พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. พรหมายุสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  28 ส.ค. 2564
หมายเลข  36096
อ่าน  569

[เล่มที่ 21] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 231

พราหมณวรรคที่ ๕

๑. พรหมายุสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 21]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 231

๑. พรหมายุสูตร

[๕๘๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในวิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป. ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์ชื่อพรหมายุอาศัยอยู่ในเมืองมิถิลา เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลําดับ มีอายุ ๑๒๐ ปีแต่กําเนิด รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏภะ พร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชํานาญในคัมภีร์โลกายตะและตําราทํานายมหาปุริสลักษณะ พรหมายุพราหมณ์ได้ฟังข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จเที่ยวจาริกไปในวิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์... เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จําแนกธรรม พระองค์ทรงทําโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล.

[๕๘๕] ก็สมัยนั้นแล มาณพชื่อว่าอุตตระ เป็นศิษย์ของพรหมายุพราหมณ์ เป็นผู้รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏภะ พร้อม

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 232

ทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชํานาญในคัมภีร์โลกายตะและตําราทํานายมหาปุริสลักษณะ ครั้งนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้เรียกอุตตรมาณพมาเล่าว่า พ่ออุตตระ พระสมณโคดมศากยบุตรพระองค์นี้ ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จเที่ยวไปในวิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ฯลฯ ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล ไปเถิดพ่ออุตตระ พ่อจงไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วจงรู้พระสมโคดมว่า กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้ว เป็นจริงอย่างนั้นหรือว่าไม่เป็นจริงอย่างนั้น ท่านพระโคดมพระองค์นั้นเป็นเช่นนั้นหรือว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราทั้งหลายจักเห็นแจ้งท่านพระโคดมพระองค์นั้นเพราะพ่ออุตตระ.

อุตตรมาณพถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ข้าพเจ้าจักรู้ท่านพระโคดมพระองค์นั้นว่า กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมขจรไปแล้ว เป็นอย่างนั้น ท่านพระโคดมพระองค์นั้นเป็นเช่นนั้น หรือว่าไม่เป็นเช่นนั้น ได้อย่างไรเล่า.

พ. พ่ออุตตระ มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มาแล้วในมนต์ของเราทั้งหลาย ที่พระมหาบุรุษประกอบแล้วย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่นคือ ถ้าอยู่ครอบครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีสมุทรสาคร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว ทรงมีราชอาณาจักรอันมั่นคง ทรงมีความเป็นผู้แกล้วกล้า ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ํายีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 233

ทรงชํานะโดยธรรม ไม่ต้องใช้พระราชอาชญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา ทรงครอบครองแผ่นดินนี้อันมีสาครเป็นขอบเขต ถ้าและเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก พ่ออุตตระ ฉันเป็นผู้สอนมนต์ ท่านเป็นผู้เรียนมนต์.

[๕๘๖] อุตตรมาณพรับคําพรหมายุพราหมณ์แล้ว ลุกจากที่นั่ง ไหว้พรหมายุพราหมณ์ กระทําประทักษิณแล้ว หลีกจาริกไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในวิเทหชนบท เที่ยวจาริกไปโดยลําดับ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการโดยมาก ในพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า เว้นอยู่ ๒ ประการ คือพระคุยหฐาน อันเร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ จึงยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ในพระมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ.

[๕๘๗] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดําริว่า อุตตรมาณพนี้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก ๑ ชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ในพระมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ ลําดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้อุตตรมาณพได้เห็นพระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้งสองกลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสองกลับไปมา ทรงแผ่พระชิวหาปิดมณฑลพระนลาฏทั้งสิ้น.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 234

[๕๘๘] ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อย่ากระนั้นเลย เราพึงติดตามพระสมณโคดม พึงดูพระอิริยาบถของพระองค์เถิด ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพได้ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปตลอด ๗ เดือน ดุจพระฉายาติดตามพระองค์ไปฉะนั้น. ครั้งนั้นอุตตรมาณพได้เที่ยวจาริกไปทางเมืองมิถิลา ในวิเทหชนบทโดยล่วงไป ๗ เดือน เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลําดับ ได้เข้าไปหาพรหมณ์ที่เมืองมิถิลา ไหว้พรหมายุพราหมณ์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พรหมายุพราหมณ์ได้ถามว่า พ่ออุตตรมาณพ กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วเป็นจริงอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นหรือ ก็ท่านพระโคดมพระองค์นั้นเป็นเช่นนั้น ไม่เป็นเช่นอื่นแลหรือ.

มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ

[๕๘๙] อุตตรมาณพตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วเป็นจริงอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น และท่านพระโคดมพระองค์นั้นเป็นเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ คือ

๑. ท่านพระโคดมพระองค์นั้น มีพระบาทประดิษฐานอยู่ด้วยดี แม้ข้อนี้ก็เป็นมหาปุริสลักษณะแห่งมหาบุรุษของท่านพระโคดมพระองค์นั้น

๒. มีลายจักรอันมีกําพันหนึ่ง มีกงพันหนึ่ง มีดุมพันหนึ่ง บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง เกิดภายใต้ฝ่าพระบาททั้งสอง

๓. ทรงมีพระส้นยาว

๔. ทรงมีพระองคุลียาว

๕. ทรงมีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม

๖. ทรงมีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทเป็นลายตาข่าย

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 235

๗. ทรงมีพระบาทสูงนูน

๘. พระมีพระชงฆ์เรียวดังแข้งเนื้อทราย

๙. ทรงประทับยืนตรง ไม่ค้อมลง ฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบคลําพระชานุมณฑลทั้งสองได้

๑๐. ทรงมีพระคุยหฐานเร้นอยู่ในฝัก

๑๑. ทรงมีพระฉวีรรณดังทองคํา

๑๒. ทรงมีพระฉวีละเอียดดังผิวทองคํา เพราะทรงมีพระฉวีละเอียด ฝุ่นละอองไม่ติดพระกาย

๑๓. ทรงมีพระโลมาขุมละเส้น

๑๔. ทรงมีพระโลมาปลายงอนขึ้นเบื้องบนทุกเส้น สีเขียวดังดอกอัญชัน ขดเป็นมณฑลทักษิณาวัฏ

๑๕. ทรงมีพระกายตรงดังกายพรหม

๑๖. ทรงมีพระกายเต็มในที่ ๗ แห่ง

๑๗. มีพระกายเต็มดังกึ่งกายเบื้องหน้าแห่งสีหะ

๑๘. ทรงมีพระปฤษฎางค์เต็ม

๑๙. ทรงมีปริมณฑลดังต้นนิโครธ มีพระกายกับวาเท่ากัน

๒๐. ทรงมีพระศอกลมเสมอ

๒๑. ทรงมีเส้นประสาทสําหรับรับรสหมดจดดี

๒๒. ทรงมีพระหนุดังคางราชสีห์

๒๓. ทรงมีพระทนต์ ๔๐ ซี่

๒๔. ทรงมีพระทนต์เสมอ

๒๕. ทรงมีพระทนต์ไม่ห่าง

๒๖. ทรงมีพระทาฐะ อันขาวงาม

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 236

๒๗. ทรงมีพระชิวหาใหญ่ยาว

๒๘. ทรงมีพระสุรเสียงดังเสียงพรหม

๒๙. ทรงมีพระเนตรดําสนิท

๓๐. ทรงมีดวงพระเนตรดังตาโค

๓๑. ทรงมีพระอุณาโลมขาวละเอียดอ่อนดังสําลี เกิดระหว่างพระขนง

๓๒. มีพระเศียรกลมเป็นปริมณฑลดังประดับด้วยกรอบพระพักตร์.

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการนี้แล และท่านพระโคดมพระองค์นั้น เมื่อจะเสด็จดําเนิน ทรงก้าวพระบาทเบื้องขวาก่อน ไม่ทรงยกพระบาทไกลนัก ไม่ทรงวางพระบาทใกล้นัก ไม่เสด็จดําเนินเร็วนัก ไม่เสด็จดําเนินช้านัก เสด็จดําเนินพระชานุไม่กระทบพระชานุ ข้อพระบาทไม่กระทบข้อพระบาท ไม่ทรงยกพระอุรุสูง ไม่ทรงทอดพระอุรุไปข้างหลัง ไม่ทรงกระแทกพระอุรุ ไม่ทรงส่ายพระอุรุ เมื่อเสด็จดําเนินพระกายส่วนบนไม่หวั่นไหว ไม่เสด็จดําเนินด้วยกําลังพระกาย เมื่อทอดพระเนตร ก็ทอดพระเนตรด้วยพระกายทั้งหมด ไม่ทอดพระเนตรขึ้นเบื้องบน ไม่ทอดพระเนตรลงเบื้องต่ํา เสด็จดําเนินไม่ทรงเหลียวแล ทอดพระเนตรประมาณชั่วแอก ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงมีพระญาณทัสสนะอันไม่มีอะไรกั้น เมื่อเสด็จเข้าสู่ละแวกบ้าน ไม่ทรงยืดพระกาย ไม่ทรงย่อพระกาย ไม่ทรงห่อพระกาย ไม่ทรงส่ายพระกาย เสด็จเข้าประทับนั่งอาสนะไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก ไม่ประทับนั่งเท้าพระหัตถ์ ไม่ทรงพิงพระกายที่อาสนะ เมื่อประทับนั่งในละแวกบ้าน ไม่ทรงคะนองพระหัตถ์ ไม่ทรงคะนองพระบาท ไม่ประทับนั่งชันพระชานุ ไม่ประทับนั่งซ้อนพระบาท ไม่ประทับ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 237

นั่งยันพระหนุ เมื่อประทับนั่งในละแวกบ้าน ไม่ทรงครั่นคร้าม ไม่ทรงหวั่นไหว ไม่ทรงขลาด ไม่ทรงสะดุ้ง ทรงปราศจากโลมชาติชูชัน ทรงเวียนมาในวิเวก เมื่อประทับนั่งในละแวกบ้าน เมื่อทรงรับน้ำล้างบาตร ไม่ทรงชูบาตรขึ้นรับ ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงจ้องบาตรคอยรับ ไม่ทรงแกว่งบาตรรับ ทรงรับน้ำล้างบาตรไม่น้อยนัก ไม่มากนัก ไม่ทรงล้างบาตรดังขลุกๆ ไม่ทรงหมุนบาตรล้าง ไม่ทรงวางบาตรที่พื้น ทรงล้างบนพระหัตถ์ เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว ก็เป็นอันทรงล้างบาตรแล้ว เมื่อทรงล้างบาตรแล้ว เป็นอันทรงล้างพระหัตถ์แล้ว ทรงเทน้ำล้างบาตรไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก และทรงเทไม่ให้น้ำกระเซ็น เมื่อทรงรับข้าวสุก ไม่ทรงชูบาตรขึ้นรับ ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงจ้องบาตรคอยรับ ไม่ทรงแกว่งบาตรรับ ทรงรับข้าวสุกไม่น้อยนัก ไม่มากนัก ทรงรับกับข้าวเสวยอาหารพอประมาณกับข้าว ไม่ทรงน้อมคําข้าวให้เกินกว่ากับ ทรงเคี้ยวคําข้าวในพระโอษฐ์สองสามครั้งแล้วทรงกลืน เยื่อข้าวสุกยังไม่ระคนกันดีเล็กน้อย ย่อมเข้าสู่พระกาย ไม่มีเยื่อข้าวสุกสักนิดหน่อยเหลืออยู่ในพระโอษฐ์ ทรงน้อมคําข้าวเข้าไปแต่กึ่งหนึ่ง ทรงทราบรสได้อย่างดีเสวยอาหาร แต่ไม่ทรงทราบด้วยดีด้วยอํานาจความกําหนัดในรส เสวยอาหารประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ ไม่เสวยเพื่อเล่น ๑ ไม่เสวยเพื่อมัวเมา ๑ ไม่เสวยเพื่อประดับ ๑ ไม่เสวยเพื่อตกแต่ง ๑ เสวยเพียงดํารงพระกายนี้ไว้ ๑ เพื่อยังพระชนมชีพให้เป็นไป ๑ เพื่อป้องกันความลําบาก ๑ เพื่อทรงอนุเคราะห์ ๑ ด้วยทรงพระดําริว่า เพียงเท่านี้ก็จักกําจัดเวทนาเก่าได้ จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ร่างกายของเราจักเป็นไปสะดวก จักไม่มีโทษ และจักมีความอยู่สําราญ เมื่อเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว เมื่อจะทรงรับน้ำล้างบาตร ไม่ทรงชูบาตรขึ้นรับ ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงจ้องบาตรคอยรับ ไม่ทรงแกว่งบาตรรับ ทรงรับน้ำล้างบาตรไม่น้อยนัก ไม่มากนัก ไม่ทรงล้าง

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 238

บาตรดังขลุกๆ ไม่ทรงหมุนบาตรล้าง ไม่ทรงวางบาตรที่พื้น ทรงล้างบนพระหัตถ์แล้ว ก็เป็นอันทรงล้างบาตรแล้ว เมื่อทรงล้างบาตรแล้ว ก็เป็นอันล้างพระหัตต์แล้ว ทรงเทน้ำล้างบาตรไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก และทรงเทไม่ให้น้ำกระเซ็น เมื่อเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว ไม่ทรงวางบาตรที่พื้น ทรงวางในที่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก จะไม่ทรงต้องการบาตรก็หามิได้ แต่ก็ไม่ตามรักษาบาตรจนเกินไป เมื่อเสวยเสร็จแล้ว ประทับนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ทรงยังเวลาแห่งการอนุโมทนาให้ล่วงไป เสวยเสร็จแล้วก็ทรงอนุโมทนา ไม่ทรงติเตียนภัตนั้น ไม่ทรงหวังภัตอื่น ทรงชี้แจงให้บริษัทนั้นเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้นแล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จไป ไม่เสด็จเร็วนัก ไม่ผลุนผลันเสด็จไป ไม่ทรงจีวรสูงเกินไป ไม่ทรงจีวรต่ําเกินไป ไม่ทรงจีวรแน่นติดพระกาย ไม่ทรงจีวรกระจุยกระจายจากพระกาย ทรงจีวรไม่ให้ลมพัดแหวกได้ ฝุ่นละอองไม่ติดพระกาย เสด็จถึงพระอารามแล้วประทับนั่ง ครั้นประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้ถวายแล้ว จึงทรงล้างพระบาท ไม่ทรงประกอบการประดับพระบาท ทรงล้างพระบาทแล้ว ประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดํารงพระสติไว้เบื้องพระพักตร์ ไม่ทรงดําริเพื่อเบียดเบียนพระองค์เอง ไม่ทรงดําริเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทรงดําริเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย ประทับนั่ง ทรงดําริแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พระองค์ สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น สิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่โลกทั้งปวง เมื่อประทับอยู่ในพระอาราม ทรงแสดงธรรมในบริษัท ไม่ทรงยอบริษัท ไม่ทรงรุกรานบริษัท ทรงชี้แจงให้บริษัทเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ทรงมีพระสุรเสียงอันก้อง เปล่งออกจากพระโอษฐ์ ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการคือ สละสลวย ๑ รู้ได้ชัดเจน ๑ ไพเราะ ๑ ฟังง่าย ๑ กลมกล่อม ๑ ไม่พร่า ๑ พระสุรเสียงลึก ๑ มีกังวาล ๑ บริษัทจะอย่างไร ก็ทรง

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 239

ให้เข้าใจด้วยพระสุรเสียงได้ พระสุรเสียงมิได้ก้องออกนอกบริษัท ชนทั้งหลายที่ท่านพระโคดมทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา เมื่อลุกจากที่นั่งไป ยังเหลียวดูโดยไม่อยากจะละไป ต่างรําพึงว่า เราได้เห็นท่านพระโคดมพระองค์นั้นเสด็จดําเนิน ประทับยืน เสด็จเข้าละแวกบ้าน ประทับนั่งนิ่งในละแวกบ้าน กําลังเสวยภัตตาหารในละแวกบ้านเสวยเสร็จแล้วประทับนั่งนิ่ง เสวยเสร็จแล้วทรงอนุโมทนา เมื่อเสด็จกลับมายังพระอาราม เมื่อเสด็จถึงพระอารามแล้วประทับนั่งนิ่งอยู่ เมื่อประทับอยู่ในพระอาราม กําลังทรงแสดงธรรมในบริษัท ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงพระคุณเช่นนี้ๆ และทรงพระคุณยิ่งกว่าที่กล่าวแล้วนั้น.

[๕๙๐] เมื่ออุตตรมาณพกล่าวอย่างนี้แล้ว พรหมายุพราหมณ์ลุกจากที่นั่ง ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ แล้วเปล่งอุทานขึ้น ๓ ครั้งว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วคิดว่า ไฉนหนอ เราจึงจะได้สมาคมกับท่านพระโคดมพระองค์นั้น สักครั้งคราว ไฉนหนอ จะพึงได้เจรจาปราศรัยสักหน่อยหนึ่ง.

