๑๐. สคารวสูตร
[เล่มที่ 21] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 451
๑๐. สคารวสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 21]
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 451
๑๐. สคารวสูตร
[๗๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศลพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ สมัยนั้น นางพราหมณีชื่อธนัญชานีอาศัยอยู่ในหมู่บ้านปัจจลกัปปะ เป็นผู้เลื่อมใสอย่างยิ่งในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์นางพลั้งพลาดแล้วเปล่งอุทาน ๓ ครั้งว่า ขอนอบน้อมแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหัตตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจัาพระองค์นั้น.
[๗๓๕] ก็สมัยนั้นแล มาณพชื่อสคารวะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านปัจจลกัปปะ เป็นผู้รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิคัณฑุและคัมภีร์เกฏภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ชํานาญในคัมภีร์โลกายตะและตําราทํานายมหาปุริสลักษณะ เขาได้ฟังวาจาที่นางธนัญชานีพราหมณีกล่าวอย่างนั้น ครั้นแล้วได้กล่าวกะนางธนัญชานี-พราหมณีว่า นางธนัญชานีพราหมณีไม่เป็นมงคลเลย นางธนัญชานีเป็นคนฉิบหาย เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายผู้ทรงไตรวิชามีอยู่ เออก็นางไปกล่าวสรรเสริญคุณของสมณะหัวโล้นนั้นทําไม นางธนัญชานีพราหมณีได้กล่าวว่า ดูก่อนพ่อผู้มีพักตร์อันเจริญ ก็พ่อยังไม่รู้ซึ่งศีลและปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นถ้าพ่อพึงรู้ศีลและพระปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พ่อจะไม่พึงสําคัญ. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นว่า เป็นผู้ควรด่า ควรบริภาษเลยสคารวมาณพกล่าวว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น พระสมณะมาถึงบ้าน
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 452
ปัจจลกัปปะเมื่อใด พึงบอกแก่ฉันเมื่อนั้น นางธนัญชานีพราหมณีรับคําสคารวมาณพแล้ว.
[๗๓๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศลโดยลําดับ เสด็จไปถึงบ้านปัจจลกัปปะ ได้ยินว่า สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในสวนมะม่วงของพวกพราหมณ์ชาวบ้านตุทิใกล้หมู่บ้านปัจจลกัปปะนางธนัญชานีพราหมณีได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงหมู่บ้านปัจจลกัปปะ ประทับอยู่ในสวนมะม่วงของพราหมณ์ชาวบ้านตุทิ ใกล้บ้านปัจจลกัปปะนางจึงเข้าไปหาสคารวมาณพถึงที่อยู่แล้วได้กล่าวกะสคารวมาณพว่า ดูก่อนพ่อผู้มีพักตร์อันเจริญ นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เสด็จมาถึงหมู่บ้านปัจจลกัปปะ ประทับอยู่ในสวนมะม่วงของพวกพราหมณ์ชาวบ้านจุทิใกล้หมู่บ้านปัจจลกัปปะ พ่อจงสําคัญกาลอันควร ณ บัดนี้ สคารวมาณพรับคํานางธนัญชานีพราหมณีแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่งอยู่ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดมมีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เป็นผู้ถึงบารมีชั้นสุดเพราะรู้ยิ่งในปัจจุบัน ย่อมปฏิญาณอาทิพรหมจรรย์ในสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดเป็นผู้ถึงบารมีชั้นที่สุดเพราะรู้ยิ่งในปัจจุบัน ย่อมปฏิญาณอาทิพรหมจรรย์ ท่านพระโคดมเป็นคนไหนของจํานวนสมณพราหมณ์เหล่านั้น.
[๗๓๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดูก่อนภารทวาชะ เรากล่าวความต่างกันแห่งสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ถึงบารมีชั้นที่สุดเพราะรู้ยิ่งในปัจจุบัน แม้จะปฏิญาณอาทิพรหมจรรย์ได้. ดูก่อนภารทวาชะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งเป็นผู้ฟังตามกันมาเพราะการฟังตามกันมานั้น จึงเป็นผู้ถึงบารมีชั้นที่สุดเพราะรู้ยิ่งในปัจจุบัน ย่อมปฏิญาณอาทิพรหมจรรย์ เหมือนพวกพราหมณ์ผู้ทรงไตร
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 453
วิชาฉะนั้น. อนึ่ง มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เป็นผู้ถึงบารมีชั้นที่สุดเพราะรู้ยิ่งในปัจจุบัน ปฏิญาณอาทิพรหมจรรย์ เพราะเพียงแต่ความเธออย่างเดียวเหมือนพวกพราหมณ์นักตรึกนักตรอง ฉะนั้น. มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง รู้ธรรมด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่ได้ฟังตามกันมาก่อน ถึงบารมีชั้นที่สุดเพราะรู้ยิ่งในปัจจุบัน ย่อมปฏิญาณอาทิพรหมจรรย์. ดูก่อนภารทวาชะในสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด รู้ธรรมด้วยปัญญาอันยิ่งเองในธรรมทั้งหลายทีไม่ได้ฟังตามกันมาในก่อนถึงบารมีชั้นที่สุดเพราะรู้ยิ่งในปัจจุบัน ย่อมปฏิญาณอาทิพรหมจรรย์ เราเป็นผู้หนึ่งของจํานวนสมณพราหมณ์เหล่านั้น ข้อนี้พึงรู้ได้โดยบรรยายแม้นี้ เหมือนสมณพราหมณ์เหล่าใด รู้ธรรมด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่ได้ฟังตามกันมาในก่อน ถึงบารมีชั้นที่สุดเพราะรู้ยิ่งในปัจจุบัน ย่อมปฏิญาณอาทิพรหมจรรย์ เราเป็นผู้หนึ่งของจํานวนสมพราหมณ์เหล่านั้น ฉะนั้น.
