้าอาชาไนยเทียมม้าพันหนึ่งมาให้พระองค์ พระองค์พึงขึ้นประทับทิพยยานเถิด อย่าทรงหวั่นพระทัยเลย. พระเจ้านิมิราชทรงรับด้วยอาการนิ่งอยู่ ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบว่า พระเจ้านิมิราชทรงรับเชิญแล้ว ทรงหายไปในที่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้านิมิราช มาปรากฏในเทวดาชั้นดาวดึงส์ เปรียบเหมือนบุรุษมีกําลังพึงเหยียดแขนที่คู้ออก หรือพึงคู้แขนที่เหยียดเข้าฉะนั้น.
นําเสด็จพระเจ้านิมิราชถึงสุธรรมาสภา
[๔๖๐] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ ตรัสเรียกมาตลีเทพบุตรผู้รับใช้มาว่า ดูก่อนเพื่อนมาตลี มาเถิดท่าน จงเทียมรถม้าอาชาไนยอันเทียมม้าพันหนึ่ง แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้านิมิราช จงทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่มหาราช รถม้าอาชาไนยเทียมด้วยม้าพันหนึ่งนี้ ท้าวสักกะจอมเทพทรงส่งมารับพระองค์ พระองค์พึงเสด็จขึ้นประทับทิพยยานเถิด อย่าทรงหวั่นพระทัยเลย. มาตลีเทพบุตรผู้รับใช้ทูลรับ รับสั่งของท้าวสักกะจอมเทพ แล้วเทียมรถม้าอาชาไนย เทียมด้วยม้าพันหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระเจ้านิมิราชแล้วทูลว่า ข้าแต่มหาราช รถม้าอาชาไนยอันเทียมด้วยม้าพันหนึ่งนี้ ท้าวสักกะจอมเทพทรงส่งมารับพระองค์ เชิญเสด็จขึ้นประทับทิพยยานเถิด อย่าทรงหวั่นพระทัยเลย อนึ่ง ทางสําหรับสัตว์ผู้มีกรรมอันลามก เสวยผลของกรรมอันลามกทางหนึ่ง ทางสําหรับสัตว์ผู้มีกรรมอันงาม เสวยผลของกรรมอันงามทางหนึ่ง ข้าพระองค์จะเชิญเสด็จพระองค์โดยทางไหน.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 73
พระเจ้านิมิราชตรัสว่า ดูก่อนมาตลี จงนําเราไปโดยทางทั้งสองนั่นแหละ.
มาตลีเทพบุตรผู้รับใช้ นําเสด็จพระเจ้านิมิราชถึงสุธรรมาสภา. ท้าวสักกะจอมเทพทอดพระเนตรเห็นพระเจ้านิมิราชกําลังเสด็จมาแต่ไกล แล้วได้ตรัสว่า ข้าแต่มหาราช เชิญเสด็จมาเถิด ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว เทวดาชั้นดาวดึงส์ประชุมสรรเสริญอยู่ในสุธรรมาสภาว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ เป็นลาภของชนชาววิเทหะหนอ ชนชาววิเทหะได้ดีแล้วหนอ ที่พระเจ้านิมิราชผู้ทรงธรรม เป็นพระธรรมราชา เป็นพระมหาราชาผู้สถิตอยู่ในธรรม ทรงประพฤติธรรมในพราหมณ์ คหบดี ชาวนิคมและชนบท และทรงรักษาอุโบสถทุกวันที่สิบสี่ ที่สิบท้า และที่แปดแห่งปักษ์ ข้าแต่มหาราช เทวดาชั้นดาวดึงส์ปรารถนาจะพบเห็นพระองค์ ขอเชิญพระองค์จงอภิรมย์อยู่ในเทวดาทั้งหลายด้วยเทวานุภาพเถิด.
พระเจ้านิมิราชตรัสว่า อย่าเลย พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอจงนําหม่อมฉันกลับไปยังเมืองมิถิลาในมนุษยโลกนั้นเถิด หม่อมฉันจักได้ประพฤติธรรมอย่างนั้นในพราหมณ์ คหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท และจักได้รักษาอุโบสถทุกวันที่สิบสี่ ที่สิบห้า และที่แปดแห่งปักษ์.
ลําดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพตรัสเรียกมาตลีเทพบุตรผู้รับใช้มาว่า ดูก่อนเพื่อนมาตลี ท่านจงเทียมรถม้าอาชาไนยอันเทียมด้วยม้าพันหนึ่ง แล้วนําพระเจ้านิมิราชกลับไปยังเมืองมิถิลาในมนุษยโลกนั้น. มาตลีเทพบุตรผู้รับใช้ ทูลรับคําสั่งของท้าวสักกะจอมเทพแล้ว เทียมรถม้าอาชาไนยอันเทียมด้วยม้าพันหนึ่ง แล้วนําพระเจ้านิมิราชกลับไปยังเมืองมิถิลาในมนุษยโลกนั้น.