[๕๙๑] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปในวิเทหชนบทโดยลําดับ เสด็จถึงเมืองมิถิลา ได้ทราบว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ มฆเทวอัมพวัน ใกล้เมืองมิถิลา พราหมณ์และคฤหบดีชาวเมืองมิถิลา ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จเที่ยวจารึกไปในวิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จถึงเมืองมิถิลาแล้ว ประทับอยู่ ณ มฆเทวอัมพวัน ใกล้เมืองมิถิลาแล้ว ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์... เป็น

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 240

ผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จําแนกธรรม พระองค์ทรงทําโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนี้ย่อมเป็นความดีแล ลําดับนั้นแล พราหมณ์เละคฤหบดีชาวเมืองมิถิลา ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว บางพวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อและโคตรในสํานักพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

[๕๙๒] พรหมายุพราหมณ์ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตรทรงผนวชจากศากยสกุล ประทับอยู่ ณ มฆเทวอัมพวัน ใกล้เมืองมิถิลา ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์พร้อมด้วยมาณพเป็นอันมาก พากันเข้าไปยังมฆเทวอัมพวัน ลําดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้มีความคิดขึ้นในที่ไม่ไกลมฆเทวอัมพวันว่า การที่เราไม่ทูลให้ทรงทราบเสียก่อน พึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมไม่สมควรแก่เราเลย ลําดับนั้น พรหมายุพราหมณ์เรียกมาณพคนหนึ่งมากล่าวว่า มานี่แน่ พ่อมาณพ พ่อจงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วจึงทูลถามพระสมณโคดมถึงความมีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า มีพระกําลัง ทรงพระสําราญ ตามคําของเราว่า ข้าแต่ท่าน

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 241

พระโคดม พรหมายุพราหมณ์ทูลถามท่านพระโคดมถึงความมีพระอาพาธน้อย... ทรงพระสําราญ และจงทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลําดับ มีอายุ ๑๒๐ ปี แต่เกิดมา รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชํานาญในคัมภีร์โลกายตะและตําราทํานายมหาปุริสลักษณะ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พราหมณ์และคฤหบดีมีประมาณเท่าใด ย่อมอยู่อาศัยในเมืองมิถิลา พรหมายุพราหมณ์ปรากฏว่าเลิศกว่าพราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น เพราะโภคะ เพราะมนต์ เพราะอายุและยศ ท่านปรารถนาจะมาเฝ้าท่านพระโคดม.

[๕๙๓] มาณพนั้นรับคำพรหมายุพราหมณ์แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์ทูลถามท่านพระโคดมถึงความมีพระอาพาธน้อย... ทรงพระสําราญ ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่... ท่านปรารถนาจะมาเฝ้าท่านพระโคดม พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มาณพ พรหมายุพราหมณ์ย่อมรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด.

ครั้งนั้นแล มาณพนั้นจึงเข้าไปหาพราหมณ์ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะพรหมายุพราหมณ์ว่า ท่านเป็นผู้อันพระสมณโคดมประทานโอกาสแล้ว จงรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด.

[๕๙๔] ลําดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า บริษัทนั้นได้เห็นพรหมายุพราหมณ์มาแต่ไกล จึงรีบลุกขึ้นให้โอกาสตามสมควรแก่ผู้มีชื่อเสียง มียศ ครั้งนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้กล่าวกะบริษัท

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 242

นั้นว่า อย่าเลยท่านผู้เจริญทั้งหลาย เชิญท่านทั้งหลายนั่งบนอาสนะของตนๆ เราจักนั่งในสํานักแห่งพระสมณโคดมนี้ ลําดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ในพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ พระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ ลําดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

ข้าแต่พระโคดม มหาปุริสลักษณะอันข้าพเจ้าได้สดับมาว่า ๓๒ ประการ แต่ยังไม่เห็นอยู่ ๒ ประการในพระกายของพระองค์ท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดว่านรชน พระคุยหฐานของพระองค์ท่านเร้นอยู่ในฝัก ที่ผู้ฉลาดกล่าวว่า คล้ายนารีหรือพระชิวหาได้นรลักษณ์หรือ พระองค์มีพระชิวหาใหญ่หรือ ไฉนข้าพเจ้าจึงจะทราบความข้อนั้น ขอพระองค์ทรงค่อยนําพระลักษณะนั้นออก ขอได้โปรดทรงกําจัดความสงสัยของข้าพเจ้าเถิด ข้าแต่ท่านฤาษี ถ้าพระองค์ประทานโอกาส ข้าพเจ้าจะขอทูลถามปัญหาที่ข้าพเจ้าปรารถนายิ่ง

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 243

อย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขในสัมปรายภพ.

[๕๙๕] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดําริว่า พรหมายุพราหมณ์เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก ๑ ลิ้นใหญ่ ๑ ยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้พรหมายุพราหมณ์ได้เห็นพระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้งสองกลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสองกลับไปมา ทรงแผ่ปิดทั่วมณฑลพระนลาฏ ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพราหมณ์ด้วยพระคาถาว่า

ดูก่อนพราหมณ์ มหาปุริสลักษณะที่ท่านได้สดับมาว่า ๓๒ ประการนั้น มีอยู่ในกายของเราครบทุกอย่าง ท่านอย่าสงสัยเลย ดูก่อนพราหมณ์ สิ่งที่ควรรู้ยิ่งเรารู้ยิ่งแล้ว สิ่งที่ควรเจริญเราเจริญแล้ว และสิ่งที่ควรละเราละได้แล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นพุทธะ ท่านเป็นผู้อันเราให้โอกาสแล้ว เชิญถามปัญหาที่ปรารถนายิ่งอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันและเพื่อความสุขในสัมปรายภพเถิด.

[๕๙๖] ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ได้มีความดําริว่า เราเป็นผู้อันพระสมณโคดมประทานโอกาสแล้ว จะพึงทูลถามประโยชน์ในปัจจุบันหรือ

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 244

ประโยชน์ในสัมปรายภพหนอ ลําดับนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ได้มีความคิดว่า เราเป็นผู้ฉลาดในประโยชน์ปัจจุบัน แม้คนอื่นๆ ก็ถามเราถึงประโยชน์ในปัจจุบัน ถ้ากระไร เราพึงทูลถามประโยชน์ในสัมปรายภพกะพระสมณโคดมเถิด ลําดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อย่างไรบุคคลจึงชื่อว่าเป็นพราหมณ์ อย่างไรชื่อว่าเป็นผู้จบเวท อย่างไรชื่อว่าเป็นผู้มีวิชชา ๓ บัณฑิตกล่าวบุคคลเช่นไรชื่อว่าเป็นผู้มีความสวัสดี อย่างไรชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ อย่างไรชื่อว่ามีคุณครบถ้วน อย่างไรชื่อว่าเป็นมุนี และบัณฑิตกล่าวบุคคลเช่นไรว่าเป็นพุทธะ.

[๕๙๗] ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบพราหมณ์ด้วยพระคาถาว่า

ผู้ใดรู้ระลึกชาติก่อนๆ ได้ เห็นสวรรค์และอบาย บรรลุถึงควานสิ้นชาติ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นมุนีผู้รู้ยิ่งถึงที่สุด มุนีนั้นย่อมรู้จิตอันบริสุทธิ์อันพ้นแล้วจากราคะทั้งหลายโดยประการทั้งปวง เป็นผู้ละชาติและมรณะได้แล้ว ชื่อว่ามีคุณครบถ้วนแห่งพรหมจรรย์ ชื่อว่าถึงฝังแห่งธรรมทั้งปวง บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้เช่นนั้นว่าเป็นพุทธะ.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 245

[๕๙๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พรหมายุพราหมณ์ลุกขึ้นจากที่นั่ง ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ซบศีรษะลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า จูบพระยุคลบาทด้วยปาก นวดด้วยฝ่ามือ และประกาศชื่อของตนว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นพราหมณ์ชื่อพรหมายุ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นพราหมณ์ชื่อพรหมายุ. ครั้งนั้นแล บริษัทนั้นเกิดความอัศจรรย์ใจว่า น่าอัศจรรย์นักหนอ ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมาหนอ ท่านผู้เจริญ พระสมณะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พรหมายุพราหมณ์นี้เป็นผู้มีชื่อเสียง มียศ ยังทําความเคารพนบนอบอย่างยิ่งเห็นปานนี้ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพรหมายุพราหมณ์ว่า พอละ พราหมณ์ เชิญท่านลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งของตนเถิด เพราะจิตของท่านเลื่อมใสในเราแล้ว ลําดับนั้น พรหมายุพราหมณ์จึงลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งของตน.

[๕๙๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุปุพพิกถาแก่พรหมายุพราหมณ์ คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามทั้งหลายอันต่ำทราม เศร้าหมอง และอานิสงส์ในเนกขัมมะ เมื่อใด พระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่า พรหมยุพราหมณ์มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน ปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูงผ่องใส เมื่อนั้นจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแก่พรหมายุพราหมณ์ ณ ที่นั่งนั้นเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนผ้าขาวที่สะอาด ปราศจากดํา ควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น.

[๖๐๐] ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ผู้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้แจ้งธรรมแล้ว หยั่งทราบธรรมแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศ

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 246

จากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคําสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก... ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดทรงจําข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อนึ่ง ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้เถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอาราธนาด้วยดุษณีภาพ.

[๖๐๑] ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอาราธนาแล้ว จึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทําประทักษิณแล้วหลีกไป ครั้งนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้สั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีต ในนิเวศน์ของตนตลอดคืนยังรุ่ง แล้วใช้คนให้ไปกราบทูลเวลาภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว พระเจ้าข้า ภัตตาหารสําเร็จแล้ว ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของพรหมายุพราหมณ์ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ลําดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้อิ่มหนําเพียงพอด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตนตลอด ๗ วัน ครั้งนั้น พอล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในวิเทหชนบท.

[๖๐๒] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปไม่นาน พรหมายุพราหมณ์ได้ทํากาละ ครั้งนั้น ภิกษุเป็นอันมากพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรหมายุพราหมณ์

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 247

ทํากาละแล้ว คติของเขาเป็นเช่นไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นเช่นไร พระเจ้าข้า.

[๖๐๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ภิกษุทั้งหลาย พรหมายุพราหมณ์เป็นบัณฑิต ได้บรรลุธรรมตามลําดับธรรม ไม่เบียดเบียนเราให้ลําบากเพราะเหตุแห่งธรรมเลย พรหมายุพราหมณ์เป็นอุปปาติกะ (อนาคามี) จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ํา ๕ สิ้นไป.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนี้แล.

จบพรหมายุสูตรที่ ๑

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 248

พราหมณวรรค

อรรถกถาพรหมายุสูตร

พรหมายุสูตร ขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

ในพรหมายุสูตรนั้น คําว่า ใหญ่ ในบทว่า พร้อมกับหมู่ภิกษุใหญ่ นั้น ชื่อว่าใหญ่ เพราะความใหญ่ด้วยคุณบ้าง ใหญ่ด้วยจํานวนบ้าง.

จริงอยู่ หมู่ภิกษุนั้น เป็นหมู่ใหญ่ แม้ด้วยคุณทั้งหลาย. จัดว่าใหญ่เพราะประกอบด้วยคุณมีความมักน้อยเป็นต้น และเพราะนับได้ถึง ๕๐๐ รูป. กับหมู่แห่งพวกภิกษุ ชื่อว่าหมู่ภิกษุ. อธิบายว่า กับหมู่สมณะที่มีทิฏฐิสามัญญตาและสีลสามัญญตา เท่าเทียมกัน.

คําว่า พร้อม คือ ด้วยกัน.

คําว่า ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป คือ ชื่อว่ามีประมาณห้า เพราะประมาณห้าแห่งร้อยของภิกษุเหล่านั้น. ประมาณ ท่านเรียกว่า มาตรา. เพราะฉะนั้นจึงมีอธิบายว่า ภิกษุรู้จักมาตราคือรู้จักประมาณในโภชนะ ที่ตรัสว่า เป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ฉันใด แม้ในที่นี้ก็พึงเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า มาตราห้าได้แก่ประมาณห้าแห่งร้อยของภิกษุเหล่านั้น ฉันนั้น. ร้อยทั้งหลายแห่งพวกภิกษุ ชื่อว่า ร้อยแห่งภิกษุทั้งหลาย. กับร้อยแห่งภิกษุทั้งหลาย มีประมาณห้าเหล่านั้น.

คําว่า มีปี ๑๒๐ คือ มีอายุ ๑๒๐ ปี.

คําว่า แห่งเวททั้งสาม คือ แห่งฤคเวท ยชุรเวท และ สามเวท.

ชื่อว่า ผู้ถึงฝั่ง เพราะถึงฝั่งด้วยอํานาจการท่องคล่องปาก. พร้อมด้วย นิฆัณฑุ และเกฏุภะ ชื่อว่าพร้อมกับนิฆัณฑุและเกฏุภะ. ศาสตร์ที่ประกาศคําสําหรับใช้แทน นิฆัณฑุศาสตร์ และพฤกษ-

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 249

ศาสตร์เป็นต้น ชื่อสนิฆัณฑุ. เกฏภะ ได้แก่ การกําหนดกิริยาอาการที่เป็นศาสตร์สําหรับใช้เป็นเครื่องมือของพวกกวี.

ชื่อว่าพร้อมทั้งประเภทอักษร เพราะพร้อมกับประเภทอักษร.

คําว่า ประเภทอักษร ได้แก่ สิกขาและนิรุตติ.

คำว่า มีประวัติศาสตร์เป็นที่ห้า คือ มีประวัติศาสตร์ ซึ่งได้แก่เรื่องเก่าแก่ที่ประกอบด้วยคําเช่นนี้ว่า เป็นอย่างนี้ เล่ากันมาว่าเช่นนี้ เป็นที่ห้าแห่งพระเวทที่จัดอาถรรพณเวทเป็นที่สี่เหล่านั้น ฉะนั้น จึงชื่อว่า มีประวัติศาสตร์เป็นที่ห้า. มีประวัติศาสตร์เป็นที่ห้าแห่งพระเวทเหล่านั้น.

ชื่อว่า ผู้เข้าใจบทฉลาดในไวยากรณ์ เพราะถือเอาหรือแสดงบทและไวยากรณ์ที่นอกเหนือจากบทนั้นได้อย่างแจ่มแจ้ง.

วิตัณฑวาทศาสตร์ เรียกว่า โลกายตะ.

คําว่า ลักษณมหาบุรุษ ได้แก่ ตําราประมาณ ๑๒,๐๐๐ เล่ม ที่แสดงลักษณะบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น มีบทคาถาประมาณ ๑๖,๐๐๐ บท ที่มีชื่อว่า พุทธมนท์ ซึ่งเป็นเหตุให้รู้ความแตกต่างอันนี้คือ ผู้ประกอบด้วยลักษณะนี้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยลักษณะนี้ เป็นพระอัครสาวกทั้งสองด้วยลักษณะนี้ เป็นพระสาวกผู้ใหญ่ แปดสิบท่าน ด้วยลักษณะนี้ เป็นพระพุทธมารดา, เป็นพระพุทธบิดา, เป็นอัครอุปัฏฐาก, เป็นอัครอุปัฏฐายิกา, เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ด้วยลักษณะนี้.

คําว่า เป็นผู้ชํานาญ ได้แก่ ผู้ทําให้บริบูรณ์ ไม่หย่อนในคัมภีร์โลกายตะ และตําราทายลักษณะมหาบุรุษ อธิบายว่า ได้แก่ เป็นผู้ไม่ขาดตกบกพร่อง. ผู้ที่ไม่สามารถทรงจำทั้งใจความ และคัมภีร์ ได้ชื่อว่า ผู้ขาดตกบกพร่อง.

คําที่จะต้องกล่าวในบทเป็นต้นว่า ได้ยินแล้วแล ก็ได้กล่าวเสร็จแล้วในสาเลยยกสูตร.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 250

คําว่า นี้ พ่อ คือ พรหมายุพราหมณ์นี้ เพราะเป็นคนแก่ไม่อาจไปได้ จึงเรียกมาณพมากล่าวอย่างนั้น.

อนึ่ง พราหมณ์นี้คิดว่า ในโลกนี้ คนที่ถือเอาชื่อของผู้ที่ฟุ้งขจรไปว่า ข้าเป็นพุทธะ ข้าเป็นพุทธะ มากล่าวมีมากมาย เพราะฉะนั้น เพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น เราจึงยังไม่ควรไปหา และเมื่อเข้าไปหาบางคน หลีกไปเสียเฉยๆ ก็เป็นเรื่องหนักใจ ทั้งจะเกิดความเสียหายด้วย เป็นอันว่าทางที่ดี เราควรส่งศิษย์เรา เมื่อรู้ว่าเป็นพุทธะหรือไม่เป็นแล้ว จึงค่อยเข้าไปหาเขา เพราะฉะนั้น จึงเรียกมาณพมากล่าวคําเป็นต้นว่า นี้ พ่อ ดังนี้.