[๗๓๘] ดูก่อนภารทวาชะ ในโลกนี้ ก่อนแต่การตรัสรู้ เรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ได้มีความคิดเห็นว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทําได้ง่ายถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด สมัยต่อมา เรานั้นยังเป็นหนุ่ม ผมดําสนิท ประกอบด้วยวัยกําลังเจริญ เป็นปฐมวัย เมื่อพระมารดาและพระบิดาไม่ปรารถนา (จะให้บวช) ทรงกันแสงพระเนตรนองด้วยอัสสุชล เราปลงผมและหนวด นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อเราบวชแล้วอย่างนี้แสวงหาว่าสิ่งไรจะเป็นกุศล ค้นหาสันติวรบทอัน ไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่าอยู่ จึงเข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตรถึงสํานักแล้วได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านกาลามะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 454
พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ ดูก่อนภารทวาชะ เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้วอาฬารดาบสกาลามโคตรได้กล่าวว่า อยู่เถิดท่าน วิญูบุรุษทําลัทธิของอาจารย์ตน ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งโดยไม่ช้าในธรรมใดแล้วเข้าถึงอยู่ ธรรมนี้ก็เช่นนั้น เรานั้นเล่าเรียนธรรมนั้นได้โดยฉับพลันไม่นานเลย เรากล่าวญาณวาทและเถรวาทได้ด้วยอาการเพียงหุบปากเจรจา เพียงชั่วกาลที่พูดตอบเท่านั้นอนึ่ง ทั้งเราและผู้อื่นปฏิญาณได้ว่า เรารู้เราเห็น เรามีความคิดเห็นว่าอาฬารดาบสกาลามโคตรจะประกาศว่า เราทําธรรมนี้ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว เข้าถึงธรรมนี้ด้วยเหตุเพียงศรัทธาอย่างเดียวดังนี้หามิได้ ที่แท้อาฬารดาบสกาลามโคตรรู้เห็นธรรมนี้อยู่ได้ถามว่า ท่านกาลามะ ครั้งนั้นเราจึงเข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร ท่านทําธรรมนี้ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้ว ประกาศให้ทราบด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ เมื่อเราถามอย่างนี้อาฬารดาบสกาลามโคตรได้ประกาศอากิญจัญญายตนะ เราได้มีความคิดเห็นว่ามิใช่อาฬารดาบสกาลามโคตรเท่านั้นมีศรัทธา แม้เราก็มีศรัทธา มิใช่อาฬารดาบสกาลามโคตรเท่านั้นมีความเพียร มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา แม้เราก็มีความเพียร มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ถ้ากระไร เราพึงตั้งความเพียร เพื่อจะทําให้แจ้งชัดซึ่งธรรมที่อาฬารดาบสกาลามโคตรประกาศว่า ทําให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่นั้นเถิด เรานั้นได้ทําธรรมนั้นให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่ โดยฉับพลันไม่นานเลย ลําดับนั้น เราได้เข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร แล้วได้ถามว่า ท่านกาลามะ ท่านทําธรรมนี้ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้ว ประกาศให้ทราบด้วยเหตุเพียงเท่านี้หรือหนอ อาฬารดาบสกาลามโคตรจอบว่า อาวุโส เราทําธรรมนี้ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้ว ประกาศให้ทราบด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เราได้กล่าวว่า แม้เราก็ทําธรรมนี้ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่ด้วยเหตุ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 455
เพียงเท่านี้ อาฬารดาบสกาลามโคตรกล่าวว่า อาวุโส เป็นลาภของพวกเราพวกเราได้ดีแล้ว ที่พวกเราพบเพื่อนพรหมจรรย์ ผู้มีอายุเช่นท่าน เราทําธรรมใดให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้วประกาศให้ทราบ ท่านก็ทําธรรมนั้นให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่ ท่านทําธรรมใดให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่ เราก็ทําธรรมนั้นให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้วประกาศให้ทราบ ดังนี้ เรารู้ธรรมใด ท่านก็รู้ธรรมนั้นท่านรู้ธรรมใด เราก็รู้ธรรมนั้น ดังนี้ เราเช่นใด ท่านก็เช่นนั้น ท่านเช่นใดเราก็เช่นนั้น ดังนี้ ดูก่อนอาวุโส บัดนี้เราทั้งสองจงมาอยู่ช่วยกันบริหารหมู่คณะนี้เถิด ดูก่อนภารทวาชะ อาฬารดาบสกาลามโคตรเป็นอาจารย์ของเรา ได้ตั้งเราผู้เป็นศิษย์ไว้เสมอกับคน และบูชาเราด้วยการบูชาอย่างยิ่ง เรามีความคิดเห็นว่า ธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกําหนัด เพื่อดับสนิทเพื่อสงบระงับ เพื่อควานรู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน ย่อมเป็นไปเพียงเพื่ออุบัติในอากิญจัญญายตนพรหมเท่านั้น เราไม่พอใจธรรมนั้น เบื่อจากธรรมนั้นหลีกไป.