[๔๖๑] ดูก่อนอานนท์ ได้ยินว่า สมัยนั้น พระราชาผู้เป็นใหญ่ทรงประพฤติธรรมในพราหมณ์ คหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท และทรงรักษา
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 74
อุโบสถทุกวันที่สิบสี่ ที่สิบห้า และที่แปดแห่งปักษ์. ครั้งนั้น ด้วยล่วงปีเป็นอันมาก ล่วงร้อยปีเป็นอันมาก ล่วงพันปีเป็นอันมาก พระเจ้านิมิราชตรัสกะช่างกัลบกว่า ดูก่อนเพื่อนกัลบก ท่านเห็นผมหงอกเกิดขึ้นที่บนศีรษะของเราเมื่อใด พึงบอกแก่เราเมื่อนั้น. ช่างกัลบกทูลรับคําสั่งพระเจ้านิมิราชว่า อย่างนั้นขอเดชะ. ด้วยล่วงปีเป็นอันมาก ล่วงร้อยปีเป็นอันมาก ล่วงพันปีเป็นอันมาก ช่างกัลบกได้เห็นพระเกศาหงอกเกิดขึ้นบนพระเศียรพระเจ้านิมิราช จึงได้กราบทูลว่า เทวทูตปรากฏแก่พระองค์แล้ว พระเกศาหงอกเกิดขึ้นบนพระเศียรแล้วเห็นปรากฏอยู่.
พระเจ้านิมิราชตรัสว่า ดูก่อนเพื่อนกัลบก ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเอาแหนบถอนผมหงอกนั้นให้ดี แล้ววางไว้ในกระพุ่มมือของเรา.
ช่างกัลบกทูลรับคําสั่งพระเจ้านิมิราช แล้วเอาแหนบถอนพระเกศาหงอกนั้นด้วยดี วางไว้ในกระพุ่มพระหัตถ์ของพระเจ้านิมิราช. ครั้งนั้น พระราชาพระราชทานบ้านส่วยแก่ช่างกัลบก แล้วโปรดให้พระราชกุมารผู้เป็นราชบุตรองค์ใหญ่มาเฝ้า แล้วตรัสว่า พ่อกุมาร เทวทูตปรากฏแก่เราแล้ว ผมหงอกเกิดขึ้นบนศีรษะแล้วเห็นปรากฏอยู่ ก็กามทั้งหลายอันเป็นของมนุษย์ เราบริโภคแล้ว เวลานี้เป็นสมัยที่เราจะแสวงหากามอันเป็นทิพย์ มาเถิดเจ้า เจ้าจงครองราชสมบัตินี้ ส่วนเราจักปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ดูก่อนกุมาร ถ้าแม้เจ้าพึงเห็นผมหงอกเกิดขึ้นบนศีรษะเมื่อใด เมื่อนั้น เจ้าพึงให้บ้านส่วยแก่ช่างกัลบก พร่ําสอนราชกุมารผู้เป็นพระราชบุตรองค์ใหญ่ ในการที่จะเป็นพระราชาให้ดี แล้วปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด พึงประพฤติตามวัตรอันงามที่เราตั้งไว้แล้วนี้ เจ้าอย่าได้เป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย เมื่อยุคแห่งบุรุษใดเป็นไปอยู่ วัตรอันงามเห็นปานนี้ขาดสูญไป ยุคแห่งบุรุษนั้นชื่อว่าเป็น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 75
บุรุษคนสุดท้ายแห่งราชบรรพชิตนั้น. ดูก่อนพ่อกุมาร เจ้าจะพึงประพฤติตามวัตรอันงามที่เราตั้งไว้แล้วนี้ได้ด้วยประการใด เรากล่าวอย่างนี้กะเจ้าด้วยประการนั้น เจ้าอย่าได้เป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย.
พระเจ้านิมิราชทรงผนวช
[๔๖๒] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น พระเจ้านิมิราชครั้นพระราชทานบ้านส่วยแก่ช่างกัลบก ทรงพร่ําสอนราชกุมารผู้เป็นพระราชบุตรองค์ใหญ่ในการที่จะเป็นพระราชาให้ดีแล้ว ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสายะ เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ ทรงผนวชเป็นบรรพชิต อยู่ในเมฆเทวัมพวันนี้แล. ท้าวเธอมีพระหฤทัยประกอบด้วยเมตตา ทรงแผ่ไปทั่วทิศหนึ่งอยู่. ในทิศที่สอง ในทิศที่สาม ในทิศที่สี่ก็เหมือนกัน มีพระหฤทัยประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ทรงแผ่ไปทั่วโลก โดยมุ่งประโยชน์แก่สัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถาน ทั้งในทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยประการฉะนี้. มีพระหฤทัยประกอบด้วยกรุณา... มีพระหฤทัยประกอบด้วยมุทิตา... มีพระหฤทัยประกอบด้วยอุเบกขา ทรงแผ่ไปทั่วทิศหนึ่งอยู่. ในทิศที่สอง ในทิศที่สาม ในทิศที่สี่ก็เหมือนกัน. มีพระหฤทัยประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ทรงแผ่ไปทั่วโลก โดยมุ่งประโยชน์แก่สัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถาน ทั้งในทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยประการฉะนี้. ดูก่อนอานนท์ ก็พระเจ้านิมิราชทรงเล่นเป็นพระกุมารแปดหมื่นสี่พันปี ทรงดํารงความเป็นอุปราชแปดหมื่นสี่พันปี เสวยราชสมบัติแปดหมื่นสี่พันปี เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ที่มฆเทวัมพวันนี้แลแปดหมื่นสี่พันปี พระองค์เจริญพรหมวิหารสี่แล้ว เมื่อสวรรคตได้เสด็จเข้าถึงพรหมโลก.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 76
บุรุษคนสุดท้าย