บทว่า ตํ ภควนฺตํ ได้แก่ ผู้เจริญนั้น.

คําว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือ เป็นจริงอย่างนั้น.

ก็คําว่า สนฺตํ นี้เป็นทุติยาวิภัติ ลงในอรรถว่า เป็นเช่นนี้.

ในคําว่า นี่เธอทําอย่างไรเราเล่า คือ นี่เธอก็เราจะรู้จักท่านพระโคดมนั้นได้อย่างไร อธิบายว่า เธอจงบอกเราโดยประการที่เราสามารถรู้จักพระโคดมนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า โดยประการใด นี้เป็นเพียงคําที่ลงแทรกเข้ามาเฉยๆ ก็ได้.

คําว่า อย่างไร นี้เป็นคําถามอาการ หมายความว่า เราจะรู้จักท่านพระโคดมด้วยอาการอย่างไร.

ได้ยินว่า เมื่อลูกศิษย์ว่าอย่างนั้น อุปัชฌาย์กล่าวกะเธอเป็นต้นว่า พ่อเจ้ายืนอยู่บนแผ่นดิน แล้วมาพูดคล้ายกะว่า ผมมองไม่เห็นแผ่นดิน ยืนอยู่ในแสงพระจันทร์และพระอาทิตย์แล้วกลับมาพูดคล้ายกะว่า ผมมองไม่เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์หรือ เมื่อจะแสดงรายละเอียดความรู้ จึงกล่าวคําเป็นต้นว่า มาแล้วแล พ่อ.

ในคําเหล่านั้น คําว่า มนต์ หมายถึง พระเวท. พวกเทพชั้นสุทธาวาส บางท่านทราบว่า นัยว่าพระตถาคตเจ้าจะทรงอุบัติ จึงเอาลักษณะมาใส่ไว้ในพระเวท แล้วแปลงตัวเป็นพราหมณ์มาสอนพระเวทว่า เหล่านี้ชื่อพุทธมนต์ คิดว่าโดยทํานองนั้น พวกสัตว์ (คน) ผู้ยิ่งใหญ่ จะรู้จักพระตถาคตเจ้าได้. เพราะเหตุนั้น มหาปุริสลักษณะ จึงมาในพระเวทตั้ง

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 251

แต่ก่อนมา. แต่เมื่อพระตถาคตเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็ค่อยๆ สูญหายไป. ฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มี.

คําว่า ของมหาบุรุษ คือ ของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ด้วยการตั้งพระทัย การยึดมั่น ความรู้และความสงสารเป็นต้น.

คําว่า สองทางเท่านั้น คือ ที่สุดสองอย่างเท่านั้น.

ในเรื่องความรู้ทั่วไป คติศัพท์ เป็นไปในประเภทภพในคําเป็นต้นว่า สารีบุตร ก็คติห้าอย่างเหล่านี้แล. เป็นไปในที่เป็นที่อยู่ในคําเป็นต้นว่า ป่าใหญ่เป็นคติ (ที่อยู่) ของพวกเนื้อ. เป็นไปในปัญญาในคําเป็นต้นว่า มีคติ (ปัญญา) มีประมาณยิ่ง อย่างนี้. เป็นไปในความสละในคําเป็นต้นว่า ถึงคติ (ความสละ). แต่ในที่นี้พึงทราบว่าเป็นไปในความสําเร็จ (หรือที่สุด).

แม้ถึงอย่างนั้น ในลักษณะเหล่านั้น ผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่าใด เป็นพระราชา ก็ไม่ใช่ว่า เป็นพระพุทธเจ้าด้วยลักษณะเหล่านั้นเลย. แต่ท่านเรียกลักษณะเหล่านั้นเพราะความเสมอกันทางชาติเท่านั้น. เพราะเหตุนั้น พรหมายุพราหมณ์จึงกล่าวว่า ผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่าใด.

คําว่า ถ้าอยู่ครองเรือน คือ ถ้าอยู่ในเรือน.

คําว่า เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ความว่า เพราะทําให้โลกยินดีด้วยสิ่งอัศจรรย์ ๔ อย่าง และสิ่งสําหรับยึดเหนี่ยวน้ำใจ ๔ อย่าง จึงชื่อว่า ราชา. เพราะมีการหมุนจักรแก้ว หมุนไปด้วยสมบัติจักรทั้ง ๔ ให้คนอื่นหมุนไปด้วยสมบัติจักรทั้ง ๔ นั้นด้วย และเพราะทรงประพฤติประโยชน์เกื้อกูลแก่คนอื่น และประพฤติเพื่อจักรอันได้แก่อิริยาบถ จึงชื่อว่า จักรพรรดิ.

และในที่นี้ คําว่า ราชา เป็นคําทั่วๆ ไป.

คําว่า จักรพรรดิ เป็นคําวิเศษณ์ (คุณศัพท์ขยายราชา). เพราะทรงประพฤติเป็นธรรม จึงชื่อว่า ผู้ประกอบด้วยธรรม หมายความว่า ทรงประพฤติด้วยพระญาณที่ถูกต้อง. เพราะทรงได้รับราชย์โดยธรรม แล้วจึงเป็นราชา จึงชื่อว่า ธรรมราชา.

อีกอย่างหนึ่ง เพราะทรงกระทําเป็นธรรมเพื่อเกื้อกูลคนอื่น จึงชื่อว่า ทรงประกอบด้วยธรรม เพราะทรงกระทําเป็นธรรมเกื้อกูลพระองค์

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 252

จึงชื่อว่า พระธรรมราชา. เพราะเป็นใหญ่ในแผ่นดินอันมีทะเลหลวง ๔ เป็นขอบเขต จึงชื่อว่า จาตุรนต์ อธิบายว่า เป็นใหญ่ในแผ่นดินที่ประดับด้วยทวีปทั้งสี่ ซึ่งมีสมุทรทั้ง ๔ ทิศเป็นที่สุด. เพราะทรงชํานะข้าศึกมีความโกรธเป็นต้นในภายใน และพระราชาทั้งหมดในภายนอก จึงชื่อว่า ผู้ชํานะพิเศษ.

คําว่า ถึงความมั่นคงในชนบท ความว่า ถึงความแน่นอน ความมั่นคงในชนบท ไม่มีใครทําให้กําเริบได้ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าทรงถึงความมั่นคงในชนบท เพราะทรงมีชนบทที่ถึงความมั่นคง ไม่ต้องทรงมีความขวนขวายยินดีในการงานของพระองค์ ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลนในชนบทนั้น.

บทว่า อย่างไรนี้ เป็นคําสําหรับลงแทรกเข้ามา. ความว่า แก้วเหล่านั้น ของพระเจ้าจักรพรรดินั้น คืออะไรบ้าง.

ในคําว่า จักรแก้ว เป็นต้น ชื่อว่าจักรแก้ว เพราะสิ่งนั้นเป็นจักร และชื่อว่าเป็นแก้ว เพราะอรรถว่า ให้ความยินดี.

ในทุกบท ก็เช่นนี้ทั้งนั้น.

ก็ในบรรดารัตนะเหล่านี้ พระเจ้าจักรพรรดิ ทรงชนะแว่นแคว้นที่ยังไม่ชนะด้วยจักรรัตนะ. ทรงเที่ยวไปตามความสุขสะดวกในแว่นแคว้นด้วยช้างแก้ว และม้าแก้ว ทรงรักษาแว่นแคว้นได้ด้วยปริณายกแก้ว. ทรงเสวยอุปโภคสุขด้วยรัตนะนอกนี้.

ก็การประกอบด้วยอํานาจแห่งความอุตสาหะแห่งพระเจ้าจักรพรรดินั้น ย่อมบริบูรณ์ดีด้วยรัตนะที่ ๑ ความประกอบด้วยศักดิ์แห่งเจ้า ย่อมบริบูรณ์ดีด้วยช้างแก้ว ม้าแก้ว และคหบดีแก้ว การประกอบด้วยอํานาจแห่งความฉลาด ย่อมบริบูรณ์ดีด้วยปริณายกแก้วสุดท้าย. ผลแห่งการประกอบด้วยอํานาจสามประการ ย่อมบริบูรณ์ดีด้วยนางแก้ว และแก้วมณี. พระเจ้าจักรพรรดินั้น ทรงเสวยความสุขในการใช้สอยด้วยนางแก้วและแก้วมณี. ทรงเสวยอิสริยสุขด้วยรัตนะนอกนี้.

อนึ่ง รัตนะ ๓ ข้างต้นของพระเจ้าจักรพรรดินั้น ย่อมสําเร็จด้วยอานุภาพแห่งกรรมอันกุศลมูล คืออโทสะ

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 253

ให้เกิดแล้ว โดยพิเศษ. รัตนะกลางๆ ย่อมสําเร็จด้วยอานุภาพแห่งธรรมอันกุศลมูลคือ อโลภะให้เกิดแล้ว. รัตนะหลังอันเดียวพึงทราบว่า สําเร็จด้วยอานุภาพแห่งกรรมอันกุศลมูล คือ อโมหะ ให้เกิดแล้ว. ความย่อในรัตนะเหล่านี้เท่านี้.

ส่วนความพิสดารพึงถือเอาโดยอุปเทศแห่งรัตนสูตร (๑) ในโพชฌังคสังยุต.

อีกอย่างหนึ่ง การพรรณนาพร้อมกับลําดับแห่งการเกิดของรัตนะเหล่านี้ จักมาในพาลปัณฑิตสูตร.

บทว่า ปโรสหสฺสํ แปลว่า เกินกว่าพัน.

บทว่า สูรา ความว่า ผู้มีชาติแห่งคนกล้า.

บทว่า วิรงฺครูปา ความว่า มีกายคล้ายเทพบุตร.

อาจารย์พวกหนึ่งพรรณนาไว้อย่างนี้ก่อน. แต่ในเรื่องนี้มีสภาวะดังต่อไปนี้.

บทว่า วีรา ท่านกล่าวว่า มีความกล้าหาญอย่างสูงสุด.

คุณแห่งผู้กล้าหาญ ชื่อว่า วีรงฺคํ ท่านกล่าวอธิบายว่า เหตุแห่งผู้กล้า ชื่อวิริยะ. ชื่อว่า วีรังครูป เพราะอรรถว่า มีรูปร่างองอาจกล้าหาญ ท่านกล่าวอธิบายว่า เหมือนมีร่างกายสําเร็จด้วยความกล้าหาญ.

บทว่า ปรเสนปฺปมทฺทนา อธิบายว่า ถ้ากองทัพอื่นยืนเผชิญหน้าอยู่ ก็สามารถย่ํายีกองทัพนั้นได้.

บทว่า ธมฺเมน ความว่า ด้วยธรรมคือศีลห้ามีคําว่า ไม่ควรฆ่าสัตว์ ดังนี้เป็นต้น.

ในคําว่า จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เปิดหลังคา (คือกิเลส) ในโลกแล้วนี้ ชื่อว่า มีหลังคาอันเปิดแล้ว เพราะเปิดหลังคาในโลกอันมืดมนด้วยกิเลส ซึ่งถูกกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ อวิชชาและทุจริต อันเสมือนหลังคาทั้ง ๗ ปิดแล้วนั้น ทําให้เกิดแสงสว่างโดยรอบตั้งอยู่แล้ว.

ในบรรดาบทเท่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ท่านกล่าวความเป็นผู้ควรแก่การบูชาด้วยบทแรก กล่าวเหตุแห่งความเป็นผู้ควรแก่การบูชานั้น ด้วย


(๑) สํ ๓/๘๗

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 254

บทที่ ๒ เพราะทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวความเป็นผู้มีหลังคาอันเปิดแล้ว อันเป็นเหตุแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยบทที่ ๓.

อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่ามีหลังคาอันเปิดแล้ว เพราะอรรถว่า ทั้งเปิดแล้วทั้งไม่มีเครื่องมุง ท่านกล่าวอธิบายว่า เว้นจากวัฏฏะ และเว้นจากเครื่องมุงบัง.

ด้วยคํานั้น ย่อมเป็นอันกล่าวเหตุทั้ง ๒ แห่งบทในเบื้องต้นทั้ง ๒ อย่างนี้ว่า ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะไม่มีวัฏฏะ ชื่อว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่มีเครื่องมุงบัง (หลังคา).

ก็ในข้อนั้น ความสําเร็จตอนต้น ย่อมมีด้วยเวสารัชญาณข้อที่ ๒ ความสําเร็จข้อที่ ๒ ย่อมมีด้วยเวสารัชญาณข้อที่ ๑ ความสําเร็จข้อที่ ๓ ย่อมมีด้วยเวสารัชญาณข้อที่ ๓ และ ๔.

พึงทราบว่า ข้อที่ ๑ ให้สําเร็จธรรมจักษุ ข้อที่ ๒ ให้สําเร็จพุทธจักษุ ข้อที่ ๓ ให้สําเร็จสมันตจักษุ ดังนี้บ้าง.

ด้วยคําว่า ตฺวํ มนฺตานํ ปฏิคฺคเหตา นี้ย่อมให้เกิดความกล้าแก่มาณพนั้น.

แม้อุตตรมาณพนั้น ปราศจากความเคลือบแคลงในลักษณะทั้งหลายตามถ้อยคําของอาจารย์นั้น ตรวจดูพุทธมนต์อยู่ประดุจเกิดแสงเป็นอันเดียวกัน จึงกล่าวว่า อย่างนั้นขอรับ ดังนี้.

เนื้อความแห่งคํานั้น ดังต่อไปนี้ ข้าแต่อาจารย์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าจักกระทําเหมือนอย่างท่านอาจารย์สั่งข้าพเจ้า.

บทว่า สมนฺเนสิ ความว่า ได้ตรวจดูแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ตรวจดูนับอยู่ว่า ๑, ๒ ดังนี้.

คําว่า อทฺทสา โข ถามว่า ได้เห็นอย่างไร.

ตอบว่า ก็ใครๆ ย่อมไม่อาจแสวงหาลักษณะแห่งพระพุทธเจ้าผู้ประทับนั่ง หรือบรรทมได้ แต่เมื่อทรงประทับยืน หรือทรงจงกรมอยู่ จึงจะอาจ. เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ครั้นเห็นผู้มาเพื่อจะตรวจดูลักษณะจึงทรงลุกจากอาสนะ. ประทับยืนบ้าง ทรงอธิษฐานจงกรมบ้าง. อุตตรมาณพได้เห็นแล้วซึ่งลักษณะแห่งพระองค์ผู้ทรงยังอิริยาบถอันสมควรแก่ที่จะเห็นลักษณะ เป็นไปอยู่ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า เยภุยฺเยน คือ โดยมาก หมายความว่า ได้เห็นลักษณะมาก มิได้เห็นน้อย.

แต่นั้น มิได้เห็นลักษณะอันใด จึงกล่าวว่า เปตฺวา เทฺว

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 255

เว้น ๒ ลักษณะ เพื่อแสดงถึงลักษณะ ๒ เหล่านั้น.

บทว่า กงฺขติ ความว่า อุตตรมาณพเกิดความปรารถนาขึ้นว่า น่าอัศจรรย์หนอ เราพึงเห็น (ลักษณะอีก ๒ ประการ).

บทว่า วิจิกิจฺฉติ ความว่า เมื่อเลือกเฟ้นอยู่ซึ่งลักษณะเหล่านั้น จากลักษณะนั้นๆ ย่อมลําบาก คือ ไม่อาจเพื่อจะเห็นได้.

บทว่า นาธิมุจฺจติ ความว่า ย่อมไม่ถึงความตกลงใจ เพราะความสงสัยอันนั้น.

บทว่า น สมฺปสีทติ ความว่า แต่นั้นจึงไม่เกิดความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์มีพระลักษณะสมบูรณ์.

อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวความสงสัยอย่างอ่อนด้วยความกังขา อย่างกลางด้วยความเคลือบแคลง อย่างแรงด้วยความไม่น้อมใจเชื่อ. เพราะยังไม่มีความเลื่อมใส จิตจึงมีความท้อแท้ ด้วยเหตุสามอย่างเหล่านั้น.

บทว่า โกโสหิเต ได้แก่ อันฝักแห่งไส้ปิดแล้ว.

บทว่า วตฺถคุยฺเห ได้แก่ องคชาต.

จริงอยู่ คุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝักของพระผู้มีพระภาคเจ้า เสมอด้วยห้องปทุม มีสีดุจทอง ดุจคุยหฐานของช้าง. อุตตรมาณพนั้น เมื่อไม่เห็นพระคุยหฐานนั้น เพราะผ้าปิดไว้ และความเพียงพอแห่งพระชิวหาก็กําหนดไม่ได้ เพราะอยู่ในพระโอษฐ์ จึงมีความสงสัย เคลือบแคลงในลักษณะ ๒ นั้น.