[๗๓๙] ดูก่อนภารทวาชะ เราเป็นผู้แสวงหาอยู่ว่าอะไรจะเป็นกุศลค้นหาสันติวรบทอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าอยู่. จึงเข้าไปหาอุทกดาบสรามบุตรถึงสํานักแล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านรามะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว อุทกดาบสรามบุตรได้กล่าวว่า อยู่เถิดท่าน วิญูบุรุษทําลัทธิของอาจารย์ตนให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งโดยไม่ช้าในธรรมใด แล้วเข้าถึงอยู่ ธรรมนี้ก็เช่นนั้น เรานั้นเล่าเรียนธรรมนั้นได้โดยฉับพลันไม่นานเลย ย่อมกล่าวญาณวาทและเถรวาทได้ด้วยอาการเพียงหุบปากเจรจา เพียงชั่วกาลที่พูดตอบเท่านั้น อนึ่ง เราและผู้อื่นปฏิญาณได้ว่า เรารู้เราเห็น เรามีความคิดเห็นว่า รามะจะได้ประกาศธรรมนี้ว่า เราทําให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ด้วยเหตุเพียงศรัทธาอย่างเดียวแล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ หามิได้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 456
ที่แท้ รามรู้เห็นธรรมนี้อยู่ ครั้งนั้น เราได้เข้าไปหาอุทกดาบสรามบุตรแล้วได้ถามว่า ดูก่อนท่านรามะ ท่านทําธรรมนี้ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้ว ประกาศให้ทราบด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ เมื่อเราถามอย่างนี้แล้วอุทกดาบสรามบุตรได้ประกาศเนวสัญญานาสัญญายตนะ. เรานั้นได้มีความคิดเห็นว่า มิใช่ท่านรามบุตรเท่านั้นมีศรัทธา แม้เราก็มีศรัทธา มิใช่ท่านรามบุตรเท่านั้นมีความเพียร มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา แม้เราก็มีความเพียร มีสติมีสมาธิ มีปัญญา ถ้ากระไร เราพึงตั้งความเพียรเพื่อทําให้แจ้งชัด ซึ่งธรรมที่ท่านรามบุตรประกาศว่า เราทําให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่นั้นเถิด เรานั้นได้ทําธรรมนั้นให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่ โดยฉับพลันไม่นานเลย ลําดับนั้น เราได้เข้าไปหาอุทกดาบสรามบุตรแล้วได้ถามว่าท่านรามะ. ท่านทําธรรมนี้ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หรือหนอ อุทกดาบสรามบุตรตอบว่า อาวุโส เราทําธรรมนี้ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้ว ประกาศได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล เรากล่าวว่า อาวุโส แม้เราก็ทําธรรมนี้ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อุทกดาบสรามบุตรกล่าวว่า อาวุโส เป็นลาภของพวกเราพวกเราได้ดีแล้ว ที่พวกเราพบเพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีอายุเช่นท่าน เราทําธรรมใดให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้ว ประกาศให้ทราบ ท่านก็ทําธรรมนั้นให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่ ท่านทําธรรมใดให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วเข้าถึงอยู่ เราก็ทําธรรมนั้นให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้วประกาศให้ทราบ ดังนี้ เรารู้ธรรมใด ท่านก็รู้ธรรมนั้น ท่านรู้ธรรมใด เราก็รู้ธรรมนั้น ดังนี้ เร็วเช่นใด ท่านก็เช่นนั้น ท่านเช่นใด เราก็เช่นนั้น ดังนี้อาวุโส บัดนี้ เชิญท่านมาบริหารหมู่คณะนี้เถิด ดูก่อนภารทวาชะ อุทกดาบสรามบุตรเป็นเพื่อนพรหมจรรย์ของเรา ได้ตั้งเราไว้ในฐานะ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 457
อาจารย์ และบูชาเราด้วยการบูชาอย่างยิ่ง เรามีความคิดเห็นว่า ธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายเพื่อคลายกําหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ย่อมเป็นไปเพียงเพื่ออุบัติในเนวสัญญานาสัญญายตนพรหมเท่านั้น เราจึงไม่พอใจธรรมนั้น เบื่อจากธรรมนั้นหลีกไป.
[๗๔๐] ดูก่อนภารทวาชะ เรานั้นเป็นผู้แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศลค้นหาสันติวรบทอันไม่มีสิ่งอื่นยิ่งขึ้นไปกว่าอยู่ จึงเที่ยวจาริกไปในมคธชนบทโดยลําดับบรรลุถึงอุรุเวลาเสนานิคม ณ ที่นั้น เราได้เห็นภูมิภาคน่ารื่นรมย์ มีไพรสณฑ์น่าเลื่อมใส มีแม่น้ำไหลอยู่ น้ำเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบน่ารื่นรมย์ มีโคจรตามโดยรอบ เรานั้นมีความคิดเห็นว่า ภูมิภาคน่ารื่นรมย์หนอไพรสณฑ์น่าเลื่อมใส แม่น้ำไหลอยู่ น้ำเย็นจืดสนิท มีท่าราบเรียบน่ารื่นรมย์ทั้งโคจรตามมีอยู่โดยรอบ สถานที่นี้สมควรเป็นตั้งความเพียรของกุลบุตรผู้ต้องการความเพียรหนอ เราจึงนั่งอยู่ ณ ที่นั้นเอง ด้วยคิดเห็นว่า สถานที่นี้สมควรเป็นที่ทําความเพียร.
[๗๔๑] ดูก่อนภารทวาชะ อนึ่ง อุปมา ๓ ข้ออันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏก็เราอุปมาข้อที่ ๑ ภารทวาชะ เปรียบเหมือนไม้สด ซุ่มด้วยยาง ทั้งแช่อยู่ในน้ำ ถ้าบุรุษพึงมาด้วยหวังว่าจักเอาไม้นั้น มาสีให้เกิดไฟ จักทําไฟให้ปรากฏ ดังนี้ ดูก่อนภารทวาชะ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉนบุรุษนั้น เอาไม้สด ชุ่มด้วยยาง ทั้งแช่อยู่ในน้ำ มาสีไฟ จะพึงให้ไฟเกิดพึงทําไฟให้ปรากฏได้บ้างหรือหนอ.
สคารวมาณพกราบทูลว่า ข้อนี้หามิได้ ท่านพระโคดม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม้นั้นยังสดชุ่มด้วยยาง ทั้งแช่อยู่ในน้ำ บุรุษนั้นพึงมีส่วนแห่งความเหน็ดเหนื่อยลําบากเปล่าเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 458
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภารทวาชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีกายยังไม่หลีกออกจากกาม ยังมีความพอใจในกาม ความเสน่หาในกาม ความหมกมุ่นในกาม ความระหายในกาม ความเร่าร้อนเพราะกาม อันคนยังละไม่ได้ด้วยดี ให้สงบระงับไม่ได้ด้วยดีในภายในท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถ้าหากจะเสวยทุกขเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อนเกิดเพราะความเพียรก็ดี หากจะไม่ได้เสวยก็ดี ก็ไม่ควรเพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็นซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ดูก่อนภารทวาชะ อุปมาข้อที่๑ นี้แลน่าอัศจรรย์ ไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏกะเรา.