[๔๖๓] ดูก่อนอานนท์ ก็พระเจ้านิมิราชมีพระราชบุตรพระนามว่ากฬารชนกะ. พระราชกุมารนั้น มิได้เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ท้าวเธอทรงตัดกัลยาณวัตรนั้นเสีย ชื่อว่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายแห่งราชบรรพชิตนั้น. ดูก่อนอานนท์ เธอพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า สมัยนั้น พระเจ้ามฆเทวะซึ่งทรงตั้งกัลยาณวัตรนั้นเป็นผู้อื่นแน่. แต่ข้อนั้นเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น สมัยนั้น เราเป็นพระเจ้ามฆเทวะ เราตั้งกัลยาวัตรนั้นไว้ ประชุมชนผู้เกิด ณ ภายหลังประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนั้น แต่กัลยาณวัตรนั้นไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกําหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เป็นไปเพียงเพื่ออุบัติในพรหมโลกเท่านั้น. ส่วนกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้ในบัดนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกําหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โดยส่วนเดียว. ก็กัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้ในบัดนี้ ซึ่งเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกําหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โดยส่วนเดียว นั้นเป็นไฉน คือ มรรคมีองค์ ๘ เป็นอริยะนี้แล คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ กัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้ในบัดนี้ นี้แลย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกําหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อพระนิพพานโดยส่วนเดียว. ดูก่อนอานนท์ เธอทั้งหลายจะพึงประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ได้ด้วยประการใด เรากล่าวอย่างนี้กะเธอทั้งหลายด้วยประการนั้น เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย เมื่อยุคแห่งบุรุษใดเป็นไป
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 77
อยู่ กัลยาณวัตรเห็นปานนี้ขาดสูญไป ยุคแห่งบุรุษนั้นชื่อว่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายของบุรุษเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ได้ด้วยประการใด เรากล่าวอย่างนี้กะเธอทั้งหลายด้วยประการนั้น เธอทั้งหลายอย่าได้ชื่อว่าเป็นคนสุดท้ายของเราเลย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ดังนี้แล้ว.
จบมฆเทวสูตรที่ ๓
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 78
อรรถกถามฆเทวัมพสูตร (๑)
มฆเทวัมพสูตรมีคําเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มฆเทวมฺพวเน ความว่า แต่ปางก่อนพระราชาพระนามว่ามฆเทพ ตรัสสั่งให้ปลูกสวนมะม่วงแห่งนั้นไว้. เมื่อต้นไม้เหล่านั้นหักรานสิ้นไปแล้ว ต่อมาพระราชาทั้งหลายองค์อื่นๆ ก็ได้รับสั่งให้ปลูกไว้อีก. ก็สวนนั้น ถึงการนับว่า มฆเทวัมพวัน เพราะการร้องเรียกกันมาแต่เดิม.
บทว่า สิตํ ปาตฺวากาสิ ความว่า ในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในวิหาร ทรงเห็นภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจ จึงทรงรําพึงอยู่ว่า เราเคยอยู่ในที่นี้มาหรือไม่หนอ จึงทรงเห็นว่า เมื่อก่อนเราเป็นพระราชา นามว่า มฆเทพ ได้ปลูกสวนมะม่วงนี้ไว้. เราบวชในที่นี้แหละ เจริญพรหมวิหาร ๔ ไปบังเกิดในพรหมโลก ก็เหตุนี้นั่นแล ยังไม่ปรากฏแก่ภิกษุสงฆ์ เราจักกระทําให้ปรากฏ เมื่อจะทรงแสดงไรพระทนต์อันเลิศ ได้ทรงกระทําการแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏแล้ว.
ชื่อว่า ธัมมิก ผู้มีธรรม เพราะอรรถว่า ทรงมีธรรม.
ชื่อว่า พระธรรมราชา เพราะอรรถว่า ทรงเป็นพระราชาโดยธรรม.
คําว่า ทรงตั้งอยู่ในธรรม คือ ทรงดํารงอยู่ในธรรมคือ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ.
คําว่า ทรงประพฤติธรรม คือ ทรงประพฤติราชธรรม.
ในบทเหล่านั้น บทว่า พฺราหฺมณคหปติเกสุ ความว่า พระองค์ทรงเป็นที่รักทรงรักษาระเบียบประเพณีที่พระราชาองค์ก่อนๆ ให้แล้วแก่พวกพราหมณ์ ไม่ทรงยังกิจนั้นให้เสื่อมหายไป ทรงกระทําโดยปรกตินิยมตลอดมา. พวกคหบดีทั้งหลาย ก็ทรงปฏิบัติเช่นกัน.
(๑) บาสี มฆเทวสุตฺตํ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 79
คําที่ท่านกล่าวหมายถึงเรื่องนี้.
ด้วยบทว่า ปกฺขสฺส ท่านรวมแม้ปาฏิหาริกปักษ์เข้าด้วย. คือ บัณฑิตพึงทราบว่า วันเหล่านี้ ชื่อว่า ปาฏิหาริกปักษ์ คือวัน ๗ ค่ํา วัน ๙ ค่ํา ด้วยอํานาจแห่งวันรับวันส่งแห่งวันอุโบสถในดิถีที่ ๘ ค่ํา วัน ๑๓ ค่ํา และวันปาฏิบท ด้วยสามารถแห่งวันรับวันส่ง แห่งวันอุโบสถที่ ๑๔ ค่ํา ที่ ๑๕ ค่ํา, พระองค์ทรงเข้าอยู่ประจําอุโบสถในวันเหล่านั้นทุกวัน.