คําว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ความว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงพระดําริว่า ถ้าเราไม่แสดงลักษณะทั้ง ๒ เหล่านี้แก่อุตตรมาณพนี้ มาณพนั้นก็จักไม่หมดความสงสัย เมื่อเขายังมีความสงสัยอยู่ แม้อาจารย์ของเขาก็จักไม่หมดความสงสัย ทีนั้นเขาจักไม่มาหาเรา เมื่อไม่มาก็จักไม่ได้ฟังธรรม เมื่อไม่ได้ฟังธรรม ก็จักมิได้กระทําให้แจ้งซึ่งสามัญญผล ๓ แต่เมื่อมาณพนั้นหมดความสงสัยแล้ว ทั้งอาจารย์ของเขาก็หมดความสงสัยเข้ามาหาเราแล้ว ฟังธรรมแล้ว ก็จักกระทําให้แจ้งซึ่งผล ๓ ได้ อนึ่ง เราบําเพ็ญบารมีมาก็เพื่อประโยชน์อย่างนี้ เราจักแสดงลักษณะเหล่านั้น แก่อุตตรมาณพนั้นดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขารเห็นปานนั้น.

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 256

ทรงบันดาลมีรูปเป็นอย่างไร ในเรื่องนี้ มีถ้อยคําที่บุคคลอื่นพึงกล่าวได้อย่างไร. คํานั้นพระนาคเสนเถระอันพระเจ้ามิลินท์ถามแล้ว วิสัชนาไว้แล้ว.

ราชา. พระนาคเสนผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทําขนาดถึงสิ่งที่ทําได้ยาก.

นาค. ทรงทําอะไร มหาบพิตร.

ราชา. พระคุณเจ้า พระองค์ทรงแสดงโอกาสที่ทําให้คนส่วนใหญ่อับอายแก่นายอุตตระ ศิษย์พรหมายุพราหมณ์ แก่พวกพราหมณ์ ๑๖ คน ศิษย์ของพาวรี และแก่มาณพ ๓๐๐ คน ศิษย์ของเสลพราหมณ์อีกเล่า.

นาค. มหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงแสดงพระองคชาตหรอก ทรงแสดงแต่เงา คือ พระองค์ทรงสร้างขึ้นด้วยพระฤทธิ์ แล้วทรงแสดงเพียงรูปเป็นเงาที่อยู่ในผ้านุ่ง รัดสายประคตไว้แล้วห่มจีวรทับ.

ราชา. เมื่อเห็นเงา ก็ชื่อว่าเห็นพระองคชาต มิใช่หรือครับ.

นาค. ข้อนั้น ยกไว้ก่อนเถิด มหาบพิตร คนเราต้องดูหัวใจให้เห็นแล้ว จึงจะตรัสรู้ได้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะต้องทรงเอาเนื้อหัวใจออกมาแสดงด้วยกระนั้นหรือ.

ราชา. พระนาคเสน ท่านเก่งครับ.

บทว่า นินฺนาเมตฺวา ได้แก่ ทรงยื่น (พระชิวหา) ออก.

บทว่า ทรงสอด ได้แก่ ทรงสอดเข้าทําเหมือนสอดเข็มเย็บผ้ากฐินฉะนั้น.

ก็ในข้อนั้นพึงทราบว่า ประกาศความอ่อนด้วยการกระทําอย่างนั้น ประกาศความยาวด้วยการสอดเข้าช่องพระกรรณ ประกาศความบางด้วยการสอดเข้าช่องพระนาสิก ประกาศความใหญ่ด้วยการปิดพระนลาฏ.

อนึ่ง ในคําว่า ช่องพระกรรณ

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 257

ทั้งสอง เป็นต้นนี้ พึงทราบวินิจฉัยว่า มลทินก็ดี สะเก็ดก็ดี ในช่องพระกรรณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี ย่อมเป็นเหมือนหลอดเงินที่เขาล้างแล้ววางไว้.

ในช่องพระนาสิกก็เหมือนกัน.

ก็แม้ช่องเหล่านั้น ย่อมเป็นเหมือนหลอดทองที่เขาทําการตระเตรียมไว้เป็นอันดีและเหมือนกับหลอดแก้วมณีฉะนั้น. เพราะฉะนั้น จึงทรงแลบพระชิวหาออกม้วนเข้าไปในที่สุดพระโอษฐ์ไปข้างบน กระทําดุจเข็มเย็บผ้ากฐิน สอดเข้าสู่ช่องพระกรรณข้างขวา นําออกจากช่องขวานั้นสอดเข้าทางช่องพระกรรณซ้าย. นําออกจากช่องพระกรรณซ้าย สอดเข้าช่องพระนาสิกขวา นําออกจากช่องพระนาสิกขวา สอดเข้าช่องพระนาสิกซ้ายได้. ครั้นนําออกจากช่องพระนาสิกซ้ายแล้ว เมื่อจะแสดงความใหญ่ จึงปิดมณฑลพระนลาฏตลอดทั้งสิ้นด้วยพระชิวหาซึ่งเป็นเหมือนสายฟ้าอันรุ่งเรืองด้วยผืนผ้ากัมพลแดง ดุจพระจันทร์ครึ่งซีก ถูกเมฆวลาหกสีแดงปิดไว้กึ่งหนึ่ง และประดุจแผ่นทองฉะนั้น.

บทว่า ยนฺนูนาหํ ถามว่า เหตุไร อุตตรมาณพจึงคิด.

ตอบว่า อุตตรมาณพคิดว่า ก็เราตรวจดูมหาปุริสลักษณะแล้ว กลับไป หากอาจารย์ถามว่า พ่ออุตตระเจ้าเห็นมหาปุริสลักษณะแล้วหรือ ก็จักอาจบอกได้ว่า ขอรับท่านอาจารย์ แต่ถ้าอาจารย์จักถามเราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทํากิริยาเป็นเช่นไร เราก็ไม่อาจตอบคําถามนั้นได้ แต่เมื่อเราตอบว่า ไม่รู้ อาจารย์ก็โกรธว่าเราส่งเจ้าไป เพื่อให้ตรวจดูให้รู้ลักษณะทั้งหมดนี้ มิใช่หรือ เหตุไรยังไม่รู้ แล้วจึงกลับมาเล่า ฉะนั้น จึงคิดว่า ทําไฉนหนอ แล้วติดตามไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทําโอกาสในที่ที่เหลือทั้งหลาย เว้นฐานะ ๔ เหล่านี้ คือ ที่สรงน้ำ ที่ชําระพระโอษฐ์ ที่ชําระขัดสีพระวรกาย ที่ทรงประทับนั่งแวดล้อมด้วยนางห้ามของพระราชาและมหาอํามาตย์ของพระราชาเป็นต้น โดยที่สุดแม้ในพระคันธกุฎีแห่งเดียว.

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 258

เมื่อกาลล่วงไปผ่านไป ก็ปรากฏว่า ได้ยินว่า มาณพของพรหมายุพราหมณ์ชื่ออุตตระนี้ เที่ยวใคร่ครวญความเป็นพระพุทธเจ้าของพระตถาคต ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือมิได้เป็น มาณพอุตตระนี้ ชื่อว่าเป็นคนสอบสวนพระพุทธเจ้า.

พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประทับอยู่ในที่ใดๆ ย่อมเป็นอันทรงกระทํากิจ ๕ ประการทีเดียว กิจเหล่านั้น ได้แสดงไว้แล้วในหนหลังนั่นเทียว.

ในบรรดากิจเหล่านั้น ในเวลาปัจฉาภัตร เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งที่ธรรมาสน์ ที่เขาตกแต่งแล้วทรงจับพัดอันวิจิตรที่ขจิตด้วยงา แสดงธรรมแก่มหาชนอยู่ แม้อุตตรมาณพ ก็นั่งอยู่ ณ ที่ไม่ไกล. ในตอนสิ้นสุดการฟังธรรม พวกคนผู้มีศรัทธา ก็นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเสวยพระกระยาหาร อันจะมีในวันพรุ่งนี้ ก็เข้าไปหามาณพด้วยกล่าวอย่างนี้ว่า พ่อ พวกเรานิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ตัวท่านก็จงมารับภัตรในเรือนของพวกเราพร้อมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า.

ในวันรุ่งขึ้น พระตถาคตเจ้าอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว เสด็จเข้าไปสู่บ้าน. แม้อุตตรมาณพก็ติดสอยห้อยตามไปสํารวจ ทุกๆ ฝีก้าว. ในเวลาที่ทรงเข้าไปสู่เรือนแห่งตระกูล มาณพนั่งตรวจดูอยู่ทุกประการ ตั้งแต่การถือเอาน้ำเพื่อทักษิณาเป็นต้นไป. ในเวลาเสร็จภัตตกิจ ในเวลาพระตถาคตเจ้าประทับนั่ง วางบาตรไว้ ณ เชิงบาตร พวกคนก็จัดแจงอาหารเช้าแก่มาณพ. มาณพนั้น นั่งบริโภค ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง แล้วกลับมายืน ณ ที่ใกล้พระศาสดา ฟังภัตตานุโมทนา กลับไปยังวิหารพร้อมกับพระผู้มีพระภาคเจ้าทีเดียว.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรอให้ภิกษุทั้งหลายเสร็จภัตตกิจ ประทับนั่ง ณ ศาลาคันธมณฑลนั้น. ครั้นภิกษุทั้งหลายกระทําภัตตกิจเสร็จ พากันเก็บบาตรและจีวรมาไหว้ กราบทูลกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จเข้าคันธกุฎี. แม้มาณพก็เข้าไปด้วยกันกับพระผู้มีพระภาคเจ้าเหมือนกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนที่หน้ามุขพระคันธกุฎี ทรงสั่งสอนหมู่ภิกษุที่มาแวดล้อมแล้วให้แยก

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 259

ย้ายกันไปแล้ว จึงเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี. มาณพก็เข้าไปด้วย พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงประทับนั่งที่เตียงเล็ก ชั่วเวลาเล็กน้อย. แม้มาณพก็นั่งพิจารณาดูอยู่ในที่ไม่ไกล. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งชั่วครู่หนึ่ง จึงทรงแสดงการก้มพระเศียร. (๑) มาณพคิดว่า จักเป็นเวลาประทับพักผ่อนของพระโคดมผู้เจริญ แล้วปิดประตูพระคันธกุฎี ออกไปนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง. พวกคนถวายทานในกาลก่อนแห่งภัตร บริโภคอาหารเข้าแล้ว สมาทานองค์อุโบสถ ห่มผ้าสะอาดถือดอกไม้และของหอมเป็นต้น มาสู่วิหารด้วยคิดว่า จักฟังธรรม เหมือนกับเป็นค่ายของพระเจ้าจักรพรรดิฉะนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสําเร็จสีหไสยาสน์ชั่วครู่หนึ่ง ทรงลุกขึ้น ทรงกําหนดโดยส่วนเบื้องต้น เข้าสมาบัติ. ครั้นออกจากสมาบัติแล้ว ทราบว่ามหาชนพากันมา จึงทรงออกจากพระคันธกุฎี อันมหาชนแวดล้อมแล้ว เสด็จไปยังศาลาคันธมณฑล ประทับบนพุทธอาสน์อันประเสริฐที่เขาปูลาดไว้แล้ว ทรงแสดงธรรมแก่บริษัท. ฝ่ายมาณพนั่งอยู่ ณ ที่ไม่ไกล กําหนดอักขระต่ออักขระ บทต่อบท ด้วยคิดว่า พระสมณโคดม แสดงธรรมยกย่องหรือรุกรานบริษัทด้วยอํานาจอาศัยเรือนหรือ หรือว่าไม่ทรงแสดงอย่างนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสกถาอย่างนั้นเลย ทรงทราบกาล ทรงหยุดเทศนา. มาณพกําหนดอยู่โดยทํานองนี้ เที่ยวไปแต่ผู้เดียวตลอด ๗ เดือน มิได้เห็นความผิดพลาดแม้มีประมาณน้อยในกายทวารเป็นต้นของพระผู้มีพระเจ้า. ก็ข้อนี้ยังไม่น่าอัศจรรย์ที่อุตตรมาณพเป็นมนุษย์มิได้เห็นความผิดพลาดของพระพุทธเจ้า.

เมื่อพระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ เทพบุตรผู้เป็นมาร เป็นอมนุษย์ ก็มิได้เห็น แม้มาตรว่าตรึก (วิตก) อาศัยเรือนในสถานที่ทรงบําเพ็ญความเพียรถึง ๖ ปี ยังติดตาม


(๑) ฉฺ สีโสกฺกมนํ สฺ สีโสกมฺปนํ

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 260

พระองค์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วถึงหนึ่งปี ก็มิได้เห็นความผิดพลาดไรๆ จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า

เราติดตามรอยพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึง ๗ ปี ก็มิได้ประสบความผิดพลาดของพระสัมพุทธเจ้าผู้มีสติ ดังนี้

แล้วหลีกไป. แต่นั้น มาณพจึงคิดว่า เราติดตามพระโคดมผู้เจริญอยู่ถึง ๗ เดือน ก็มิได้เห็นโทษไรๆ แต่ถ้าเราจะพึงติดตามไป แม้อีกสัก ๗ เดือน หรือ๗ ปี หรือ ๑๐๐ ปี หรือ ๑,๐๐๐ ปี ก็คงจะมิได้เห็นโทษของพระองค์ ก็แต่ว่าอาจารย์ของเรานั้นก็แก่เฒ่า คงจะไม่อาจทราบความเกษมจากโยคะ เราจะบอกว่า พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระคุณตามที่เป็นจริงทีเดียว แล้วเล่าเรื่องแก่อาจารย์ของเรา ดังนี้ แล้วทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้า ไหว้ภิกษุสงฆ์ออกไปแล้ว.

ก็แล อุตตรมาณพกลับไปยังสํานักของอาจารย์แล้ว ถูกอาจารย์ถามว่าพ่ออุตตระ กิตติศัพท์ของพระโคดมผู้เจริญที่ขจรไปมีอยู่เช่นนั้นจริงหรือ จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไร จักรวาลคับแคบเกินไป ภวัคคพรหมก็ต่ําเกินไป หมู่คุณของพระโคดมผู้เจริญนั้น หาที่สุดมิได้ ประดุจอากาศ ข้าแต่ท่านอาจารย์ผู้เจริญ กิตติศัพท์ของพระโคดมผู้เจริญนั้น มีอยู่เช่นนั้นแท้จริง ดังนี้ เป็นต้น จึงบอกมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการตามที่ตนเห็นแล้วโดยลําดับแล้ว เล่าถึงกิริยสมาจาร. เพราะฉะนั้น ท่านพระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ฯลฯ พระโคดมผู้เจริญ เป็นเช่นนี้ด้วย เป็นเช่นนี้ด้วย และยิ่งกว่านั้น ดังนี้.

ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุปติฏิตปาโท ความว่า เหมือนอย่างว่า บุคคลทั้งหลายเหล่าอื่นวางเท้าไว้เหนือพื้นดิน ปลายเท้าก็ดี ส้นเท้า

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 261

ก็ดี ด้านข้างก็ดี จะถูกพื้นก่อน หรือว่า กลางเท้าเว้า เมื่อยกขึ้น ส่วนหนึ่งที่ปลายเท้าเป็นต้น จะยกขึ้นก่อน แต่ของพระองค์มิได้เป็นอย่างนั้น. ฝ่าพระบาททั้งสิ้นของพระองค์ จะถูกพื้นพร้อมกันทีเดียว ดุจพื้นลาดพระบาททองฉะนั้น ยกจากพื้นก็พร้อมกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้น มีพระบาทประดิษฐานอยู่เป็นอันดี.

ในข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดีนั้น มีข้อที่น่าอัศจรรย์ดังต่อไปนี้ แม้หากว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่างพระบาทด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักเหยียบเหวลึกถึงหลายร้อยชั่วคน ในทันใดนั้น ที่ที่ลุ่มก็จะนูนขึ้นมาเสมอแผ่นดิน ประดุจเครื่องสูบของช่างทองเต็มด้วยลมฉะนั้น. แม้ที่ดอนจะเข้าไปอยู่ภายใน เมื่อทรงย่างพระบาทด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักเหยียบในที่ไกล ภูเขาแม้มีประมาณเท่าสิเนรุบรรพต ก็จะน้อมมาใกล้พระบาทประดุจหน่อหวายที่ชุ่มน้ำแล้วฉะนั้น.

จริงอย่างนั้น เมื่อคราวพระองค์ทรงกระทํายมกปาฏิหาริย์ ทรงย่างพระบาทด้วยตั้งพระทัยว่า จักเหยียบภูเขายุคนธร ภูเขาก็น้อมมาใกล้พระบาท. พระองค์ทรงเหยียบภูเขานั้น ทรงย่างพระบาทเหยียบภพดาวดึงส์ด้วยพระบาทที่สอง. ที่พระจักรลักษณะจะพึงประดิษฐานไม่เสมอกันมิได้มี. ตอก็ดี หนามก็ดี ก้อนกรวดกระเบื้องก็ดี อุจจาระปัสสาวะก็ดี น้ำลายน้ำมูกเป็นต้นก็ดี ที่มีอยู่ก่อนเทียว ก็หายไป หรือจมหายเข้าแผ่นดินในที่นั้นๆ.