[๗๔๒] ดูก่อนภารทวาชะ อุปมาข้อที่ ๒ อีกข้อหนึ่งน่าอัศจรรย์ ไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏกะเรา เปรียบเหมือนไม้สด ชุ่มด้วยยางตั้งอยู่บนบก ไกลน้ำ ถ้าบุรุษพึงมาด้วยหวังว่า จักเอาไม้นั้นมาสีให้เกิดไฟจักทําไฟให้ปรากฏ ดูก่อนภารทวาชะ. ท่านจะเข้าใจควานข้อนั้นเป็นไฉนบุรุษนั้นเอาไม้สด ชุ่มด้วยยาง ตั้งอยู่บนบก ไกลน้ำ มาสีไฟ จะพึงให้ไฟเกิด พึงทําไฟให้ปรากฏได้บ้างหรือหนอ.
สคารวมาณพกราบทูลว่า ข้อนี้หามิได้ ท่านพระโคดม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม้นั้นยังสด ชุ่มด้วยยางถึงแม้จะตั้งอยู่บนบก ไกลน้ำ บุรุษนั้นก็จะพึงมีส่วนแห่งความเหน็ดเหนื่อยลําบากเปล่าเท่านั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภารทวาชะ ฉันนั้นเหมือนกันแลสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้มีกายหลีกออกจากกามแล้ว แต่ยังมีความพอใจในกาม ความเสน่หาในกาม ความหมกมุ่นในกาม ความระหายในกาม ความเร่าร้อนเพราะกาม อันตนยังละไม่ได้ด้วยดี ยังให้สงบระงับด้วยดีไม่ได้ในภายใน ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถึงแม้จะได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 459
เผ็ดร้อนที่เกิดเพราะความเพียรก็ดี จะไม่ได้เสวยก็ดี ก็ยังไม่ควรเพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็นซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ดูก่อนภารทวาชะ อุปมาข้อที่ ๒ นี้แลน่าอัศจรรย์ ไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏกะเรา.
[๗๔๓] ดูก่อนภารทวาชะ อุปมาข้อที่ ๓ อีกข้อหนึ่ง น่าอัศจรรย์ไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏกะเรา เปรียบเหมือนไม้แห้งเกราะ ทั้งตั้งอยู่บนบก ใกล้น้ำ ถ้าบุรุษพึงมาด้วยหวังว่า จะเอาไม้นั้นมาสีไฟ จักให้ไฟเกิด จักทําไฟให้ปรากฏ ดังนี้ ดูก่อนภารทวาชะ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเอาไม้แห้งเกราะ ทั้งตั้งอยู่บนบก ไกลน้ำ มาสีไฟ จะพึงให้ไฟเกิด พึงทําไฟให้ปรากฏได้บ้างหรือหนอ.
สคารวมาณพกราบทูลว่า อย่างนั้นท่านพระโคดม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม้นั้นแห้งเกราะ ทั้งตั้งอยู่บนบก ไกลน้ำ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภารทวาชะ ฉันนั้นเหมือนกันแลสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีกายหลีกออกจากกาม ทั้งความพอใจในกาม ความเสน่หาในกาม ความหมกมุ่นในกาม ความระหายในกาม ความเร่าร้อนเพราะกาม อันตนละได้ด้วยดี ให้สงบระงับด้วยดีแล้วในภายใน ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถึงแม้จะได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อนที่เกิดเพราะความเพียรก็ดี ถึงแม้จะไม่ได้เสวยก็ดี ก็สมควรเพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็นซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ดูก่อนภารทวาชะ อุปมาข้อที่๓ นี้แลน่าอัศจรรย์ ไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏกะเรา.
[๗๔๔] ภารทวาชะ. เรานั้นได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงกดฟันด้วยฟัน กดเพดานด้วยลิ้น ข่มจิตด้วยจิต บีบไว้ให้แน่น ให้เร่าร้อนเถิดดังนี้ เราจึงกดฟันด้วยฟัน กดเพดานด้วยลิ้น ข่มจิตด้วยจิต บีบไว้ให้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 460
แน่น ให้เร่าร้อนอยู่ เหงื่อก็ไหลออกจากรักแร้ทั้งสอง ดูก่อนภารทวาชะเปรียบเหมือนบุรุษมีกําลัง จับบุรุษมีกําลังน้อยกว่าที่ศีรษะหรือที่คอ แล้วกดบีบไว้แน่น ให้ร้อนจัดฉันใด เมื่อเรากดฟันด้วยฟัน กดเพดานด้วยลิ้น ข่มจิตด้วยจิต บีบไว้แน่น ให้ร้อนจัด ก็ฉันนั้น เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ทั้งสอง ถึงเช่นนั้น เราก็ปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน ตั้งสติมั่นไว้ ไม่ฟันเฟือน แต่ว่ากายที่ปรารภความเพียรของเราอันความเพียรที่ทนได้ยากนั้นแลเสียดแทง จึงกระสับกระส่าย ไม่สงบระงับ.
[๗๔๕] ดูก่อนภารทวาชะ เรานั้นมีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไรเราพึงเพ่งฌานอันไม่มีลมปราณเป็นอารมณ์เถิด เราจึงกลั้นลมอัสสาสะ ปัสสาสะทั้งทางปากและทางจมูกเมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปากและทางจมูกก็มีเสียงออกทางช่องหูทั้งสองดังเหลือประมาณ เสียงลมในลําสูบของนายช่างทองที่กําลังสูบอยู่ ดังเหลือประมาณ ฉันใดเมื่อเรากลั้น ลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปากและทางจมูก ก็มีเสียงลมออกทางช่องหูทั้งสองดังเหลือประมาณฉันนั้น ถึงเช่นนั้น เราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไว้มั่น ไม่ฟันเฟือนแต่ว่ากายที่ปรารภความเพียรของเราอันความเพียรที่ทนได้ยากนั้นแลเสียดแทงจึงกระสับกระส่าย ไม่สงบระงับ.