บทว่า เทวทูตา ความว่า มัจจุ ความตาย ชื่อว่า เทวะ ชื่อว่า เทวทูต เพราะอรรถว่า เป็นทูตของความตายนั้น. คือ บุคคลเมื่อผมหงอกปรากฏแล้ว ก็เหมือนยืนอยู่ในสํานักของพระยามัจจุราช. เพราะฉะนั้น ผมที่งอกแล้ว ท่านจึงกล่าวว่า เป็นทูตของมัจจุเทวะ.
ชื่อว่า เทวทูต เพราะอรรถว่า ทูตเหมือนเทวดาทั้งหลายก็มี.
อุปมาเหมือนเมื่อเทวดาผู้ประดับแล้ว ตกแต่งแล้ว มายืนอยู่ในอากาศ ร้องบอกว่า ในวันโน้นท่านจักตาย ดังนี้ เทวทูตนั้นก็เป็นเช่นนั้น เมื่อผมหงอกแล้ว ปรากฏแล้ว ก็เป็นเหมือนกับเทวดาพยากรณ์ให้ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น ผมที่หงอกแล้ว ท่านจึงเรียกว่า ทูต เป็นเช่นเดียวกับเทวะ ดังนี้.
ชื่อว่า เทวทูต เพราะอรรถว่า เป็นทูตแห่งวิสุทธิเทพก็ได้.
แท้จริง พระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ ทรงเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิตก่อน ทรงสังเวชจึงออกบวช.
เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า
ขอถวายพระพร เราเห็นคนแก่ คนมีทุกข์ คนเจ็บ และเห็นคนตาย สิ้นอายุขัย และเห็นนักบวช ผู้นุ่งห่มผ้ากาสายะ เหตุนั้น เราจึงออกบวช ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 80
โดยปริยายนี้ ผมที่หงอกแล้ว ท่านจึงเรียกว่า เทวทูต เพราะเป็นทูตแห่งวิสุทธิเทพ.
บทว่า กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา ทรงพระราชทานบ้านส่วยแก่ช่างกัลบก ความว่า ทรงพระราชทานบ้านที่เจริญที่สุด มีส่วยเกิดขึ้นถึงแสนหนึ่ง. ทรงพระราชทาน เพราะเหตุไร. เพราะทรงสลดพระทัย.
จริงอยู่ พระองค์ทรงเกิดความสลดพระทัย เพราะทรงเห็นผมหงอกที่อยู่ที่นิ้วพระหัตถ์ จะทรงมีพระชนม์อีกถึง ๘๔,๐๐๐ ปี. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ทรงสําคัญพระองค์เหมือนยืนอยู่ในสํานักของพระยามัจจุราชจึงทรงสลดพระทัย ทรงพอพระทัยในบรรพชา. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระเจ้ามฆเทพ ผู้เป็นอธิบดีในทิศผู้ปราชญ์ ทรงเห็นผมหงอกบนพระเศียร ทรงสลดพระทัย ทรงยินดีในบรรพชาแล้ว.
ยังกล่าวไว้ต่อไปอีกว่า
ผมหงอกงอกขึ้นบนเศียรของเรา ก็นําเอาความหนุ่มไปเสีย เทวทูตปรากฏแล้ว เป็นสมัยที่เราควรออกบวช.
บทว่า ปุริสยุเค เมื่อยุคบุรุษเป็นไปอยู่ คือ เมื่อยุคบุรุษที่สมภพในวงศ์.
คําว่า เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ความว่า ก็แม้เมื่อจะบวชเป็นดาบส ก็ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ บวช. ต่อแต่นั้นก็ทรงพันพระเกศาที่ยาวขึ้นมาไว้ ทรงชฎา เที่ยวไป. แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงบวชเป็นดาบส. ก็ครั้นบวชแล้ว ก็ทรงไม่ประกอบเนื่องๆ ซึ่งอเนสนา ยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยภิกษาที่นํามาจากพระราชวัง ทรงเจริญพรหมวิหารธรรม. เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้กล่าวว่า พระองค์ ทรงมีพระทัยประกอบด้วยเมตตา ดังนี้เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 81
บทว่า กุมารกีฬิกํ กีฬิ (๑) พระราชโอรส... ทรงเล่นอย่างพระกุมาร ความว่า อันพระพี่เลี้ยงจับอุ้มอยู่ด้วยสะเอว ทรงเล่นอยู่แล้ว. ก็พระพี่เลี้ยงทั้งหลาย ยกพระกุมารนั้นประดุจกําแห่งดอกไม้เที่ยวไปอยู่.
บทว่า รฺโ มฆเทวสฺส ปุตฺโต ฯเปฯ ปพฺพชิ พระราชโอรสของพระเจ้ามฆเทพเสด็จออกทรงผนวช ความว่า ในวันที่พระราชโอรสนี้ทรงผนวช ได้เกิดมงคลถึง ๕ ประการ คือ ทํามตกภัตรถวายพระเจ้ามฆเทวะ ๑ มงคลคือพระโอรสของพระเจ้ามฆเทวะออกบวช ๑ มงคลคือพระราชบุตรของพระราชายกเศวตฉัตรขึ้นครองราชย์ ๑ มงคลคือพระราชบุตรของพระราชาที่ยกเศวตฉัตรขึ้นครองราชย์ เป็นอุปราชย์ ๑ มงคลคือขนานพระนามพระราชโอรสของพระราชาผู้ยกเศวตฉัตร ๑.