จริงอยู่ ด้วยเดชแห่งศีล ปัญญา ธรรม อานุภาพแห่งบารมี ๑๐ ประการ ของพระตถาคตเจ้า มหาปฐพีนี้ย่อมเสมอ นุ่ม เกลื่อนกล่นด้วยบุปผชาติ. พระตถาคตเจ้าทรงทอดพระบาทเสมอ (และ) ทรงยกพระบาทเท่ากัน ทรงสัมผัสแผ่นดินด้วยพื้นพระบาททุกส่วน.

บทว่า จกฺกานิ คือ ที่พระบาททั้ง ๒ ได้มีลายจักรข้างละ ๑ ลายจักร. ท่านกล่าวไว้ในพระบาลีว่า ที่จักรนั้นมีกํา กง ดุม.

ก็และด้วยบทว่า บริบูรณ์

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 262

ด้วยอาการทั้งปวง นี้พึงทราบความต่างกัน ดังต่อไปนี้.

ได้ยินว่า จักรเหล่านั้น ย่อมปรากฏลายดุมตรงกลางพื้นพระบาท. ปรากฏลายเขียนวงกลมรอบดุม. ที่ปากดุมก็ปรากฏวงกลม. ปรากฏเป็นปากช่อง. ปรากฏเป็นซี่กํา. ปรากฏเป็นลวดลายกลมที่กําทั้งหลาย. ปรากฏเป็นกง. ปรากฏเป็นกงแก้ว. นี้มาตามพระบาลีก่อนทีเดียว.

แต่วาระส่วนมากมิได้มาแล้ว. ก็วาระนั้น พึงทราบดังนี้.

รูปหอก ๑ รูปโคขวัญ ๑ รูปแว่นส่องพระพักตร์ ๑ รูปสังข์ทักษิณาวัฏฏ์ ๑ รูปดอกพุดซ้อน ๑ รูปเทริด ๑ รูปปลาทั้งคู่ ๑ รูปเก้าอี้ ๑ รูปปราสาท ๑ รูปเสาค่าย ๑ รูปเศวตฉัตร ๑ รูปพระขรรค์ ๑ รูปพัดใบตาล ๑ รูปพัดหางนกยูง ๑ รูปพัดหางนก ๑ รูปกรอบพระพักตร์ ๑ รูปธงชายผ้า ๑ รูปพวงดอกไม้ ๑ รูปดอกบัวเขียว ๑ รูปดอกบัวขาว ๑ รูปดอกบัวแดง ๑ รูปดอกบัวหลวง ๑ รูปดอกบุณฑริก ๑ รูปหม้อเต็มด้วยน้ำ ๑ รูปถาดเต็มด้วยน้ำ ๑ รูปสมุทร ๑ รูปเขาจักรวาล ๑ รูปป่าหิมพานต์ ๑ รูปเขาสิเนรุ ๑ รูปพระจันทร์ ๑ รูปพระอาทิตย์ ๑ รูปหมู่ดาวนักษัตร ๑ รูปมหาทวีปทั้งสี่ ทวีปน้อย ๒ พัน ๑. โดยที่สุดบริวารแห่งจักรลักษณะทั้งสิ้น หมายเอาบริษัทของพระเจ้าจักรพรรดิ.

บทว่า มีพระส้นยาว คือ พระส้นยาว หมายความว่า มีพระส้นบริบูรณ์. เหมือนอย่างว่าปลายเท้าของคนเหล่าอื่นยาว แข้งตั้งอยู่ ณ ที่สุดส้นเท้า ส้นย่อมปรากฏดุจถากตั้งไว้ แต่ของพระตถาคตเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น. สําหรับของพระตถาคตเจ้าใน ๔ ส่วน เป็นปลายเท้าเสีย ๒ ส่วน. แข้งตั้งอยู่ส่วนที่สาม. ในส่วนที่ ๔ ส้นเท้าเป็นเช่นกับลูกกลมทําด้วยผ้ากัมพลแดงดุจหมุนติดอยู่ปลายเหล็กแหลมฉะนั้น.

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 263

บทว่า มีพระองคุลียาว ความว่า เหมือนอย่างว่า คนเหล่าอื่นบางคนนิ้วยาว บางคนนิ้วสั้น ของพระตถาคตเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น. ส่วนของพระตถาคตเจ้า นิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทยาว โคนหนาเรียวเล็กขึ้นไปโดยลําดับจนถึงปลาย ดุจนิ้ววานร เป็นดุจลําเทียนที่ขยําด้วยน้ำมันยางไม้ปั้นไว้. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า พระองคุลียาว.

บทว่า ทรงมีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม ได้แก่ ชื่อว่ามีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม เพราะอรรถว่า อ่อนดุจปุยนุ่นที่เขายีถึง ๑๐๐ ครั้ง จุ่มด้วยเนยใสวางไว้ และมีพระหัตถ์และพระบาทอ่อนนุ่มอยู่เป็นนิจดุจของเด็กแรกเกิด.

บทว่า ทรงมีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทเป็นลายตาข่าย ได้แก่ ระหว่างนิ้วไม่ติดกับหนัง. ก็บุคคลเช่นนี้ มีมือดุจพังพานอันปุริสโทษขจัดเสียแล้ว ย่อมไม่ได้แม้การบรรพชา. แต่ของพระตถาคตเจ้า นิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๔ นิ้วพระบาททั้ง ๕ มีขนาดเป็นอันเดียวกัน. เพราะนิ้วเหล่านั้นมีขนาดเป็นอันเดียวกัน ลักษณะจึงเบียดซึ่งกันและกันตั้งอยู่. ก็พระหัตถ์และพระบาทของพระตถาคตเจ้านั้น เช่นกับตาข่ายบานประตูหน้าต่างที่ช่างไม้ผู้ฉลาดขึงประกอบไว้. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทเป็นลายตาข่าย.

ชื่อว่า ทรงมีพระบาทสูงนูน เพราะอรรถว่าพระบาทของพระองค์สูงนูน เพราะมีข้อพระบาทตั้งอยู่ในเบื้องบน. แท้จริง ข้อเท้าของคนเหล่าอื่นมีที่หลังเท้า. เพราะฉะนั้น เท้าของคนเหล่าอื่น กระด้างเหมือนตอกลิ่ม ไม่หมุนได้ตามสะดวก. เมื่อเดินไปพื้นเท้าไม่ปรากฏ. แต่ของพระตถาคตเจ้า ข้อพระบาทขึ้นอยู่เบื้องบน. เพราะฉะนั้น พระกายเบื้องบนของพระองค์ตั้งแต่พระนาภีไป จึงไม่หวั่นไหวดุจสุวรรณปฏิมาที่อยู่บนเรือ พระกายเบื้องล่างเท่านั้น

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 264

ไหว. พระบาทย่อมหมุนไปสะดวก. เมื่อคนยืนดูที่ข้างหน้าก็ดี ข้างหลังก็ดี ที่ข้างทั้งสองก็ดี พื้นเท้าย่อมปรากฏ. ไม่ปรากฏข้างหลังเหมือนของช้างฉะนั้น.

บทว่า ทรงมีพระชงฆ์เรียวดังแข้งเนื้อทราย คือ มีพระชงฆ์เต็มเพราะความนูนของเนื้อชื่อว่ามีพระชงฆ์เหมือนเนื้อทราย ไม่มีเนื้อเป็นก้อนติดเป็นอันเดียวกัน. หมายความว่า ประกอบด้วยแข้งที่มีเนื้อได้ส่วนกันหุ้มแล้วกลมดีเช่นกับท้องข้าวสาลีฉะนั้น.

บทว่า อโนนมนฺโต คือ ไม่ค้อมลง. ด้วยบทนี้ท่านแสดงถึงความที่พระองค์ไม่เป็นคนแคระ ไม่เป็นคนค่อม. คือ คนอื่นๆ เป็นคนแคระก็มี เป็นคนค่อมก็มี. กายข้างหน้าของคนแคระไม่บริบูรณ์. กายท่อนหลังของคนค่อมไม่บริบูรณ์. คนเหล่านั้นก้มลงไม่ได้ ไม่อาจจะลูบเข่าได้ เพราะกายไม่บริบูรณ์. สําหรับพระตถาคตเจ้า ชื่อว่าอาจลูบได้ เพราะมีพระกายทั้งสองแห่งบริบูรณ์.

ชื่อว่า ทรงมีพระคุยหฐานเร้นอยู่ในฝัก เพราะอรรถว่า คุยหฐานตั้งลง คือ ปิดอยู่ในฝัก เช่นกับฝักปทุมทองและดอกกัณณิการ์ เหมือนคุยหฐานของโคอุสภะและช้างเป็นต้น.

บทว่า วตฺถคุยฺหํ ได้แก่ สิ่งที่จะพึงซ่อนเร้นด้วยผ้าท่านเรียกว่า องคชาต.

บทว่า ทรงมีพระฉวีวรรณดังทองคํา ความว่า เช่นกับรูปเปรียบทองคําแท่งที่เขาระบายด้วยชาดแดง ขัดด้วยเขี้ยวเสือ ทําการระบายสีแดงวางไว้. ด้วยคํานี้ท่านพระสังคีติกาจารย์ แสดงความที่พระองค์มีสรีระละเอียดสนิทเป็นแท่งแล้ว จึงกล่าวว่า ทรงมีผิวพรรณผ่องใสดุจทอง ก็เพื่อแสดงถึงพระฉวีวรรณ. อีกนัยหนึ่งคํานี้เป็นไวพจน์ของคําก่อนนั้น.

บทว่า รโชชลฺลํ ได้แก่ ธุลีหรือมลทิน.

บทว่า น อุปลิมฺปติ ได้แก่ ไม่ติด ย่อมหายไปเหมือนหยาดน้ำกลิ้งไปจากใบบัว. ถึงกระนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงกระทําการล้างพระหัตถ์และล้างพระบาทเป็นต้น เพื่อ

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 265

รับไออุ่น และเพื่อผลบุญแก่ทายกทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง ย่อมทรงกระทําโดยเป็นกิจวัตรทีเดียว. ธรรมดาภิกษุผู้จะเข้าสู่เสนาสนะจะต้องล้างเท้าแล้วจึงเข้าไป ท่านกล่าวไว้เช่นนี้ ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า อุทฺธคฺคโลโม ความว่า ชื่อว่ามีพระโลมาปลายงอนขึ้น เพราะอรรถว่า พระโลมาของพระองค์มีปลายตั้งขึ้นที่ปลายผมเป็นม้วนกลมตั้งอยู่ เหมือนจะมองดูความงามแห่งดวงหน้า.

บทว่า ทรงมีพระกายตรงดังพรหม ความว่า มีพระกายตรงดุจพรหม คือ มีพระสรีระสูงขึ้นไปตรงทีเดียว. ธรรมดาสัตว์โดยมากจะน้อมลงในที่ ๓ แห่ง คือ ที่คอ ที่สะเอว ที่เข่า. คนเหล่านั้น เมื่อน้อมไปที่สะเอว ก็จะเอนไปข้างหลัง. ที่น้อมไปที่ที่ทั้งสองนอกนี้ก็จะเอนไปข้างหน้า. บางพวกมีร่างกายสูง มีสีข้างคด. บางพวกหน้าเชิดเที่ยวไป เหมือนคอยนับหมู่ดาวนักษัตรอยู่. บางพวกมีเนื้อและเลือดน้อย ดุจหลาว เดินสั่นอยู่. แต่พระตถาคตเจ้าตรงขึ้นไปสูงพอประมาณ เป็นเหมือนเสาค่ายทองที่เขายกขึ้น ณ เทพนครฉะนั้น.

บทว่า ทรงมีพระกายเต็มในที่ทั้ง ๗ คือ พระตถาคตเจ้านั้นมีพระมังสะเต็มในที่ ๗ แห่งเหล่านี้คือ หลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ หลังพระบาททั้ง ๒ จงอยบ่าทั้ง ๒ พระศอ ๑ ฉะนั้น จึงชื่อว่ามีพระกายเต็มในที่ ๗ แห่ง. ส่วนของคนเหล่าอื่นปรากฏเส้นเอ็นเป็นร่างแหที่หลังมือหลังเท้า ที่จงอยบ่าและที่คอตรงปลายเป็นกระดูก. คนเหล่านั้น ย่อมปรากฏดุจดังมนุษย์เปรต. พระตถาคตเจ้าหาเป็นเช่นนั้นไม่. คือพระตถาคตเจ้าทรงมีพระศอเช่นกับเขาสัตว์ทอง ที่ขัดด้วยหลังมือแล้ววางไว้ด้วยร่างแหเอ็นเป็นเครื่องปกปิด ชื่อว่าย่อมปรากฏเหมือนรูปศิลาและรูปจิตรกรรม เพราะมีพระมังสะเต็มในที่ ๗ แห่ง.

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 266

ชื่อว่ามีพระกายเต็มดังกึ่งกายท่อนหน้าแห่งสีหะ เพราะกายของพระองค์ดุจท่อนหน้าแห่งสีหะ. คือกายท่อนหน้าแห่งสีหะบริบูรณ์ กายท่อนหลังไม่บริบูรณ์. ส่วนของพระตถาคตเจ้า พระกายทั้งหมดบริบูรณ์ดุจกายท่อนหน้าของสีหะ. แม้พระกายนั้นใช่ว่าจะตั้งอยู่ไม่ดีไม่งาม เพราะโอนไปเอนไปเป็นต้น ในที่นั้นๆ ดุจของสีหะหามิได้. แต่ยาวในที่ที่ควรยาว. ในที่ที่ควรสั้น ควรหนา ควรกลม ก็เป็นเช่นนั้นเทียว.

สมดังที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อผลของกรรมเป็นที่ชอบใจปรากฏแล้ว ย่อมงามด้วยอวัยวะยาวเหล่าใด อวัยวะเหล่านั้นยาวก็ดํารงอยู่ ย่อมงามด้วยอวัยวะสั้นเหล่าใด อวัยวะสั้นเหล่านั้นก็ดํารงอยู่ ย่อมงามด้วยอวัยวะหนาเหล่าใด อวัยวะหนาเหล่านั้นก็ดํารงอยู่ ย่อมงามด้วยอวัยวะบางเหล่าใด อวัยวะบางเหล่านั้นก็ดํารงอยู่ ย่อมงามด้วยอวัยวะกลมเหล่าใด อวัยวะกลมเหล่านั้นก็ดํารงอยู่ อัตตภาพของพระตถาคตเจ้า ความวิจิตรต่างๆ สั่งสมแล้ว ด้วยความวิจิตรแห่งบุญ อันบารมี ๑๐ ตกแต่งแล้วด้วยประการฉะนี้ ช่างศิลปทั้งปวง หรือผู้มีฤทธิ์ทั้งปวงในโลก ก็ไม่อาจกระทําแม้รูปเปรียบแก่พระตถาคตเจ้าได้ดังนี้

บทว่า จิตนฺตรํ โส ความว่า ระหว่างสีข้างทั้งสอง ท่านเรียกว่ามีสีข้าง. สีข้างนั้นของพระองค์งดงาม คือ บริบูรณ์ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงชื่อว่า จิตนฺตรํ โส แปลว่า มีพระปฤษฎางค์เต็ม. ส่วนสีข้างของคนอื่นนั้นต่ํา. สีข้างด้านหลังทั้งสองย่อมปรากฏแยกกัน. ส่วนของพระตถาคตเจ้าชั้นเนื้อตั้งแต่สะเอวถึงพระศอขึ้นปิดหลังตั้งอยู่ ดุจแผ่นทองที่เขายกขึ้นไว้สูง.

บทว่า ทรงมีปริมณฑลดังต้นไทรย้อย ความว่า ทรงมีปริมณฑลดุจต้นไทรย้อย ต้นไทรย้อยมีลําต้นและกิ่งเท่ากัน ๕๐ ศอกบ้าง ๑๐๐ ศอกบ้าง มีประมาณเท่ากันทั้งโดยยาว ทั้งโดยกว้าง ฉันใด มีประมาณเท่ากันทั้งทางพระกาย

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 267

บ้าง ทางวาบ้าง ฉันนั้น. ของคนเหล่าอื่น ทั้งกายทั้งวามีประมาณยาวไม่เท่ากันอย่างนั้น. เพราะฉะนั้นแหละ ท่านจึงกล่าวว่า ยาวตกฺวสฺส กาโย ดังนี้เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตกฺวสฺส ตัดเป็น ยาวตโก อสฺส (ของพระองค์เท่าใด).

บทว่า ทรงมีพระศอกลมเสมอกัน คือ มีพระศอกลมเสมอกัน. คนบางพวกมีคอยาว มีคอคดและมีคอหนา เหมือนนกกะเรียน เหมือนนกยาง ในเวลาพูดเส้นเอ็นบนศีรษะย่อมปรากฏ เสียงออกมาค่อย. ของพระตถาคตเจ้านั้นไม่เป็นอย่างนั้น คือของพระตถาคตเจ้ามีพระศอเช่นกับเขาสัตว์ทอง กลมดี. ในเวลาตรัสเส้นเอ็นไม่ปรากฏ. มีเสียงดังดุจฟ้าร้อง ฉะนั้น.