[๗๔๖] ดูก่อนภารทวาชะ เรานั้นมีความคิดเห็นว่าถ้ากระไรเราพึงเพ่งฌานอันไม่มีลมปราณเป็นอารมณ์เถิด เราจึงกลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปากทางจมูกและทางช่องหู เมื่อเรากลั้นลมอัสสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปากทางจมูกและทางช่องหู ลมก็เสียดแทงศีรษะเหลือประมาณ บุรุษมีกําลังพึงเชือดกระหม่อมด้วยมีดโกนอันคม ฉันใด เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปาก ทางจมูกและทางช่องหู ลมก็เสียดแทงศีรษะเหลือประมาณ ฉันนั้น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 461
ถึงเช่นนั้น เราก็ปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไว้มั่น ไม่ฟันเฟือนแต่ว่ากายที่ปรารภความเพียรของเราอันความเพียรที่ทนได้ยากนั้นแลเสียดแทงจึงกระสับกระส่าย ไม่สงบระงับ.
[๗๔๗] ดูก่อนภารทวาชะ เรานั้นมีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงเพ่งฌานอันไม่มีลมปราณเป็นอารมณ์เถิด เราจึงกลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปาก ทางจมูกและทางช่องหู เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปากทางจมูกและทางช่องหูก็ให้ปวดศีรษะเหลือทน บุรุษมีกําลังพึงเอาเส้นเชือกเกลียวเขม็งรัดที่ศีรษะ ฉันใด เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปากทางจมูกและทางช่องหู ก็ให้ปวดศีรษะเหลือทน ฉันนั้น ถึงเช่นนั้นเราก็ปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไว้มั่น ไม่ฟันเฟือน แต่กายที่ปรารภความเพียรของเราอันความเพียรที่ทนได้ยากนั้นแลเสียดแทง จึงกระสับกระส่าย ไม่สงบระงับ.
[๗๔๘] ดูก่อนภารทวาชะ เรานั้นมีความคิดเห็นว่าถ้ากระไร เราพึงเพ่งฌานอันไม่มีลมปราณเป็นอารมณ์เถิดเราจึงกลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปาก ทางจมูกและทางช่องหู เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปากทางจมูก และทางช่องหู ลมก็เสียดแทงพื้นท้องเหลือประมาณ นายโคฆาตหรือลูกมือนายโคฆาตผู้ชํานาญพึงเชือดท้องด้วยมีดสําหรับเชือดเนื้อโค ฉันใด เมื่อเรากลั้น ลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปาก ทางจมูกและทางช่องหูลมก็เสียดแทงพื้นท้องเหลือประมาณ ฉันนั้น ถึงเช่นนั้น เราก็ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อนตั้งสติไว้มั่น ไม่ฟันเฟือน แต่กายที่ปรารภความเพียรของเราอันความเพียรที่ทนได้ยากนั้นแลเสียดแทง จึงกระสับกระส่าย ไม่สงบระงับ.
[๗๔๙] ดูก่อนภารทวาชะ. เรานั้นมีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไรเราพึงเพ่งฌานอันไม่มีลมปราณเป็นอารมณ์เถิด เราจึงกลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 462
ทั้งทางปาก ทางจมูกและทางช่องหู เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปากทางจมูกและทางช่องหู ก็มีความร้อนในกายเหลือทน บุรุษมีกําลังสองคนจับบุรุษที่มีกําลังน้อยกว่าคนละแขน ย่างรมไว้ในหลุมถ่านเพลิง ฉันใด เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะทั้งทางปาก ทางจมูกและทางช่องหู ก็มีความร้อนในกายเหลือทน ฉันนั้น ถึงเช่นนั้น เราก็ปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อนตั้งสติไว้มั่น ไม่ฟันเฟือน แต่กายทีปรารภความเพียรของเราอันความเพียรที่ตนได้ยากนั้นแลเสียดแทง จึงกระสับกระส่ายไม่สงบระงับ ดูก่อนภารทวาชะโอ เทวดาทั้งหลาย เห็นเราแล้วพากันกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมทํากาละแล้ว เทวดาบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมยังไม่ทํากาละ แต่กําลังทํากาละ เทวดาบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม แม้กําลังทํากาละก็หามิได้ พระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์ ความอยู่เห็นปานนี้นั้น เป็นวิหารธรรมของพระอรหันต์.
[๗๕๐] ดูก่อนภารทวาชะ เรานั้นมีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงปฏิบัติเพื่ออดอาหารโดยประการทั้งปวงเกิด ทันใดนั้น เทวดาเหล่านั้นได้เข้ามาหาเราแล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ท่านอย่าปฏิบัติเพื่ออดอาหารโดยประการทั้งปวงเลย ถ้าท่านจักปฏิบัติเพื่ออดอาหารโดยประการทั้งปวงข้าพเจ้าทั้งหลายจะแซกทิพโอชาลงตามขุมขนของท่าน ท่านจักได้เยียวยาชีวิตไว้ด้วยทิพยโอชานั้น เรานั้นมีความคิดเห็นว่า เราเองปฏิญาณการไม่บริโภคอาหารโดยประการทั้งปวง แต่เทวดาเหล่านี้จะแซกทิพยโอชาลงตามขุมขนของเราทั้งเราก็จะเยียวยาชีวิตไว้ได้ด้วยทิพยโอชานั้น ข้อนั้นพึงเป็นมุสาแก่เรา ดังนี้เราบอกเลิกแก่เทวดาเหล่านั้น จึงกล่าวว่า อย่าเลย.