ประชาชนได้กระทํามงคล ๕ ประการ รวมในคราวเดียวกัน. ในพื้นชมพูทวีปได้ยกไถขึ้น คือ ไม่ต้องทําไร่ไถนา บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์.
บทว่า ปุตฺปปุตฺตกา ความว่า ความสืบต่อกันมาของพระราชบุตรของพระเจ้ามฆเทวะนั้น เป็นไปแล้วอย่างนี้ คือ พระราชบุตร และพระเจ้าหลานต่อๆ กันไป.
บทว่า ปจฺฉิมโก อโหสิ (พระเจ้านิมิเป็นองค์สุดท้าย) ความว่า กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ได้ทรงบรรพชาแล้ว.
ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดในพรหมโลกแล้ว ทรงรําพึงอยู่ว่า "กัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้ในมนุษยโลกนั้นยังเป็นไปหรือหนอ" ดังนี้ ก็ทรงเห็นว่า ยังเป็นไปตลอดกาลนาน มีประมาณเท่านี้ แต่บัดนี้จักไม่เป็นไปแล้ว พระองค์ทรงดําริว่า "ก็เราจักมิให้เชื้อสายของเราขาดตอนเสีย" ดังนี้ จงทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีแห่งพระราชาที่เกิดในวงศ์ของตน มาทรงบังเกิดเหมือนสืบต่อ
(๑) ฉ. กุมารกิฬิตํ กีฬิ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 82
กุ่มแห่งวงศ์ของตน. ด้วยเหตุนั้นแหละ พระราชกุมารนั้นจึงทรงมีพระนามว่า นิมิ.
ด้วยประการฉะนี้ พระราชานั้นจึงเป็นพระราชาองค์สุดท้ายทั้งหมดของพระราชาที่ออกบวชแล้ว ผู้ที่ออกบวชคนสุดท้ายจึงมีโดยประการฉะนี้.
อนึ่ง เมื่อว่าโดยคุณ ก็มีคุณอย่างมากมาย. แต่คุณที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทุกพระองค์ ของพระเจ้านิมิราชนั้น มีคุณอยู่ ๒ ประการ คือ พระองค์ทรงสละทรัพย์ในประตูทั้ง ๔ ประตูละหนึ่งแสนทุกวัน และทรงห้ามผู้มิได้รักษาอุโบสถเข้าเฝ้า. คือ เมื่อผู้ที่มิได้รักษาอุโบสถ ตั้งใจว่าจะเข้าเฝ้าพระราชา จึงไปแล้ว นายประตูจะถามว่า "ท่านรักษาอุโบสถหรือมิได้รักษา". ผู้ใดมิได้รักษาอุโบสถก็จะห้ามผู้นั้นเสียว่า พระราชาไม่ทรงให้ผู้ที่มิได้รักษาอุโบสถเข้าเฝ้า.
ในคนเหล่านั้นไม่มีโอกาสที่จะพูดว่า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นชาวชนบท จักได้โภชนะในกาลที่ไหน ดังนี้บ้าง.
จริงอยู่ เจ้าพนักงานจะตกแต่งเตรียมโอ่งภัตรไว้หลายพันที่ประตูทั้ง ๔ และที่พระลานหลวง. เพราะฉะนั้น มหาชนจะโกนหนวดอาบน้ำผลัดเปลี่ยนผ้า บริโภคโภชนะได้ตามชอบใจ ในที่ที่ปรารถนาแล้วๆ อธิษฐานองค์อุโบสถไปยังประตูพระราชวังได้. เมื่อนายประตูถามแล้วๆ ว่า "ท่านรักษาอุโบสถหรือ" ก็ตอบว่า "จะ รักษา" ด้วยเหตุนั้นแล นายประตูจึงจะพูดว่า "มาได้" แล้วนําเข้าไปยังประตูพระราชวัง.
พระเจ้านิมิราชทรงมีพระคุณที่ยิ่งใหญ่กว่า ด้วยคุณ ๒ ประการเหล่านี้ ด้วยประการดังกล่าวมานี้.
บทว่า เทวานํ ตาวติํสานํ ความว่า พวกเทวดาที่บังเกิดในภพชั้นดาวดึงส์.
ได้ยินว่า เทวดาเหล่านั้นตั้งอยู่ในโอวาทของพระราชาผู้เสวยราช ณ พระนครมิถิลา ในวิเทหรัฐ รักษาเบญจศีล กระทําอุโบสถกรรม จึงไปบังเกิดในชั้นนั้น จึงกล่าวสรรเสริญคุณของพระราชา.
คําว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ท่านกล่าวหมายเอาเทวดาเหล่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 83
บทว่า นิสินฺโน โหติ ความว่า พระราชาเสด็จขึ้นยังปราสาทอันประเสริฐชั้นบน ประทับนั่งตรวจดูทานและศีลอยู่.
ได้ยินว่า ได้ทรงมีพระดําริอย่างนี้ว่า ทานใหญ่กว่าศีล หรือศีลใหญ่กว่าทาน ถ้าทานใหญ่กว่า เราก็จะท่วมทับ ให้แต่ท่านอย่างเดียว ถ้าหากศีลใหญ่กว่า ก็จักบําเพ็ญแต่ศีลอย่างเดียว.
เมื่อพระองค์ไม่อาจตกลงพระทัยได้ว่า อันนี้ใหญ่ สิ่งนี้ใหญ่ ท้าวสักกะจึงเสด็จมาปรากฏเฉพาะพระพักตร์. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ว่า อถ โข อานนฺท ฯเปฯ สมฺมุเข ปาตุรโหสิ.