บทว่า รสตฺตสคฺคี ความว่า ชื่อว่า รสตฺตสา เพราะอรรถว่าประสาทรับรสเลิศ. คํานั้นเป็นชื่อของประสาทเครื่องรับรสอาหาร. ชื่อว่า รสตฺตสคฺคี เพราะอรรถว่า ประสาทเหล่านั้นของพระองค์เป็นเลิศ. ก็ประสาทสําหรับรับรสอาหาร ๗,๐๐๐ ของพระตถาคตเจ้ามีปลายตั้งขึ้นต่อที่คอนั่นเอง. อาหารแม้มีประมาณเท่าเมล็ดงาวางบนปลายลิ้น ย่อมแผ่ไปทั่วพระกายทั้งสิ้น. เพราะเหตุนั้นแหละ เมื่อพระองค์ทรงตั้งความเพียรใหญ่ ทรงยังพระกายให้เป็นไปแม้ด้วยข้าวสารเมล็ดหนึ่งเป็นต้นบ้าง ด้วยอาหารมีประมาณฟายมือหนึ่งแห่งยางถั่วดําบ้าง. แม้ด้วยอาหารมีประมาณฟายมือหนึ่งแห่งยางถั่วดํา แต่ของคนเหล่าอื่น โอชาไม่แผ่ไปตลอดกายทั้งสิ้น เพราะไม่มีเช่นนั้น. เพราะเหตุนั้น ชนเหล่านั้น จึงมีโรคมาก. ลักษณะนี้ย่อมปรากฏด้วยอํานาจแห่งผลที่ไหลออก กล่าวคือความมีอาพาธน้อย.

ชื่อว่า ทรงมีพระหนุดังคางราชสีห์ เพราะอรรถว่า คางของพระองค์ดุจคางแห่งสีหะ. ในบทนั้น คางล่างของราชสีห์ย่อมเต็ม คางบนไม่เต็ม. ส่วนของพระตถาคตเจ้า ย่อมเต็มทั้ง ๒ ข้าง ดุจคางล่างของราชสีห์ย่อมเป็นเช่นกับพระจันทร์แห่งปักษ์ ดิถีที่ ๑๒ ค่ํา.

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 268

พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ เป็นต้น ชื่อว่า ทรงมีพระทนต์ ๔๐ ซี่ เพราะอรรถว่า มี ๒๐ ซี่ที่อยู่พระหนุข้างบน ๒๐ ซี่ที่พระหนุด้านล่าง. คือ ของคนเหล่าอื่นแม้มีฟันเต็มก็มีฟัน ๓๒ ซี่. ส่วนของพระตถาคตเจ้ามี ๔๐ ซี่.

ของคนเหล่าอื่น มีฟันไม่เสมอกันคือ บางพวกมีฟันยาว บางพวกมีฟันสั้น. ส่วนของพระตถาคตเจ้า เสมอกันดุจตัวสังข์ที่เขาขัดไว้เป็นอันดี. (๑)

ของคนเหล่าอื่น ฟันจะห่างเหมือนฟันจรเข้ เมื่อกินปลาและเนื้อเป็นต้นจะเต็มซอกฟัน. ส่วนของพระตถาคตเจ้าจะมีฟันไม่ห่าง ดุจแถวเพชรที่เรียงไว้ดีที่แผ่นลายกนก เหมือนกําหนดที่แสดงด้วยแปรง.

ส่วนฟันของคนเหล่าอื่น ฟันผุตั้งขึ้น. ด้วยเหตุนั้น บางคนเขี้ยวดําบ้าง มีสีต่างๆ บ้าง. ส่วนพระตถาคตเจ้ามีพระเขี้ยวขาวสนิท พระเขี้ยวประกอบด้วยแสงสุก ล่วงพ้นแม้ดาวประจํารุ่ง. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สุสุกฺกทาโ ทรงมีพระเขี้ยวอันขาวงาม.

บทว่า ปหุตชิวฺโห ความว่า ลิ้นของคนเหล่าอื่น หนาบ้าง บางบ้าง สั้นบ้าง ไม่เสมอบ้าง. ส่วนของพระตถาคตเจ้าอ่อน ยาว ใหญ่ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ. พระองค์ม้วนพระชิวหานั้นเหมือนเข็มกฐินสอดช่องนาสิกทั้งสองได้เพราะเป็นชิวหาอ่อน เพื่อบรรเทาความสงสัยของผู้มาตรวจดูลักษณะนั้น. จะสอดช่องพระกรรณทั้งสองได้ เพราะพระชิวหายาว. จะปิดพระนลาฏแม้ทั้งสิ้นอันมีชายพระเกศาเป็นที่สุดได้ เพราะพระชิวหาใหญ่. เมื่อประกาศว่า พระชิวหานั้นอ่อน ยาวและใหญ่ ย่อมบรรเทาความสงสัยได้ ด้วยประการฉะนี้. ท่านพระสังคีติกาจารย์อาศัยชิวหาที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะสามประการฉะนี้ จึงกล่าวว่า ปหุตชิวฺโห ดังนี้.


(๑) ฉ. อยมฏฏฉินฺนสงฺขปลํ

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 269

บทว่า พฺรหฺมสฺสโร ความว่า คนเหล่าอื่นมีเสียงขาดบ้าง มีเสียงแตกบ้าง มีเสียงดุจกาบ้าง. ส่วนพระตถาคตเจ้า ทรงประกอบด้วยเสียงเช่นกับเสียงมหาพรหม. คือเสียงของมหาพรหม ชื่อว่า แจ่มใส เพราะไม่ถูกดีและเสมหะพัวพัน. กรรมที่พระตถาคตเจ้าทรงบําเพ็ญย่อมยังวัตถุแห่งเสียงนั้นให้บริสุทธิ์. เสียงที่ตั้งขึ้น ตั้งแต่พระนาภี ย่อมแจ่มใส ประกอบด้วยองค์ ๘ ตั้งขึ้น เพราะวัตถุบริสุทธิ์. ชื่อว่าทรงมีพระดํารัสดังเสียงนกการเวก เพราะตรัสดุจนกการเวก. หมายความว่า มีพระสุรเสียงไพเราะดุจนกการเวกร้องอย่างเมามัน.

ในข้อนั้น การเปล่งเสียงร้องของนกการเวกเป็นอุทาหรณ์. ได้ยินว่า เมื่อนกการเวกจิกมะม่วงสุกอันมีรสหวานอร่อยด้วยจะงอยปาก ลิ้มรสที่ไหลออกแล้วให้จังหวะด้วยปีกกู้ก้องอยู่ สัตว์จตุบาทเป็นต้นย่อมเหมือนเคลิบเคลิ้มเริ่มงงงวย. สัตว์จตุบาทแม้ที่ขวนขวายหาอาหารก็ทิ้งหญ้าที่อยู่ในปากเสีย ฟังเสียงนกนั้น. แม้พวกมฤค กําลังติดตามเนื้อน้อยๆ อยู่ก็ไม่ย่างเท้าที่ยกขึ้นแล้วหยุดอยู่. แม้เนื้อที่ถูกติดตามก็เลิกกลัวตายหยุดอยู่. แม้นกที่บินไปในอากาศก็ห่อปีกหยุดบิน. ปลาในน้ำก็ไม่โบกครีบ ฟังแต่เสียงนั้นหยุดอยู่. นกการเวกร้องไพเราะด้วยประการฉะนี้.

แม้พระเทวีของพระเจ้าธรรมาโศก พระนามว่า อสันธิมิตตา ถามพระสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ เสียงของใคร เหมือนกับพระสุรเสียงของพระพุทธเจ้ามีบ้างหรือ.

พระสงฆ์. มีเสียงนกการเวก.

พระนาง. ท่านผู้เจริญ นกเหล่านั้นอยู่ที่ไหน.

พระสงฆ์. อยู่ที่ป่าหิมพานต์.

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 270

พระนางนั้นกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันใคร่จะเห็นนกการเวก. พระราชาทรงเปิดกรงทอง ตรัสว่า ขอนกการเวกจงมาจับอยู่ที่กรงนี้. กรงจึงไปอยู่ข้างหน้านกการเวกตัวหนึ่ง. นกนั้นคิดว่า กรงมาตามพระราชโองการ ไม่อาจเพื่อจะไม่ไป จึงจับอยู่ที่กรงนั้น. กรงจึงมาอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชา. แต่ใครๆ ก็ไม่อาจให้นกการเวกส่งเสียงได้. ลําดับนั้นพระราชาตรัสว่า พนาย นกพวกนี้จะส่งเสียงร้องได้อย่างไร. อํามาตย์ทูลว่า ขอเดชะ นกพวกนี้ เห็นพวกญาติแล้วจะส่งเสียงร้องได้. ทีนั้น พระราชาจึงทรงรับสั่งให้วงล้อมด้วยกระจก. นกนั้นครั้นเห็นเงาของตนเอง สําคัญว่าญาติของเรามาแล้ว จึงให้จังหวะด้วยปีก ร้องด้วยเสียงอันไพเราะดุจคนเป่าปี่แก้วฉะนั้น. พวกมนุษย์ในพระนครทั้งสิ้นงวยงงแล้วเหมือนคนเมา. พระนางอสันธิมิตตา คิดว่า สัตว์ดิรัจฉานนี้ยังมีเสียงไพเราะ เช่นนี้ก่อน เสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ถึงศิริแห่งสัพพัญุตญาณ จะไพเราะเพียงไหนหนอ จึงเกิดปีติไม่ละปีตินั้น ทรงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วยนางสนม ๗๐๐. เสียงของนกการเวกไพเราะด้วยประการฉะนี้. พระสุรเสียงของพระตถาคตเจ้ายังไพเราะกว่านั้นถึงร้อยเท่า พันเท่า. แต่เพราะไม่มีเสียงไพเราะอย่างอื่นจากนกการเวกในโลก ท่านจึงกล่าวว่า กรวิกภาณี ดังนี้.

บทว่า ทรงมีดวงพระเนตรดําสนิท ความว่า มิใช่มีดวงพระเนตรดําทั้งสิ้นเทียว. แต่ดวงพระเนตรของพระองค์ประกอบด้วยสีดําในที่ที่ควรดํา บริสุทธิ์ยิ่งดุจดอกผักตบ. ประกอบด้วยสีเหลืองเช่นกับดอกกรรณิกาในที่ที่ควรเหลือง. ประกอบด้วยสีแดง เช่นกับดอกชบาในที่ที่ควรแดง. ประกอบด้วยสีขาว เช่นกับดาวประกายพรึกในที่ที่ควรขาว. ประกอบด้วยสีดําเช่นกับเมล็ดประคําดีควายในที่ที่ควรดํา ย่อมปรากฏเช่นกับสีหบัญชรแก้วที่ยกขึ้นห้อยไว้ ณ วิมานทอง.

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 271

บทว่า ปขุมํ ในคําว่า โคปขุโม นี้ท่านประสงค์เอาดวงพระเนตรทั้งหมด. ดวงพระเนตรนั้นมีธาตุหนาของลูกโคดํา ใสแจวคล้ายดวงตาของลูกโคแดง หมายความว่า มีดวงพระเนตรเหมือนลูกโคแดงที่เกิดชั่วครู่นั้น. ก็ดวงตาของคนเหล่าอื่นไม่เต็ม ประกอบด้วยนัยน์ตา เฉออกไปบ้าง ลึกไปบ้าง เช่นเดียวกับนัยน์ตาของช้าง หนูและกาเป็นต้น. ส่วนของพระตถาคตเจ้ามีพระเนตรที่อ่อนดําสนิท สุขุมตั้งอยู่ดุจคู่แก้วมณีที่เขาล้างขัดไว้ฉะนั้น.

บทว่า อุณฺณา ได้แก่ พระอุณณาโลม (ขนขาว).

บทว่า ภมุกนฺตเร ความว่า พระอุณณาโลมเกิดเหนือนาสิกตรงกลางคิ้วทั้งสองนั่นเทียว แต่เกิดที่กลางพระนลาฏสูงขึ้นไป.

บทว่า โอทาตา ได้แก่ บริสุทธิ์ มีสีดุจดาวประจํารุ่ง.

บทว่า มุทุ ความว่า เช่นกับปุยฝ้ายที่เขาจุ่มในเนยใส แล้วสลัดถึงร้อยครั้งตั้งไว้.

บทว่า ตูลสนฺนิภา ความว่า เสมอด้วยปุยดอกงิ้วและปุยลดา.

นี้เป็นข้ออุปมาของความที่พระอุณณาโลมนั้นมีสีขาว.

ก็พระอุณณาโลมนั้น เมื่อจับที่ปลายดึงมา จะมีประมาณเท่ากึ่งแขน. ปล่อยไปแล้ว จะขดกลมมีปลายสูงขึ้นอยู่ โดยเป็นทักษิณาวัฏ. ย่อมรุ่งเรืองด้วยศิริอันชื่นใจยิ่ง เหมือนกับฟองเงินที่เขาวางไว้ตรงกลางแผ่นทอง เหมือนสายน้ำนมที่ไหลออกจากหม้อทอง และเหมือนดาวประจํารุ่ง (ดาวพระศุกร์) ในท้องฟ้าอันรุ่งเรืองด้วยแสงอรุณฉะนั้น.

คําว่า อุณฺหิสสีโส นี้ ท่านกล่าวอาศัยอํานาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ มีพระนลาฏเต็ม ๑ มีพระเศียรเต็ม ๑. คือชั้นพระมังสะตั้งขึ้น ตั้งแต่หนวกพระกรรณเบื้องขวาไปปิดพระนลาฏทั้งสิ้น เต็มไปจดหมวกพระกรรณเบื้องซ้ายอยู่ รุ่งเรืองดุจแผ่นกรอบพระพักตร์ ที่พระราชาทรงสวมไว้.

ได้ยินว่านักปราชญ์ทราบลักษณะนี้ของพระโพธิสัตว์ในปัจฉิมภพ จึงได้กระทําแผ่นพระอุณหิสถวายพระราชา. อรรถข้อหนึ่งเท่านี้ก่อน. ส่วนคนเหล่าอื่นมีศีรษะไม่เต็ม. บางคนมีศีรษะดุจหัวลิง บางคนมีศีรษะดุจผลไม้ บางคนมีศีรษะดุจ

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 272

กระดูก บางคนมีศีรษะดุจทะนาน บางคนมีศีรษะงุ้ม. ส่วนของพระตถาคคมีพระเศียรเช่นกับฟองน้ำเต็มดี ดุจวนด้วยปลายเหล็กแหลมไว้.

ชื่อว่ามีพระเศียรกลมดังประดับด้วยกรอบพระพักตร์ เพราะอรรถว่า ส่วนแห่งพระเศียรโพกด้วยแผ่นอุณหิสโดยนัยก่อนในพระสูตรนั้น.

ชื่อว่ามีพระเศียรกลมดังประดับด้วยกรอบพระพักตร์ เพราะอรรถว่า มีพระเศียรเป็นปริมณฑล ในที่ทุกส่วนดุจกรอบพระพักตร์ ตามนัยที่สอง.

ก็มหาปุริสลักษณะเหล่านี้ ย่อมเป็นอันท่านแสดงส่วนทั้ง ๔ เหล่านี้คือ กรรม ๑ ผลอันบุคคลพึงเห็นเสมอด้วยกรรม ๑ ลักษณะ ๑ อานิสงส์แห่งลักษณะ ๑ ในลักษณะแต่ละอย่างๆ ท่านยกมากล่าวแสดงไว้เป็นอันกล่าวไว้ดีแล้ว. เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงแสดงกรรมเป็นต้นเหล่านี้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในลักขณสูตรแล้วกล่าวเถิด. เมื่อไม่อาจวินิจฉัยด้วยสามารถแห่งพระสูตร ก็พึงถือเอาโดยนัยที่กล่าวไว้ในอรรถกถาแห่งพระสูตรนั่นเทียว ในอรรถกถาฑีฆนิกายชื่อสุมังคลวิลาสินี เทอญ.

บทว่า อิเมหิ โข โส โภ ภวํ โคตโม ความว่า อุตตรมาณพกล่าวคําเป็นต้นว่า คจฺฉนฺโต โข ปน ดังนี้ เพื่อจะแสดงแม้เนื้อความนี้แล้ว บอกถึงพระกิริยาและพระอาจาระว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ผู้เจริญ พระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้น ทรงประกอบด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการเหล่านี้ ทรงเที่ยวไป ประหนึ่งเสาค่ายทองอันวิจิตรด้วยแก้ว ที่บุคคลยกขึ้นในเทพนคร ประดุจต้นปาริฉัตรมีดอกบานสะพรั่งสูงถึง ๑๐๐ โยชน์ ประดุจต้นสาละมีดอกบานเต็มในระหว่างภูเขา ดุจพื้นท้องฟ้าที่เรียงรายไปด้วยหมู่ดาว ประดุจทําโลกให้สว่างอยู่ด้วยศิริสมบัติของพระองค์ฉะนั้น

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 273

บทว่า ทกฺขิเณน ความว่า ก็เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ประทับยืนก็ดี ประทับนั่งก็ดี บรรทมก็ดี เมื่อจะทรงพระดําเนิน ทรงก้าวพระบาทเบื้องขวาก่อน. ได้ยินว่า นี้เป็นพระปาฏิหาริย์โดย ๗ ส่วน.