[๗๕๑] ดูก่อนภารทวาชะ เรานั้นมีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงกินอาหารผ่อนลงทีละน้อยๆ คือ วันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 463
เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดําบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้างเถิด เราจึงกินอาหารผ่อนลงทีละน้อยๆ คือ วันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดําบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง เมื่อเรากินอาหารผ่อนลงทีละน้อยๆ คือ วันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดําบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง กายก็ถึงความซูบผอมลงเหลือเกิน เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อยนั่นเอง อวัยวะน้อยใหญ่ของเราเป็นเหมือนเถาวัลย์มีข้อมาก หรือเถาวัลย์มีข้อดํา ฉะนั้น ตะโพกของเราเป็นเหมือนดังเท้าอูฐกระดูกสันหลังของเราผุดระกะเปรียบเหมือนเถาวัลย์ชื่อวัฏฏนาวฬี ฉะนั้นซี่โครงของเราขึ้นนูนเป็นร่องดังกลอนศาลาเก่า มีเครื่องมุงอันหล่นโทรมอยู่ฉะนั้น ดวงตาของเราถล่มลึกไปในเบ้าตาปรากฏเหมือนดวงดาวในบ่อน้ำอันลึกฉะนั้น ผิวศีรษะของเราที่รับสัมผัสอยู่ก็เหี่ยวแห้ง ราวกับผลน้ำเต้าที่เขาตัดมาแต่ยังสด ถูกลมและแดดแผดเผา ก็เหี่ยวแห้งไป ฉะนั้น เราคิดว่าจักลูบผิวหนังท้อง ก็จับถูกกระดูกสันหลังด้วย คิดว่าจักลูบกระดูกสันหลัง ก็จับถูกผิวหนังท้องด้วย ผิวหนังท้องของเรากับกระดูกสันหลังติดถึงกัน เรานั้นคิดว่าจักถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ก็เซซวนล้มลง ณ ที่นั้นเอง เรานั้นเมื่อจะให้กายนี้แลสบาย จึงเอาฝ่ามือลูบตัว เมื่อเราเอาฝ่ามือลูบตัว ขนอันมีรากเน่าก็ร่วงตกจากกายมนุษย์ทั้งหลายเห็นเราแล้วพากันกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมดําไป บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมไม่ดําเป็นแต่คล้ำไป บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมดําไปก็ไม่ใช่ จะว่าคล้ำไปก็ไม่ใช่ เป็นแต่พร้อยไป ดูก่อนภารทวาชะ ผิวพรรณอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเรา ถูกกําจัดเสียแล้ว เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อยนั่นเอง.
[๗๕๒] ดูก่อนภารทวาชะ เรานั้นมีความคิดเห็นว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีต ได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้า เผ็ดร้อนที่เกิด
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 464
เพราะความเพียรอย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ ไม่ยิ่งไปกว่านี้ แม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคต จักเสวยทุกขเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อนที่เกิดเพราะความเพียร อย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ ไม่ยิ่งไปกว่านี้ ถึงสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในบัดนี้ ได้เสวยทุกขเวทนาอัน กล้าเผ็ดร้อนที่เกิดเพราะความเพียร อย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ ไม่ยิ่งไปกว่านี้ ถึงเช่นนั้น เราก็ไม่ได้บรรลุญาณทัศนะอันวิเศษของพระอริยะอย่างสามารถ ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนนี้ จะพึงมีทางอื่นเพื่อความตรัสรู้กระมังหนอ เรามีความคิดเห็นว่า ก็เราจําได้อยู่ ในงานของท้าวศากยะผู้พระบิดา เรานั่งอยู่ที่ร่มไม้หว้ามีเงาอันเย็น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌานอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนี้กระมังหนอจะพึงเป็นทางเพื่อความตรัสรู้ เราได้มีวิญญาณอันแล่นไปตามสติว่า ทางนี้แหละเป็นทางเพื่อความตรัสรู้ เรามีความคิดเห็นว่า เรากลัวต่อสุขอันเว้นจากกามเว้นจากอกุศลธรรมนั้นหรือ จึงมีความคิดเห็นว่า เราไม่กลัวต่อสุขอันเว้นจากกามเว้นจากอกุศลธรรม.
[๗๕๓] ดูก่อนภารทวาชะ. เรานั้นมีความคิดเห็นว่า อันบุคคลผู้มีกายอันถึงความซูบผอมเหลือทนอย่างนี้ จะบรรลุถึงความสุขนั้นไม่ใช่ทําได้ง่ายถ้ากระไร เราพึงกินอาหารที่หยาบ คือ ข้าวสุก ขนมกุมมาสเถิด เราจึงกินอาหารหยาบ คือ ข้าวสุกขนมกุมมาส สมัยนั้น ภิกษุ (ปัญจวัคคีย์) ๕ รูปบํารุงเราอยู่ด้วยหวังใจว่า พระสมณโคดมจักบรรลุธรรมใด จักบอกธรรมนั้นแก่เราทั้งหลาย แต่เมื่อเรากินอาหารหยาบ คือ ข้าวสุกและขนมกุมมาสพวกภิกษุ (ปัญจวัคคีย์) ๕ รูปนั้น เบื่อหน่ายเรา หลีกไปด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก คลายความเพียรเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 465
[๗๕๔] ดูก่อนภารทวาชะ ครั้นเรากินอาหารหยาบมีกําลังดีแล้วจึงสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌานอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าถึงทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้นไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เรามีอุเบกขา มีสติสัมชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไปเข้าถึงตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุข เราเข้าถึงจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
[๗๕๕] เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้าวจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ เราย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมากคือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง ฯลฯ เราย่อมระลึกถึงชาติท่อนได้เป็นอันมากพร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูก่อนภารทวาชะ นี้เป็นวิชชาข้อที่ ๑ เราได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี. อวิชชาเรากําจัดได้แล้ววิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดเรากําจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เราผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจแน่วแน่อยู่.
[๗๕๖] เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เราเห็นหมู่สัตว์ที่กําลังจุติกําลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ ดูก่อนภารทวาชะ นี้เป็นวิชชาข้อที่ ๒ เราบรรลุแล้วในมัชฌิมยาม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 466
แห่งราตรี อวิชชาเรากําจัดได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดเรากําจัดได้แล้วแสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เราผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจแน่วแน่อยู่
[๗๕๗] เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะเมื่อเรานั้นรู้เห็นอย่างนี้ จิตหลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ. เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทําได้ทําเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูก่อนภารทวาชะ นี้เป็นวิชชาข้อที่ ๓ เราบรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาเรากําจัดได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดเรากําจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เราผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจแน่วแน่อยู่.