ได้ยินว่า พระองค์ทรงดําริอย่างนี้ว่า พระราชาเกิดความสงสัยขึ้น เพื่อจะตัดความสงสัยของพระองค์ ข้าพระองค์จะตอบปัญหาและจะถือเอาปฏิญญาเพื่อเสด็จมาในที่นี้. เพราะฉะนั้น จึงมาปรากฏเฉพาะพระพักตร์. พระราชาทรงเห็นรูปที่ไม่เคยเห็นก็ทรงเกิดความกลัว พระโลมาชูชัน.
ที่นั้นท้าวสักกะตรัสกะพระราชานั้นว่า "อย่าทรงกลัวไปเลย มหาราช ถามมาเถอะ จะวิสัชชนาถวาย จักบรรเทาความสงสัยของพระองค์ให้" ดังนี้.
พระราชาตรัสถามปัญหาว่า
ข้าแต่มหาราชผู้เป็นใหญ่กว่าสรรพสัตว์ ข้าพระองค์ขอถามพระองค์ ทาน ๑ พรหมจรรย์ ๑ (ศีล) ข้อไหนจะมีผลมากกว่ากัน. (๑)
ท้าวสักกะตรัสว่า "ชื่อว่า ทานจะใหญ่อย่างไร ศีลเท่านั้นใหญ่เพราะเป็นคุณอันประเสริฐที่สุด ข้าแต่มหาราช แม้ข้าพระองค์ได้ให้ทานแก่ชฎิลถึงหมื่นคนอยู่หมื่นปี แต่ปางก่อนยังไม่พ้นจากเปตวิสัย แต่ท่านผู้มีศีลบริโภคทานของข้าพเจ้าได้ไปบังเกิดในพรหมโลก" ดังนี้ แล้วตรัสคาถา ดังต่อไปนี้ว่า
(๑) ขุ. ๖/๑๐๕
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 84
บุคคลจะเข้าถึงความเป็นกษัตริย์ด้วยพรหมจรรย์อย่างต่ํา และจะเข้าถึงความเป็นเทพด้วยพรหมจรรย์อย่างกลาง จักบริสุทธิ์ได้ด้วยพรหมจรรย์อย่างสูง เพราะผู้ไม่มีเรือนบําเพ็ญตบะทั้งหลายย่อมเข้าถึงกายเหล่าใด กายเหล่านั้น อันใครๆ ผู้บําเพ็ญเพียร ด้วยการอ้อนวอนได้โดยง่ายไม่ได้.
ท้าวสักกะทรงบรรเทาความสงสัยของพระราชาอย่างนี้แล้ว เพื่อจะให้ถือเอาปฏิญญาในการเสด็จไปยังเทวโลกจึงตรัสว่า ลาภา วต มหาราช ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อวิกมฺปมาโน ความว่า ไม่ทรงเกรงกลัว.
บทว่า อธิวาเสสิ ความว่า พระราชาทรงรับเชิญแล้วด้วยพระดํารัสว่า ข้าพระองค์ชักชวนมหาชนให้บําเพ็ญกุศล อันข้าพระองค์ได้มาเห็นที่เป็นที่อยู่ของท่านผู้มีบุญทั้งหลายแล้ว ย่อมอาจเพื่อบอกกล่าวได้สะดวกในถิ่นแห่งมนุษย์ ดังนี้.
บทว่า เอวํ ภทฺทนฺตวา ความว่า มาตลีเทพบุตรทูลว่า พระดํารัสของพระองค์เจริญ จงเป็นอย่างนั้น.
บทว่า โยเชตฺวา ความว่า เทียมรถม้าอาชาไนยพันหนึ่งในยุคหนึ่งนั่นเทียว. แต่กิจที่พึงประกอบเฉพาะส่วนหนึ่งของรถเหล่านั้นมิได้มี ย่อมอาศัยใจประกอบแล้วนั่นเทียว.
ก็ทิพยรถนั้นใหญ่ยาวถึง ๒๕๐ โยชน์. จากสายเชือกถึงงอนรถ ๕๐โยชน์. ที่เนื่องกับเพลา ๕๐ โยชน์. ส่วนข้างหลังจําเดิมแต่ที่เนื่องกับเพลา ๕๐ โยชน์ ทั้งคันล้วนแต่ประกอบด้วยรัตนะมีวรรณะเจ็ด. สูงเทียมเทวโลก. ต่ําเท่ามนุษยโลก เพราะฉะนั้น ไม่พึงกําหนดว่า ส่งรถให้บ่ายหน้าไปภายใต้.
เหมือนอย่างว่า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 85
ส่งไปสู่ทางเดินตามปรกติฉันใด พอพวกมนุษย์รับประทานข้าวในเวลาเย็นอิ่มเสร็จแล้ว ส่งไปทําให้เป็นคู่กับพระจันทร์ฉันนั้นทีเดียว. ได้เป็นเหมือนพระจันทร์ตั้งขึ้นเป็นคู่กันฉะนั้น. มหาชนเห็นแล้ว ต่างพูดกันว่า พระจันทร์ขึ้นเป็นคู่กัน. เมื่อใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา จึงรู้กันว่าไม่ใช่พระจันทร์เป็นคู่กัน เป็นวิมาน วิมานหนึ่ง ไม่ใช่วิมานอันหนึ่ง แต่เป็นรถคันหนึ่ง. แม้รถพอใกล้เข้ามาแล้วๆ ก็เป็นรถตามธรรมดานั่นเอง แม้ม้าก็มีประมาณเท่ากับม้าตามธรรมดานั้นแหละ.