บทว่า นาติทูเร ปาทํ อุทฺธรติ ความว่า ทรงยกพระบาทเบื้องขวานั้น ทรงพระดําริว่า จะไม่ทรงวางพระบาทให้ไกลนัก. คือทรงยกพระบาทขวาไกลนัก พระบาทซ้ายจะถูกลากไป แม้พระบาทเบื้องขวา ก็ไปไกลไม่ได้ จะพึงวางอยู่ชิดๆ กันทีเดียว. เมื่อเป็นอย่างนี้ ย่อมชื่อว่า เป็นการจํากัดก้าวไป. แต่เมื่อย่างพระบาทเบื้องขวาพอประมาณ แม้พระบาทเบื้องซ้าย ก็ย่อมยกขึ้นพอประมาณดุจกัน. เมื่อยกพอประมาณ แม้ทรงวาง ก็วางได้พอประมาณเหมือนกัน. ด้วยการทรงพระดําเนินอย่างนี้ หน้าที่ของพระบาทเบื้องขวาของพระตถาคตเจ้า ก็ย่อมเป็นอันกําหนดแล้วด้วยพระบาทเบื้องซ้าย หน้าที่ของพระบาทเบื้องซ้ายก็เป็นอันกําหนดแล้วด้วยพระบาทเบื้องขวา บัณฑิตพึงทราบด้วยประการฉะนี้.

บทว่า นาติสีฆํ ความว่า ไม่ทรงพระดําเนินเร็วเกินไปเหมือนภิกษุเดินไปเพื่อรับภัตรในวิหาร เมื่อเวลาจวนแจแล้ว. (๑)

บทว่า นาติสนิกํ ความว่า ไม่ทรงพระดําเนินช้านัก เหมือนอย่างภิกษุที่มาภายหลังย่อมไม่ได้โอกาสฉะนั้น.

คําว่า อทฺธเวน อทฺธวํ คือ พระชันนุกระทบกับพระชันนุ เข่ากับเข่ากระทบกัน.

บทว่า น สตฺถิํ ความว่า ทรงยกพระอูรุสูงขึ้นเหมือนเดินไปในน้ำลึก.

บทว่า น โอนาเมติ ความว่า ไม่ทรงทอดพระอูรุไปข้างหลัง เหมือนการทอดเท้าไปข้างหลังของคนตัดกิ่งไม้.

บทว่า ไม่ทรงเอนไป คือ ไม่ทรงทําให้ติดกัน เหมือนย่ําเท้ากับที่ซึ่งเปียกแล้ว.

บทว่า ไม่ทรงโคลงไป คือ


(๑) ฎีกา อุปกฏ าย เวลาย.

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 274

ไม่ทรงโยกโย้ไปมาเหมือนชักหุ่นยนต์.

บทว่า อารทฺธกาโยว (๑) ความว่า พระกายด้านล่างเท่านั้นไม่โยกไป. พระกายส่วนบนไม่หวั่นไหว เหมือนรูปทองที่เขาวางไว้ในเรือ. ก็เมื่อบุคคลยืนแลดูอยู่ในที่ไกลจะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายประทับยืน หรือทรงพระดําเนิน.

บทว่า กายพเลน ความว่า ไม่ทรงเหวี่ยงพระพาหา เสด็จพระดําเนินไปด้วยกําลังกายทั้งที่มีพระเสโทไหลออกจากพระสรีระ.

บทว่า สพฺพกาเยน วา ความว่า ไม่หันพระศอเหลียวหลังดู ด้วยสามารถแห่งการเหลียวดูดุจพระยาช้าง ดังที่กล่าวไว้ในราหุโลวาทสูตร นั่นแล.

ในคําว่า น อุทฺธํ เป็นต้น คือ ไม่ทรงแหงนดูเบื้องบน ดุจกําลังนับดาวนักษัตรอยู่ ไม่ทรงก้มดูเบื้องต่ํา ดุจกําลังแสวงหากากณิก หรือมาสก (๒) ที่หาย ไม่ทรงส่ายไปข้างโน้นข้างนี้ เหมือนกําลังมองดูช้างและม้าเป็นต้น.

บทว่า ยุคมตฺตํ ความว่า เมื่อทรงพระดําเนินทอดพระจักษุประมาณเก้าคืบ ชื่อว่า ทอดพระเนตรประมาณชั่วแอก. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงพระดําเนินทอดพระเนตรมีประมาณเท่านี้ ดุจสัตว์อาชาไนยที่ฝึกดีแล้ว ที่เขาเทียมแอกไว้ฉะนั้น.

บทว่า ตโต จสฺส อุตฺตริํ ความว่า แต่ไม่ควรกล่าวว่าไม่ทรงดูเลยชั่วแอกไป. เพราะฝาก็ดี บานประตูก็ดี กอไม้ก็ดี เถาวัลย์ก็ดี ย่อมไม่อาจกั้นไว้ได้. พันแห่งจักรวาลมิใช่น้อย ย่อมมีเนินเป็นอันเดียวกันทีเดียวแก่พระองค์ผู้เป็นอนาวรณญาณนั้นโดยแท้แล.

บทว่า อนฺตรฆรํ พึงทราบตั้งแต่เสาเขื่อนไป ชื่อว่า ละแวกบ้าน ในมหาสกุลุทายิสูตรในหนหลัง แต่ในที่นี้พึงทราบว่าตั้งแต่ธรณีประตูบ้านไป ชื่อว่า ละแวกบ้าน.

บทว่า น กายํ เป็นต้น ท่านกล่าวเพื่อแสดงว่า ย่อมทรงเข้าไปโดยอิริยาบถตามปกตินั่นเอง. ก็แม้เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงเสด็จเข้าบ้านที่เตี้ยของพวกคนจน หลังคาย่อมสูงขึ้นบ้าง แผ่นดินย่อมทรุดลงบ้าง. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงพระดําเนินไปโดยพระ


(๑) ฉ. อธรกาโย วา

(๒) เงินเท่ากากณิกหนึ่ง หรือมาสกหนึ่ง.

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 275

ดําเนินตามปกตินั่นเอง.

บทว่า นาติทูเร ความว่า ก็ในที่ไกลเกินไป ก็ทรงกลับถอยหลังก้าวหนึ่งหรือสองก้าว แล้วจึงค่อยประทับนั่งลง. ในที่ใกล้เกินไป ก็ทรงก้าวเสด็จไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง สองก้าว แล้วค่อยประทับนั่งลง. เพราะฉะนั้น เมื่อประทับยืนที่ย่างพระบาทใด เสด็จทรงถอยข้างหน้าหรือมาข้างหลังแล้ว จึงจะประทับนั่งได้ ก็จะทรงเปลี่ยนที่ย่างพระบาทนั้น.

บทว่า ปาณินา ความว่า ไม่ทรงเอาพระหัตถ์จับอาสนะมาประทับนั่งเหมือนคนป่วย เพราะโรคลม.

บทว่า ปกฺขิปติ ความว่า บุคคลใดกระทําการงานอะไรๆ เหน็ดเหนื่อยจนล้มไปทั้งยืน แม้บุคคลใดนั่งพิงอวัยวะด้านหน้า เอนกายไปจนถึงอวัยวะด้านหลัง หรือนั่งพิงอวัยวะด้านหลัง เอนกายอย่างนั้นจนถึงอวัยวะด้านหน้า ทั้งหมดนั้น ชื่อว่า พิงกายที่อาสนะ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงกระทําอย่างนั้น ประทับนั่งค่อยๆ ดุจป้องกันของที่ห้อยอยู่ตรงกลางอาสนะ ดุจวางปุยนุ่นไว้ฉะนั้น.

บทว่า หตฺถกุกฺกุจฺจํ ความว่า กระทําการเช็ดหยดน้ำที่ขอบปากบาตร คือ กระทําการที่ไม่ได้ระวัง โบกแมลงวันและใช้มือแคะเขี่ยหูเป็นต้น.

บทว่า ปาทกุกฺกุจฺจํ คือ การไม่ระวังเท้า เช่นเอาเท้าถูพื้นเป็นต้น.

บทว่า น ฉมฺภติ แปลว่า ไม่กลัว.

บทว่า น กมฺปติ แปลว่า ไม่จมลง.

บทว่า น เวธติ คือ ไม่หวั่นไหว.

บทว่า น ปริตสฺสติ แปลว่า ไม่สะดุ้ง ด้วยความสะดุ้งเพราะกลัวบ้าง ด้วยการสะดุ้งเพราะทะยานอยากบ้าง. คือภิกษุบางรูปย่อมสะดุ้ง ด้วยความสะดุ้งเพราะกลัวว่า เมื่อพวกคนมาเพื่อประโยชน์ธรรมกถาเป็นต้น ไหว้แล้วยืนอยู่ เราจักอาจเพื่อยึดใจของคนเหล่านั้น กล่าวธรรมหรือหนอ เมื่อถูกถามปัญหาแล้วจักอาจวิสัชนาได้ หรือจักอาจกระทําอนุโมทนาได้หรือ. ภิกษุบางรูปก็คิดว่าข้าวยาคูที่ชอบใจจะมาถึงเราหรือหนอ หรือว่าของเคี้ยวชนิดของว่างที่ชอบใจจะมาถึงเรา และก็สะดุ้งด้วย

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 276

ความสะดุ้งเพราะตัณหา. เพราะความสะดุ้ง ๒ อย่างนั้นของพระโคดมผู้เจริญนั้นไม่มี เพราะฉะนั้น พระโคดมผู้เจริญจึงไม่ทรงสะดุ้ง.

บทว่า วิเวกาวตฺโต ความว่า เป็นผู้มีใจเวียนมาในวิเวกคือ พระนิพพาน ปาฐะว่า วิเวกวตฺโต ดังนี้ก็มี. ความว่า เป็นผู้ประกอบด้วยวัตร คือความสงัด. การเรียนมูลกัมมัฏฐานแล้วนั่งคู้บัลลังก์ ในที่พักในเวลากลางวันของภิกษุผู้กระทําภัตกิจแล้ว ด้วยสามารถแห่งสมถะ และวิปัสสนา ชื่อว่า วิเวกวัตร. เพราะอิริยาบถของภิกษุผู้นั่งอย่างนี้ย่อมเข้าไปสงบระงับ.

ในบทว่า น ปตฺตํ อุนฺนาเมติ เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า บางรูปย่อมชูบาตรขึ้นเหมือนรองน้ำจากขอบปากบาตร บางรูปลดบาตรลงเหมือนวางไว้ที่หลังเท้า. บางรูปย่อมรับทําให้เนื่องกัน. บางรูปแกว่งไปทางโน้นทางนี้. ความว่า ไม่กระทําอย่างนั้น รับด้วยมือทั้งสองน้อมไปนิดหน่อยรับน้ำ.

บทว่า น สมฺปริวตฺตกํ ความว่า ไม่หมุนบาตร ล้างหลังบาตรก่อน.

บทว่า นาติทูเร ความว่า ไม่เทน้ำล้างบาตร ให้ตกไปไกลจากอาสนะที่นั่ง.

บทว่า น อจฺจาสนฺเน ความว่า ไม่ทิ้งในที่ใกล้เท้านั่นเอง.

บทว่า วิจฺฉฑฺฑิยมาโน ความว่า กระเซ็นไป คือ ไม่เทโดยอาการที่ผู้รับจะเปียก.

บทว่า นาติโถกํ ความว่า ไม่รับเหมือนคนบางคนเป็นผู้มีความปรารถนาลามก แสดงว่าเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยรับเพียงพอกับข้าวกํามือเดียวเท่านั้น.

บทว่า อติพหุํ คือ รับมากเกินไปกว่าที่จะยังอัตตภาพให้เป็นไป.

บทว่า พฺยฺชนมตฺตาย ความว่า ส่วนที่ ๔ แห่งข้าวสุกชื่อว่าพอประมาณแก่กับข้าว. คือคนบางคน เมื่อภัตรถูกใจ ก็รับภัตรมาก เมื่อกับข้าวถูกใจ ก็รับกับข้าวมาก แต่พระศาสดาไม่ทรงรับอย่างนั้น.

บทว่า น จ พฺยฺชเนน ความว่า ก็บริโภคแต่ภัตรอย่างเดียว เว้นกับข้าวที่ไม่ชอบใจ หรือบริโภคแต่กับข้าวอย่างเดียว เว้นภัตร ชื่อว่า น้อมคําข้าวเกินกว่ากับข้าว.

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 277

พระศาสดาทรงรับภัตรมีสิ่งอื่นแกม ทั้งภัตรทั้งกับข้าวพอประมาณกัน.

บทว่า ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ ความว่า โภชนะที่พระชิวหาใหญ่ของพระตถาคตเจ้านําเข้าไป ย่อมเหมือนไล้ด้วยแป้งที่เขาทําให้ละเอียดพอพระทนต์บด ๒ - ๓ ครั้งเท่านั้น. ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอย่างนั้น.

บทว่า มุเข อวสิฏา ความว่า ย่อมล่วงเข้าไปสู่ลําคอเหมือนหยาดน้ำที่ตกลงในใบบัว เพราะฉะนั้น จึงไม่เหลืออยู่.

บทว่า รสํ ปฏิสํเวเทติ คือ ทรงทราบรสมีหวานขม และเผ็ดเป็นต้น. ก็สําหรับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเหมือนกับใส่ทิพยโอชะลงโดยที่สุดพร้อมกับน้ำเสวย. เพราะฉะนั้น ย่อมปรากฏรสในอาหารทั้งหมดเทียว แก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย. แต่ความใคร่ในรสไม่มี.

บทว่า อฏงฺคสมนฺนาคตํ คือ ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการที่กล่าวไว้ว่า ไม่เสวยเพื่อเล่นเป็นต้น.

คําวินิจฉัยของบทนั้นมาแล้วในวิสุทธิมรรค ฉะนั้น คํานี้ท่านกล่าวไว้ในสัพพาวสูตร. (๑)

ถามว่า ข้อว่า เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว พระศาสดาทรงกระทําอย่างไร.

ตอบว่า พระศาสดาทรงล้างส่วนที่พระหัตถ์จับบาตรก่อน. ทรงจับบาตรที่ตรงนั้นแล้ว ส่งฝ่าพระหัตถ์ที่เป็นลายตาข่ายกลับไปมา ๒ ครั้ง. อามิสทั้งหมดที่บาตรจะหลุดไปเหมือนน้ำในใบบัวที่ตกไปด้วยอาการเพียงเท่านี้.

บทว่า น จ อนตฺถิโก ความว่า เหมือนอย่างภิกษุบางรูปวางบาตรไว้ที่เชิงบาตรไม่เช็ดน้ำที่บาตร เพ่งดูแต่ธุลีที่ตกไปฉันใด พระองค์ไม่ทรงกระทําอย่างนั้น.

บทว่า น จ อติเวลานุรกฺขี ความว่า เหมือนอย่างภิกษุบางรูปตั้งการรักษาไว้เกินประมาณ หรือฉันแล้วเช็ดน้ำที่บาตรแล้วสอดเข้าไปในระหว่างกลีบจีวร ถือบาตรแนบไปกับท้องนั่นเอง แต่พระศาสดาไม่ทรงกระทําเหมือนอย่างนั้น.


(๑) ม. ๑/๑๒

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 278

บทว่า น จ อนุโมทนสฺส ความว่า ก็ภิกษุใดพอฉันเสร็จแล้ว เมื่อพวกเด็กๆ ร้องไห้อยู่ เพื่อจะกินข้าว พอเมื่อพวกคนหิว กินแล้วยังไม่มาเลย ก็เริ่มอนุโมทนา. ต่อแต่นั้น บางพวกก็ทิ้งงานทั้งสิ้นมา บางพวกยังไม่ทันมา. ผู้นี้ย่อมยังเวลาให้ล่วงไปเร็วนัก. แม้บางรูปเมื่อพวกคนมาไหว้แล้วนั่งลง เพื่อประโยชน์แก่อนุโมทนา ก็ยังไม่กระทําอนุโมทนา ตั้งถ้อยคําเฉพาะเป็นต้นว่า เป็นอย่างไร ติสสะ ปุสสะเป็นอย่างไร สุมนเป็นอย่างไร พวกท่านไม่เจ็บป่วยด้วยไข้หรือ ข้าวปลาดีไหม ดังนี้ ผู้นี้ชื่อว่า ทําเวลาแห่งการอนุโมทนาให้เสียไป. แต่เมื่อกล่าวในเวลาที่พวกคนรู้เวลาอาราธนาแล้ว ชื่อว่า ไม่ทําเวลาให้เสียเกินไป พระศาสดาทรงทําอย่างนั้น.

บทว่า น ตํ ภตฺตํ ความว่า ไม่กล่าวติเตียนเป็นต้นว่า นี่ข้าวอะไรกันสวยนัก แฉะนัก.