[๗๕๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สคารวมาณพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ความเพียรอันไม่หยุดหย่อนได้มีแล้วแก่ท่านพระโคดมหนอ ความเพียรของสัตบุรุษได้มีแล้วแก่ท่านพระโคดมหนอ สมควรเป็นพระอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าแต่ท่านพระโคดม เทวดามีหรือหนอแลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนภารทวาชะ ก็ข้อที่ว่าเทวดามีนั้น รู้ได้โดยฐานะ.
ส. ข้าแต่ท่านพระโคดม พระองค์อันข้าพเจ้าทูลถามว่า เทวดามีหรือหนอ ดังนี้ ตรัสตอบว่า ดูก่อนภารทวาชะ ก็ข้อที่ว่าเทวดามีนั้น รู้ได้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 467
โดยฐานะ ดังนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้อยคําของพระองค์เป็นถ้อยคําเปล่า เป็นมุสามิใช่หรือ.
พ. ดูก่อนภารทวาชะ ผู้ใดเมื่อถูกถามว่า เทวดามีอยู่หรือ พึงกล่าวว่าข้อทีว่า เทวดามีอยู่ เป็นอันรู้กันได้โดยฐานะ ก็เท่ากับกล่าวว่า เรารู้จักเทวดาเมื่อเป็นเช่นนั้น วิญูชนพึงถึงความตกลงในเรื่องนี้ว่า เทวดามีอยู่ ดังนี้ได้โดยส่วนเดียวแท้.
ส. ก็ทําไม ท่านพระโคดมจึงไม่ทรงพยากรณ์แก่ข้าพเจ้าเสียด้วยคําแรกเล่า.
พ. ดูก่อนภารทวาชะ ข้อที่ว่าเทวดามีอยู่ดังนี้นั้น เขาสมมติกันในโลกด้วยศัพท์อันสูง.
[๗๕๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สคารวมาณพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ํา เปิดของที่ปิดบอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจะได้เห็นรูป ฉันนั้น ข้าพระองค์นี้ ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจําข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉะนั้นแล.
จบ สคารวสูตร ที่ ๑๐
จบ พราหมณวรรค ที่ ๕
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 468
อรรถกถาสคารวสูตร
สราควสุตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ในบ้านชื่อปัจจลกัปปะ คือในบ้านอันมีชื่ออย่างนั้น. บทว่า เลื่อมใสยิ่ง ได้แก่ เลื่อมใสด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว. ได้ยินว่านางพราหมณีนั้น เป็นอริยสาวิกาโสดาบัน เป็นภรรยาของพราหมณ์ภารทวาชโคตร. เมื่อก่อนทีเดียว พราหมณ์นั้นเชิญพราหมณ์ทั้งหลายมาแล้วการทําสักการะแก่พราหมณ์เหล่านั้นเสมอๆ. ตอนทําเอานางพราหมณีนี้มาสู่เรือนแล้วไม่อาจทําจิตให้โกรธต่อนางพราหมณีรูปงามมีตระกูลใหญ่ ไม่อาจทําสักการะแก่พราหมณ์ทั้งหลาย. ครั้งนั้นพราหมณ์ทั้งหลายได้ถากถางพราหมณ์นั้นในที่ที่เห็นทุกแห่งว่า บัดนี้ ท่านไม่ถือลัทธิพราหมณ์จึงไม่ทําสักการะแม้สักอย่างหนึ่งแก่พวกพราหมณ์. พราหมณ์นั้นกลับมาเรือนบอกเนื้อความนั้นแก่พราหมณ์ แล้วกล่าวว่า ถ้าเธอจะอาจรักษาหน้าฉัน ในวันหนึ่ง ฉันก็จะให้ภิกษาแก่พราหมณ์ทั้งหลายในวันหนึ่ง. นางพราหมณีว่าท่านจงให้ไทยธรรมของท่านในที่ที่ชอบใจเถิด ฉันจะมีประโยชน์อะไรเรื่องนี้.พราหมณ์นั้นได้เชื้อเชิญพราหมณ์ทั้งหลายแล้ว ให้หุงข้าวปายาสน้ำน้อย เชิญให้ขึ้นเรือน ตบแต่งอาสนะแล้วเชิญให้พราหมณ์ทั้งหลายนั่ง. นางพราหมณีนุ่งห่มผ้าสาฏกผืนใหญ่ถือทัพพีเลี้ยงดูอยู่พลาด (สดุด) ที่ชายผ้า ไม่ได้กระทําความสําคัญว่า เรากําลังเลี้ยงหมู่พราหมณ์ ระลึกถึงเฉพาะพระศาสดาเท่านั้นพลันเปล่งอุทานขึ้นด้วยอํานาจความเคยชิน. พราหมณ์ทั้งหลายพึงอุทานแล้วโกรธว่า สหายของพระสมณโคดมผู้นี้เป็นคนสองฝ่าย พวกเราจักไม่รับไทยธรรมของเขา ดังนี้ จึงทิ้งโภชนะทั้งหลายแล้วออกไปเสีย. พราหมณ์กล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 469
เราได้พูดกะท่านไว้แต่ทีแรกทีเดียวมิใช่หรือว่า วันนี้ขอให้ท่านรักษาหน้าฉันสักวัน ท่านทํานมสดและข้าวสารเป็นต้น มีประมาณเท่านี้ ให้ฉิบหายเสียแล้ว (เขา) ลุอํานาจความโกรธเป็นอย่างยิ่งกล่าวว่าก็หญิงถ่อยคนนี้ กล่าวสรรเสริญสมณโคดมนั้นไม่เลือกที่ อย่างนี้ทีเดียว หญิงถ่อยบัดนี้เราจะยกวาทะต่อศาสดานั้นของเธอ. ทีนั้น นางพราหมณีจึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า ไปซิพราหมณ์ไปซิพราหมณ์ ท่านแล้วไปแล้วจักรู้สึก ดังนี้แล้วกล่าวว่า ท่านพราหมณ์เราย่อมไม่เห็นบุคคลผู้จะยกวาทะ ฯลฯ ในโลกพร้อมทั้งเทวดา ดังนี้เป็นต้น.