ครั้นนํารถมาด้วยอาการอย่างนี้แล้ว กระทําประทักษิณปราสาทของพระราชา แล้วกลับรถ ณ สีหบัญชรด้านปราจีน กระทําให้บ่ายหน้าไปทางด้านที่มา จอดรถที่สีหบัญชรเตรียมเสด็จขึ้น ว่าข้าแต่มหาราช ขอพระองค์เสด็จขึ้นประทับเถิด.
พระราชาทรงดําริว่า ทิพยยานเราได้แล้ว จึงยังไม่เสด็จขึ้นทันทีทันใด. แต่ทรงประทานโอวาทแก่ชาวพระนครว่า จงดูเถิด พ่อเจ้า แม่เจ้า ทั้งหลายข้อที่ท้าวสักกะเทวราชทรงส่งรถมารับเรานั้น พระองค์มิได้ส่งมาเพราะอาศัยชาติและโคตร หรือตระกูลและประเทศ แต่เพราะทรงเลื่อมใสในคุณคือศีลาจารวัตรของเราจึงส่งมา ถ้าหากว่าพวกท่านทั้งหลายจะรักษาศีล ก็คงจะส่งมาแก่ท่านทั้งหลาย ชื่อว่า ศีลนี้สมควรแล้วเพื่อรักษา เรามิได้ไปเที่ยวยังเทวโลก ขอท่านทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด. ทรงสอนมหาชนให้ตั้งอยู่ในศีลห้าแล้วจึงเสด็จขึ้นรถ.
แต่นั้น มาตลีสารถีแสดงทางเป็น ๒ ทางในอากาศคิดว่า แม้เราก็จักกระทําความที่สมควรแก่มหาราช จึงกล่าวคํามีอาทิว่า อปิจ มหาราช ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กตเมน ความว่า ข้าแต่มหาราช ในบรรดาทางเหล่านี้ ทางหนึ่งไปนรก ทางหนึ่งไปสวรรค์ ข้าพระเจ้าจะนําพระองค์ไปทางไหนในทางเหล่านั้น.
บทว่า เยน ความว่า ไปแล้วโดยทางใด สัตว์ทั้งหลายทํากรรม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 86
อันลามก ย่อมเสวยผลแห่งกรรมอันลามก ในที่ใด ข้าพเจ้าย่อมอาจเพื่อเห็นที่อันนั้น.
แม้ในบทที่ ๒ ก็มีนัยดังนี้.
แม้ความแห่งคาถาในชาดกว่า
ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่ยิ่งทุกทิศ ข้าพเจ้าจะนําพระองค์ไปทางไหน สัตว์ผู้ทํากรรมชั่ว ไปทางหนึ่ง สัตว์ผู้ทํากรรมดี ไปทางหนึ่งดังนี้.
เพราะเหตุนั้น พระเจ้านิมิราชจึงตรัสว่า
เราจักเห็นนรก อันเป็นที่อยู่แห่งผู้ทํากรรมชั่วก่อน ซึ่งเป็นสถานที่ของผู้มีกรรมชั่ว และเป็นทางไปของคนทุศีล.
บทว่า อุภเยเนว มํ ความว่า ดูก่อนมาตลี ท่านจงนําเราไปโดยทางทั้งสอง เราใคร่จะเห็นนรก แม้เทวโลก ก็อยากเห็น. ข้าพเจ้าจะนําพระองค์ไปทางไหนก่อน. จงนําไปโดยทางนรกก่อน. ลําดับนั้น มาตลีจึงแสดงมหานรก ๑๕ ขุม แก่พระราชา ด้วยอานุภาพของตน.
ในข้อนี้มีถ้อยคํากล่าวโดยพิสดาร พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้ในชาดกว่า
มาตลีเทพบุตรแสดงเวตรณีนทีนรกที่ข้ามได้แสนยาก เดือดพล่านประกอบด้วยน้ำกรด ร้อนแล้วเปรียบดังเปลวไฟ แก่พระราชา.
มาตลีสารถี ครั้นแสดงนรกแล้วก็กลับรถบ่ายหน้าไปยังเทวโลก เมื่อแสดงวิมานทั้งหลายของนางเทพธิดานามว่า ภรณี และของคณะเทพบุตรมีเทพบุตรนามว่า โสณทินนะ เป็นหัวหน้า จึงนําไปยังเทวโลก.
แม้ในข้อนั้นก็พึงทราบถ้อยคําอย่างพิสดาร โดยนัยที่กล่าวไว้ในชาดกนั่นแหละว่า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 87
ก็นางเทพธิดาที่พระองค์หมายถึงนั้น ชื่อภรณี เมื่อมีชีวิตอยู่ในโลก (มนุษย์) เป็นทาสีเกิดแต่ทาสีในเรือนของพราหมณ์ผู้หนึ่ง นางรู้แจ้งซึ่งแขก มีกาลอันถึงแล้ว (ให้นั่งในอาสนะ อังคาสด้วยสลากภัตร ที่ถึงแก่ตนโดยเคารพ ยินดีต่อภิกษุนั้นเป็นนิจ) ดุจมารดายินดีต่อบุตรผู้จากไปนาน มาถึงในครั้งเดียวฉะนั้น เป็นผู้สํารวม (มีศีล) เป็นผู้จําแนกทาน (มีจาคะ) จึงมาบังเกิดรื่นเริงอยู่ในวิมาน.