บทว่า น อฺํ ภตฺตํ ความว่า ก็เมื่อจะกระทําอนุโมทนาด้วยคิดว่า เราจักยังภัตรให้เกิดขึ้นเพื่อการบริโภคอันจะมีในวันพรุ่งนี้ หรือเพื่อวันต่อไป ชื่อว่าย่อมหวังภัตรอื่น. หรือภิกษุใดคิดว่าเราจะกระทําอนุโมทนาต่อเมื่อพวกมาตุคามหุงข้าวสุกแล้ว แต่นั้นเมื่ออนุโมทนาของเรา พวกเขาจะให้ข้าวหน่อยหนึ่งจากข้าวที่ตนหุง แล้วจึงขยายอนุโมทนา แม้ภิกษุนี้ ก็ชื่อว่าย่อมหวัง. พระศาสดาไม่ทรงกระทําอย่างนั้น.

บทว่า น จ มุฺจิตุกาโม ความว่า ก็บางรูปทิ้งบริษัทไว้ไปเสีย พวกภิกษุทั้งหลายจะต้องติดตามไปโดยเร็ว. แต่พระศาสดาไม่ทรงดําเนินไปอย่างนั้น. ทรงดําเนินไปอยู่ท่ามกลางบริษัท.

บทว่า อจฺจุกกฏํ ความว่า ก็รูปใดห่มจีวรยกขึ้นจนติดคาง รูปนั้น ชื่อว่า รุ่มร่าม. รูปใดห่มจนคลุมข้อเท้าเทียว จีวรของรูปนั้น ชื่อว่า รุ่มร่าม. แม้รูปใดห่มยกขึ้นจากข้างทั้งสองเปิดท้องไป จีวรของรูปนั้น ก็ชื่อว่า รุ่มร่าม. รูปใดกระทําเฉวียงบ่าข้างหนึ่งเปิดนมไป รูปนั้นก็ชื่อว่า รุ่มร่าม. พระศาสดาไม่ทรงกระทําอาการอย่างนั้นทุกอย่าง.

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 279

บทว่า อลฺลีนํ ความว่า จีวรของภิกษุเหล่าอื่นชุ่มด้วยเหงื่อติดอยู่ฉันใด ของพระศาสดาย่อมไม่เป็นอย่างนั้น.

บทว่า อปกฏํ ความว่า พ้นจากกายไม่อยู่เหมือนผ้าสาฎกลื่น.

บทว่า วาโต ได้แก่ แม้ลมเวรัมภวาตตั้งขึ้นก็ไม่อาจจะให้ไหวได้.

บทว่า ปาทมณฺฑนานุโยคํ ความว่า ประกอบการทําพระบาทให้สวยงามมีการขัดสีพระกายด้วยอิฐเป็นต้น.

บทว่า ปกฺขาลิตฺวา (ทรงล้างแล้ว) ความว่า ทรงล้างพระบาทด้วยพระบาทนั่นเทียว.

ท่านกล่าว บทว่า โส เนว อตฺตพฺยาพาธาย ไม่เพื่อเบียดเบียนพระองค์เองเป็นต้น เพราะมีปุพเพนิวาสญาณและเจโตปริยญาณ. แต่เห็นความมีอิริยาบถสงบ จึงกล่าวด้วยความคาดคะเนเอา.

บทว่า ธมฺมํ คือ ปริยัติธรรม.

บทว่า น อุสฺสาเทติ ความว่า ไม่กล่าวคํามีอาทิว่า แม้ท่านพระราชา ท่านมหากฎมพีเป็นต้น แล้วยกยอด้วยสามารถแห่งความรักอาศัยเรือน.

บทว่า น อปสาเทติ ความว่า ไม่กล่าวคํามีอาทิว่า ท่านอุบาสก ท่านรู้ทางไปวิหารแล้วหรือ ท่านมาเพราะกลัวหรือ. ภิกษุไม่ปล้นของอะไรเอาหรอก ท่านอย่ากลัว หรือว่า ท่านช่างมีชีวิตตระหนี่เหนียวแน่นอะไรอย่างนี้ แล้วรุกรานด้วยความรักอาศัยเรือน.

บทว่า วิสฺสฏโ ความว่า ไม่ข้อง คือไม่ขัด.

บทว่า วิฺเยฺโย คือ พึงรู้ได้ชัด ปรากฏ. คือพระสุรเสียงนั้นรู้ได้ชัดเจน เพราะสละสลวย.

บทว่า มฺชุ คือ ไพเราะ.

บทว่า สวนีโย คือ สะดวกหู ก็เสียงนั้น ชื่อว่าน่าฟัง เพราะมีความไพเราะนั่นเอง.

บทว่า พินฺทุ คือ กลมกล่อม.

บทว่า อวิสารี คือ ไม่พร่า. ก็เสียงนั้นไม่พร่าเพราะมีความกลมกล่อมนั่นเอง.

บทว่า คมฺภีโร คือ เกิดจากส่วนลึก.

บทว่า นินฺนาที คือ มีความกังวาล. ก็เสียงนั้น ชื่อว่ามีความกังวาล เพราะเกิดจากส่วนลึก.

บทว่า ยถา ปริสํ คือ ย่อมยังบริษัทที่เนื่องเป็นอันเดียวกันแม้มีจักรวาลเป็นที่สุด ให้เข้าใจได้.

บทว่า

 
  ข้อความที่ 50  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 280

พหิทฺธา ความว่า ย่อมไม่ไปนอกจากบริษัท แม้มีประมาณเท่าองคุลี. เพราะเหตุไร เพราะเสียงที่ไพเราะเห็นปานนั้น มิได้ศูนย์ไปโดยใช่เหตุ. เสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมกระจายไปโดยที่สุดแห่งบริษัทด้วยประการฉะนี้.

บทว่า อวโลกยมานา ความว่า คนทั้งหลายวางอัญชลีไว้เหนือเศียร แลดูพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังหันกลับมาไหว้ในที่ที่จะละการเห็นแล้วจึงไป.

บทว่า อวิชหนฺตา ความว่า ก็ผู้ใดฟังพระดํารัสแล้ว ลุกขึ้นยังกล่าวถ้อยคําที่ได้เห็นและได้ฟังเป็นต้น อย่างอื่นจึงไป นี้ชื่อว่าละไปโดยภาวะของตน. คนใดกล่าวสรรเสริญคุณธรรมกถาที่ได้ฟังแล้วจึงไป ผู้นี้ชื่อว่า ไม่ละ ชื่อว่า ย่อมหลีกไปโดยไม่ละไปด้วยอาการอย่างนี้.

บทว่า คจฺฉนฺตํ ความว่า เสด็จไปอยู่ดุจแท่งทองสูงถึง ๑๐๐ ศอก ด้วยสามารถแห่งยนต์คือสายฟ้า.

บทว่า อทฺทสาม ิตํ ความว่า เราได้เห็นพระองค์ประทับยืนอยู่ประดุจภูเขาทองที่เขายกขึ้นตั้งไว้.

บทว่า ตโต จ ภิยฺโย ความว่า เมื่อไม่อาจจะกล่าวคุณให้พิสดารจึงย่อคุณที่เหลือลง กระทําเหมือนแล่งธนูและเหมือนกลุ่มด้าย กล่าวอย่างนั้น.

ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ พระคุณของพระโคดมผู้เจริญนั้น ยังมิได้กล่าวมีมากกว่าคุณที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว เปรียบเหมือนมหาปฐพีและมหาสมุทรเป็นต้นหาที่สุดมิได้ หาประมาณมิได้ กว้างขวางประดุจอากาศฉะนั้นแล.

บทว่า อปฺปฏิสํวิทิโต ความว่า การมาโดยมิได้ทูลให้ทรงทราบ.

ก็ผู้จะเข้าหาบรรพชิต เข้าไปหาในเวลาที่บริกรรมจีวรเป็นต้น หรือในเวลาที่นุ่งผ้าผืนเดียวกําลังดัดสรีระ ก็จะต้องถอยกลับจากเหตุนั้นเทียว. แม้การปฏิสันถารก็จักไม่เกิดขึ้น. แต่เมื่อโอกาสท่านกระทําก่อนแล้ว ภิกษุกวาดที่พักในกลางวัน ห่มจีวรนั่งในที่อันสงัด. ผู้ที่มาเห็นอยู่ก็จะเลื่อมใสแม้ด้วยการเห็นท่าน การปฏิสันถารก็จะเกิดขึ้น. ก็จะได้ทั้งปัญหาพยากรณ์ ทั้งธรรมกถา. เพราะฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายจึงต้องรอโอกาส. และนั้นก็เป็นโอกาสอย่างใด

 
  ข้อความที่ 51  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 281

อย่างหนึ่งของคนเหล่านั้น. เพราะฉะนั้น เขาจึงมีความคิดอย่างนั้น.

พรหมายุพราหมณ์ไม่กล่าวถึงความที่ตนเป็นผู้สูงเป็นต้น กล่าวอย่างนี้ว่า ชิณฺโณ วุฑฺโฒ เพราะเหตุไร. ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ทรงมีพระกรุณา เมื่อทรงทราบว่าเป็นผู้แก่แล้ว จักประทานโอกาสให้โดยเร็ว ฉะนั้นจึงกล่าวอย่างนั้น.

บทว่า โอรมตฺถ โอกาสมกาสิ ความว่า บริษัทนั้นรีบลุกขึ้นแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย ให้โอกาส.

บทว่า เย เม เท่ากับ เย มยา.

บทว่า นารีสมานสวฺหยา ความว่า มีชื่อเสมอด้วยนารี เป็นเพศหญิง ชื่อว่านารีสมานสวหยา เพราะอรรถว่า ร้องเรียกตามเพศแห่งหญิงนั้น พึงกล่าวตามเพศแห่งหญิง ฉะนั้นท่านจึงกล่าวอย่างนี้ เพราะเป็นผู้ฉลาดในโวหาร.

บทว่า ปหุตชิวฺโห ได้แก่ มีพระชิวหาใหญ่.

บทว่า นินฺนามเยตํ แปลว่า ขอพระองค์โปรดนําพระลักษณะนั้นออก. ฃ

บทว่า เกวลี คือ ทรงสมบูรณ์ด้วยพระคุณทั้งสิ้น.

บทว่า ปจฺจภาสิ ความว่า เมื่อถูกถามเพียงครั้งเดียว ก็ทรงพยากรณ์ คือได้ตรัสตอบปัญหาถึง ๘ ข้อ.

บทว่า โย เวที ความว่า ผู้ใดรู้ คือ ทราบภพเป็นที่อยู่อาศัยในกาลก่อนของผู้ใด ปรากฏแล้ว.

บทว่า สคฺคาปายฺจ ปสฺสติ ความว่า ท่านกล่าวถึงทิพยจักษุญาณ.

บทว่า ชาติกฺขยํ ปตฺโต ได้แก่ บรรลุพระอรหัตต์แล้ว.

บทว่า อภิญญาโวสิโต ได้แก่ รู้ยิ่งแล้วซึ่งพระอรหัตต์นั้น เสร็จกิจแล้ว คือถึงที่สุดแล้ว.

บทว่า มุนี ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยธรรมเครื่องความเป็นมุนีคือ อรหัตตญาณ.

บทว่า วิสุทฺธํ ได้แก่ อันผ่องใส.

บทว่า มุตฺตํ ราเคหิ ความว่า พ้นจากราคกิเลสทั้งหลาย.

บทว่า ปหีนชาติมรโณ ได้แก่ ชื่อว่าผู้ละความเกิดได้เพราะถึงความสิ้นชาติแล้ว ชื่อว่าผู้ละมรณะได้แล้ว เพราะละชาติได้นั่นเอง.

บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส เกวลี ความว่า ผู้ประกอบด้วยคุณล้วนแห่งพรหมจรรย์ทั้งสิ้น หมายความว่า ผู้ปกติอยู่ประพฤติพรหมจรรย์คือมรรค ๔ ทั้งสิ้น.

 
  ข้อความที่ 52  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 282

บทว่า ปารคู สพฺพธมฺมานํ ความว่า ผู้ถึงฝังด้วยความรู้ยิ่งซึ่งโลกิยธรรมและโลกุตรธรรมทั้งปวง อธิบายว่า รู้ยิ่งซึ่งสรรพธรรมอยู่.

อีกนัยหนึ่ง บทว่า ปารคู ท่านกล่าวอรรถไว้ดังนี้ว่า ผู้ถึงฝังการกําหนดรู้ขันธ์ ๕ ผู้ถึงฝังด้วยการละกิเลสทั้งปวง ผู้ถึงฝังด้วยภาวนา ซึ่งมรรค ๔ ผู้ถึงฝังด้วยการกระทําให้แจ้งซึ่งนิโรธ ผู้ถึงฝังด้วยการถึงพร้อมซึ่งสมาบัติทั้งปวง ด้วยคําเพียงเท่านี้.

ท่านกล่าวการถึงฝังด้วยอภิญญา ด้วยคําว่า ธรรมทั้งปวง อีกแล.

บทว่า พุทฺโธ ตาทีปวุจฺจติ ความว่า ผู้เช่นนั้น คือ ผู้ถึงฝังด้วยอาการ ๖ ท่านเรียกว่า พระพุทธเจ้า เพราะเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งสัจจธรรมทั้ง ๔ โดยอาการทั้งปวง.

ก็ปัญหาย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงวิสัชนาแล้วด้วยพระดํารัสเพียงเท่านี้หรือ.

ถูกแล้ว เป็นอันวิสัชนาเสร็จทุกข้อ. คือทรงวิสัชนาปัญหาข้อที่หนึ่ง เพราะเป็นผู้มีบาปอันลอยเสียแล้ว ชื่อว่า พราหมณ์ ด้วยพระดํารัสว่า มุนีนั้นรู้จิตอันบริสุทธิ์ อันพ้นแล้วจากราคะทั้งหลายดังนี้.

ด้วยพระดํารัสว่า ถึงฝัง ชื่อว่าถึงเวท เพราะจบเวทแล้ว นี้ย่อมเป็นอันวิสัชนาปัญหาข้อที่สอง.

ด้วยบทเป็นต้นว่า ปุพฺเพนิวาสํ ชื่อว่า ผู้มีวิชชาสามเพราะมีวิชชาสามเหล่านี้ ย่อมเป็นอันวิสัชนาปัญหาข้อที่สาม.

ด้วยพระดํารัสนี้ว่า พ้นจากราคะทั้งหลายโดยประการทั้งปวง นี้ชื่อว่า ผู้มีความสวัสดีเพราะสลัดบาปธรรมออกได้ ย่อมเป็นอันวิสัชนาปัญหาข้อที่สี่.

อนึ่ง ด้วยพระดํารัสนี้ว่า บรรลุถึงความสิ้นชาติ นี้ชื่อว่า ย่อมเป็นอันวิสัชนาปัญหาข้อที่ห้า เพราะตรัสถึงพระอรหัตต์นั่นเทียว.

ย่อมเป็นอันวิสัชนาปัญหาข้อที่หก ด้วยพระดํารัสเหล่านี้คือว่า เป็นผู้เสร็จกิจแล้ว และว่า ชื่อว่าผู้มีคุณครบถ้วนแห่งพรหมจรรย์.

ด้วยพระดํารัสนี้ว่า ผู้นั้นชื่อว่า มุนี ผู้ยิ่งถึงที่สุดแล้ว

 
  ข้อความที่ 53  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 283

ย่อมเป็นอันวิสัชนาปัญหาข้อที่เจ็ด ด้วยพระดํารัสนี้ว่า ชื่อว่า ถึงฝังแห่งธรรมทั้งปวง บัณฑิตกล่าวว่า เป็นพุทธะผู้คงที่ ย่อมเป็นอันวิสัชนาปัญหาข้อที่แปด.

บทว่า ทานกถํ เป็นต้น ท่านให้พิสดารแล้วในพระสูตรก่อนนั่นเทียว.

บทว่า ได้บรรลุ คือ ถึงเฉพาะแล้ว.

บทว่า ธมฺมํ สานุธมฺมํ ความว่า อรหัตตมรรค ชื่อว่าธรรม ในพระสูตรนี้ มรรค ๓ และสามัญญผล ๓ ชั้นต่ํา ชื่อ อนุธรรม สมควรแก่ธรรม อธิบายว่า ได้มรรคและผลเหล่านั้นตามลําดับ.

ข้อว่า ไม่เบียดเบียนเราได้ลําบาก เพราะเหตุแห่งธรรมเลย ความว่า ไม่ยังเราให้ลําบากเพราะเหตุแห่งธรรมเลย อธิบายว่า ไม่ให้เราต้องกล่าวบ่อยๆ.

คําที่เหลือในบททั้งปวงตื้นทั้งนั้น.

ก็ด้วยบทว่า ปรินิพฺพายิ ในบทนั้น พระองค์ทรงถือเอายอดแห่งเทศนาด้วยพระอรหัตต์ทีเดียวแล.

จบอรรถกถาพรหมายุสูตรที่ ๑