พราหมณ์นั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถามปัญหาว่า
ฆ่าอะไรซิ จึงจะอยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรซิ จึงจะไม่เศร้าโศก ท่านโคดมท่านชอบใจการฆ่าธรรมอะไรเป็นธรรมเอก.
พระศาสดาตรัสตอบปัญหาว่า
ฆ่าความโกรธแล้วอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธแล้วย่อมไม่เศร้าโศก พราหมณ์พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมสรรเสริญการฆ่าความโกรธซึ่งมีรากเป็นพิษมียอดร่อยเพราะฆ่าความโกรธได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก.
พราหมณ์นั้นบวชแล้วบรรลุพระอรหัต. น้องชายของพราหมณ์นั่นแหละ ชื่ออักโกสกภารทวาชะได้ฟังข่าวว่า พี่ชายของเราบวชแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแนะนําจึงบวชแล้วบรรลุพระอรหัต น้องชาย
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 470
เล็กของพราหมณ์นั้น อีกคนหนึ่ง ชื่อสุนทริกภารทวาชะ. แม้พราหมณ์นั้น ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหา ได้ฟังแล้วแก้ปัญหาบวชแล้วก็บรรลุพระอรหัต. น้องชายคนเล็กของพราหมณ์นั้น ชื่อปิงคลภารทวาชะ.เขาถามปัญหาในเวลาจบพยากรณ์ปัญหาบวชแล้วก็บรรลุพระอรหัต.
คําว่า มาณพชื่อสคารวะ มีความว่า มาณพนี้เป็นผู้อ่อนกว่าพราหมณ์ทั้งหมด ของบรรดาพราหมณ์เหล่านั้นในวันนั้น ได้นั่งในโรงอาหารแห่งเดียวกันกับพวกพราหมณ์. บทว่า อวภูตา จ ความว่า เป็นผู้ไม่เจริญคือเป็นผู้ไม่มีมงคลเลย. บทว่า เป็นผู้เสื่อม คือ เป็นผู้ถึงความพินาศเท่านั้น.บทว่า เมื่อ มีอยู่ คือครั้นเมื่อ...มีอยู่. บทว่า ศีลและปัญญา ความว่าท่านไม่รู้ศีลและญาณ. บทว่า เป็นผู้ถึงบารมีอันเป็นที่สุด เพราะรู้ยิ่งในปัจจุบัน ความว่า พราหมณ์ทั้งหลาย กล่าวว่า เราทั้งหลายเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งที่สุด บรรลุพระนิพพานอันเป็นคุณสมบัติยิ่งใหญ่แห่งธรรมทั้งปวงกล่าวคือบารมีเพราะรู้ยิ่งในอัตตภาพนี้นั่นแหละ ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมปฏิญาณอาทิพรหมจรรย์ บทว่า อาทิพรมจรรย์ มีอธิบายว่า ย่อมปฏิญาณอย่างนี้ว่าเป็นเบื้องต้น คือ เป็นอุปการะ เป็นผู้ทําให้เกิด พรหมจรรย์.บทว่า นักตรึกตรอง คือ เป็นผู้มีปรกติถือเอาด้วยการคาดคะเน. บทว่ามีปกติใคร่ครวญ ความว่า เป็นผู้ใคร่ครวญ คือ เป็นผู้มีปรกติใช้ปัญญาใคร่ครวญแล้ว กล่าวอย่างนี้. บทว่า บรรดาพราหมณ์เหล่านั้น เราเป็นความว่า เราเป็นสัมมาสัมพุทธองค์หนึ่ง บรรดาสัมมาสัมพุทธะเหล่านั้น.เชื่อมบทว่าอฏิตะในบทสนธิว่า อฏิตวตา เข้ากับ บท ปธานะเชื่อมบทสปฺปุรสะ เข้ากับบท ปธานะ ก็เหมือนกัน. มีคําอธิบายนี้ว่า ความเพียรอันไม่หยุดหย่อน ความเพียรของสัตบุรุษหนอ ได้มีแล้วแก่พระโคดมผู้เจริญคําว่า เป็นผู้ถูกทูลถามว่า เทวดามีหรือ ความว่า มาณพกล่าวคํานี้ด้วย
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 471
สําคัญว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงทราบเลย ประกาศ. คําว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ความว่า เมื่อความที่พระองค์ไม่ทรงทราบมีอยู่. คําว่า เป็นถ้อยคําเปล่า เป็นถ้อยคําเท็จ ความว่า ถ้อยคําของพระองค์เป็นถ้อยคําไม่มีผล คือปราศจากผล. มาณพชื่อว่า ย่อมข่มพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาทะว่าพูดเท็จด้วยประการอย่างนี้. บทว่าอันวิญูชน ได้แก่อัน คนผู้เป็นบัณฑิต. ทรงแสดงว่า ก็ท่านย่อมไม่รู้คําแม้ที่เราพยากรณ์ เพราะความเป็นผู้ไม่รู้. คําว่าเขาสมมติกันด้วยศัพท์สูง คือ เขาสมมติ ได้แก่ปรากฏในโลกด้วยศัพท์ชั้นสูง. คําว่า เทวดามี อธิบายว่า ก็แม้เด็กหนุ่มสาวทั้งหลาย ชื่อว่าเทพก็มีชื่อว่าเทพีก็มี. ส่วนเทพทั้งหลายชื่อว่าอติเทพ คือเป็นผู้ยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลายผู้ได้ชื่อว่า เทพ เทพี ในโลก. คําที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาสคารวสูตรที่ ๑๐
จบวรรคที่ ๕
อรรถกถามัชฌิมปัณณาสกสูตรในอัฏฐกถามัชฌิมนิกาย ชื่อปปัญจสูทนีจบ
อรรถกถาประมวลพระสูตร ๕๐ สูตร ประดับด้วย ๕ วรรคจบ.