ก็เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จไปอย่างนี้ พอกงรถกระทบพื้นธรณี ซุ้มประตูจิตกูฏเทพนครก็มีความโกลาหล. หมู่เทพพากันละทิ้งท้าวสักกเทวราชไว้แต่พระองค์เดียว ไปทําการต้อนรับพระมหาสัตว์.
ท้าวสักกะทรงเห็นพระมหาสัตว์นั้นมาถึงเทวดาทั้งหลายแล้ว เมื่อไม่ทรงอาจธํารงพระทัยได้ จึงตรัสว่า ดูก่อนมหาราช ขอพระองค์จงทรงอภิรมย์ในเทวโลกทั้งหลาย ด้วยเทวานุภาพเถิด.
ได้ยินว่า ท้าวสักกะนั้น ทรงมีพระดําริอย่างนี้ว่า พระราชานี้เสด็จมาในวันนี้แล้ว ทรงทําหมู่เทพให้อยู่พร้อมหน้าตน เพียงวันเดียวเท่านั้น ถ้าจักประทับอยู่สิ้นหนึ่งวันสองวัน พวกเทพก็จะไม่ดูแลเรา ดังนี้. ท้าวสักกะนั้นทรงริษยา จึงตรัสอย่างนั้น ด้วยพระประสงค์นี้ว่า ดูก่อนมหาราช การที่พระองค์ประทับอยู่ในเทวโลกนี้จะไม่มีบุญ ขอพระองค์จงประทับอยู่ด้วยบุญของพวกอื่นเถิด.
พระโพธิสัตว์เมื่อทรงปฏิเสธว่า ท้าวสักกะแก่ไม่อาจแล้ว เพื่อดํารงพระทัยได้เพราะอาศัยผู้อื่น แต่เป็นเหมือนภัณฑะที่ได้มา เพราะขอเขาได้มาฉะนั้น จึงตรัสว่า พอละท่านผู้นิรทุกข์ ดังนี้ เป็นต้น.
แม้ในชาดกท่านก็กล่าวไว้ว่า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 88
สิ่งอันใดได้มาเพราะผู้อื่นให้ สิ่งนั้นมีอุปมาเปรียบเทียบเหมือนอย่างยานที่ขอยืมเขามา หรือทรัพย์ที่ยืมเขามา หม่อมฉันไม่ปรารถนา สิ่งที่ผู้อื่นให้ (๑)
ควรกล่าวทุกเรื่อง.
ถามว่า ก็พระโพธิสัตว์เสด็จไปยังเทวโลกด้วยอัตตภาพมนุษย์กี่ครั้ง.
ตอบว่า สี่ครั้ง คือ เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเจ้ามันธาตุราชครั้งหนึ่ง เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสาธินครั้งหนึ่ง เมื่อเสวยพระชาติเป็นคุตติลวีณวาทกพราหมณ์ครั้งหนึ่ง เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเจ้านิมิครั้งหนึ่ง.
เมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามันธาตุ พระองค์ประทับอยู่ในเทวโลกสิ้นเวลาอสงไขยหนึ่ง. ก็เมื่อพระองค์ประทับอยู่ในเทวโลกนั้น ท้าวสักกะเคลื่อนไปถึง ๓๖ พระองค์. เมื่อครั้งเป็นพระเจ้าสาธินราชประทับอยู่สัปดาห์หนึ่ง. ด้วยการนับอย่างมนุษย์ก็เป็น ๗๐๐ ปี. เมื่อครั้งเป็นคุตติลวีณวาทกะ และครั้งเป็นพระเจ้านิมิราช ประทับอยู่เพียงครู่เดียว. ด้วยการนับอย่างมนุษย์เป็น ๗ วัน.
คําว่า ตตฺเถว มิถิลํ ปฏิเนสิ ความว่า มาตลีสารถีได้นํากลับมาประดิษฐานไว้ ณ พระที่อันมีศิริตามเดิมนั่นเทียว (ห้องประทับ).
คําว่า กฬารชนกะ เป็นพระนามของพระราชบุตรนั้น. อนึ่ง ชนทั้งหลายกล่าวว่ากฬารชนกะ เพราะมีจุดดําแดงเกิดขึ้น.
คําว่า พระราชกุมารนั้นมิได้เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ ทรงผนวช ความว่า พระองค์ได้ตรัสคํามีประมาณเพียงเท่านี้.
คําที่เหลือทั้งหมดได้ปรากฏตามเดิมนั้นเทียว.
ในคําว่า สมุทฺเฉโท โหติ นี้พึงทราบวิภาคดังนี้ ใครตัดกัลยาณวัตร ขาดสูญไปเพราะอะไร ใครให้เป็นไป ย่อมชื่อว่าอันใครให้เป็น
(๑) ขุ. ชา ๒๘/๒๑๖
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 89
ไปแล้ว.
ในข้อนั้น ภิกษุผู้มีศีลเมื่อไม่กระทําความเพียรด้วยคิดว่า เราไม่อาจได้พระอรหัต ชื่อว่า ย่อมตัด. กัลยาณวัตร ย่อมชื่อว่าอันผู้ทุศีลตัดแล้ว.
พระเสกขบุคคลทั้ง ๗ ย่อมให้เป็นไป. ย่อมชื่อว่าอันพระขีณาสพให้เป็นไปแล้ว.
คําที่เหลือในที่ทุกแห่งตื้นทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถามฆเทวัมพสูตรที่ ๓