พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. คณกโมคคัลลานสูตร ว่าด้วยการศึกษาและการปฏิบัติเป็นไปตามลําดับ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  28 ส.ค. 2564
หมายเลข  36112
อ่าน  654

[เล่มที่ 22] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 143

๗. คณกโมคคัลลานสูตร

ว่าด้วยการศึกษาและการปฏิบัติเป็นไปตามลําดับ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 22]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 143

๗. คณกโมคคัลลานสูตร

ว่าด้วยการศึกษาและการปฏิบัติเป็นไปตามลําดับ

[๙๓] ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขามิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น พราหมณ์คณกะโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทักทายปราศรัยกับพระผู้มี-พระภาคเจ้า ตามธรรมเนียมแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ไค้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ตัวอย่างเช่นปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้ ย่อมปรากฏมีการศึกษาโดยลําดับ การกระทําโดยลําดับ การปฏิบัติโดยลําดับ ถือกระทั่งโครงร่างของบันไดชั้นล่างแม้พวกพราหมณ์เหล่านี้ ก็ปรากฏมีการศึกษาโดยลําดับ การกระทําโดยลําดับการปฏิบัติโดยลําดับ คือ ในเรื่องเล่าเรียน แม้พวกนักรบเหล่านี้ ก็ปรากฏมีการศึกษาโดยลําดับ การกระทําโดยลําดับ การปฏิบัติโดยลําดับ คือ ในเรื่องใช้อาวุธ แม้พวกข้าพระองค์ผู้เป็นนักคํานวณมีอาชีพในทางคํานวณก็ปรากฏมีการศึกษาโดยลําดับ การกระทําโดยลําดับ การปฏิบัติโดยลําดับ คือในเรื่องนับจํานวน เพราะพวกข้าพเจ้าได้ศิษย์แล้ว เริ่มต้นให้นับอย่างนี้ว่า หนึ่งหมวดหนึ่ง สอง หมวดสอง สาม หมวดสาม สี่ หมวดสี่ ห้า หมวดห้าหก หมวดหก เจ็ด หมวดเจ็ด แปด หมวดแปด เก้า หมวดเก้า สิบหมวดสิบ ย่อมให้นับไปถึงจํานวนร้อย ข้าแต่ท่านพระโคดม พระองค์อาจไหมหนอ เพื่อจะบัญญัติการศึกษาโดยลําดับ การที่กระทําโดยลําดับ การปฏิบัติโดยลําดับ ในธรรมวินัยแม้นี้ ให้เหมือนอย่างนั้น.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 144

[๙๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราอาจบัญญัติการศึกษาโดยลําดับ การกระทําโดยลําดับ การปฏิบัติโดยลําดับ ในธรรมวินัยนี้ได้ เปรียบเหมือนคนฝึกม้าผู้ฉลาด ได้ม้าอาชาไนยตัวงามแล้วเริ่มต้นทีเดียวให้ทําสิ่งควรให้ทําในบังเหียน ต่อไปจึงให้ทําสิ่งที่ควรให้ทําสิ่งๆ ขึ้นไปฉันใดดูก่อนพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล ตถาคตได้บุรุษที่ควรฝึกแล้วเริ่มต้นย่อมแนะนําอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ มาเถิด เธอจงเป็นผู้มีศีล สํารวมด้วยปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่ จงเป็นผู้เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด.

[๙๕] ดูก่อนพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้มีศีล สํารวมด้วยปาติ-โมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่ เป็นผู้เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายแล้ว ตถาคตย่อมแนะนําเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูก่อนภิกษุ มาเถิด เธอจงเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายเธอเป็นรูปด้วยจักษุแล้วจงอย่าถือเอาโดยนิมิต อย่าถือเอาโดยอนุพยัญชนะจงปฏิบัติเพื่อสํารวมจักขุนทรีย์ อันมีการเห็นรูปเป็นเหตุ ซึ่งบุคคลผู้ไม่สํารวมอยู่ พึงถูกอกุศลบาปธรรมคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงําได้ จงรักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสํารวมในจักขุนทรีย์เถิด เธอได้ยินเสียงด้วยโสตะแล้ว... เธอดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว... เธอลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว... เธอถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว... เธอรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยมโนแล้วอย่าถือเอาโดยนิมิต อย่าถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสํารวมมนินทรีย์ อันมีการรู้ธรรมารมณ์เป็นเหตุ ซึ่งบุคคลผู้ไม่สํารวมอยู่ พึงถูกอกุศลบาปธรรมคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงําได้ จงรักษามนินทรีย์ ถึงความสํารวมในมนินทรีย์เถิด.

[๙๖] ดูก่อนพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายได้ ตถาคตย่อมแนะนําเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูก่อนภิกษุ มาเถิด เธอ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 145

จงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ คือ พึงบริโภคอาหาร พิจารณาโดยแยบคายว่า เราบริโภคมิใช่เพื่อจะเล่น มิใช่เพื่อจะมัวเมา มิใช่เพื่อจะประดับ มิใช่เพื่อจะตกแต่งร่างกายเลย บริโภคเพียงเพื่อร่างกายดํารงอยู่ เพื่อให้ชีวิตเป็นไป เพื่อบรรเทาความลําบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์เท่านั้น ด้วยอุบายนี้เราจะป้องกันเวทนาเก่า ไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น และความเป็นไปแห่งชีวิตความไม่มีโทษ ความอยู่สบาย จักมีแก่เรา.

[๙๗] ดูก่อนพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะได้ ตถาคตย่อมแนะนําเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูก่อนภิกษุ มาเถิด เธอจงเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเป็นผู้ตื่นอยู่ คือจงชําระจิตให้บริสุทธิ์จากอาวรณียธรรม ด้วยการเดินจงกรมและการนั่งตลอดวัน จงชําระจิตให้บริสุทธิ์จากอาวรณียธรรม ด้วยการเดินจงกรมและการนั่งตลอดปฐมยานแห่งราตรี พึงเอาเท้าซ้อนเท้า มีสติรู้สึกตัว ทําความสําคัญว่า จะลุกขึ้นไว้ในใจแล้วสําเร็จสีหไสยาโดยข้างเบื้องขวาตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรีจงลุกขึ้นชําระจิตไห้บริสุทธิ์จากอาวรณียธรรม ด้วยการเดินจงกรมและการนั่ง ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรีเถิด.

[๙๘] ดูก่อนพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเป็นผู้ตื่นอยู่ได้ ตถาคตย่อมแนะนําเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูก่อนภิกษุ มาเถิดเธอจงเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ คือ ทําความรู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับ ในเวลาแลดูและเหลียวดู ในเวลางอแขนและเหยียดแขน ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในเวลาฉัน ดื่ม เคี้ยว และลิ้มรส ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลาเดิน ยืน นั่ง นอนหลับ ตื่น พูดและนิ่งเถิด.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 146

[๙๙] ดูก่อนพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะได้ ตถาคตย่อมแนะนําเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูก่อนภิกษุ มาเถิด เธอจงเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และลอมฟางเถิด ภิกษุนั้นจึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และลอมฟาง เธอกลับจากบิณฑบาตภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งขัดสมาธิตั้งกายตรง ดํารงสติมั่นเฉพาะหน้า ละอภิชฌาเพ่งเล็งในโลกแล้ว มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌาได้ ละโทษคือพยาบาทปองร้ายแล้ว เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาทอนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิ์จากความชั่วคือพยาบาทได้ ละถีนมิทธะง่วงเหงาหาวนอนแล้ว เป็นผู้มีจิตปราศจากถีนมิทธะ มีอาโลกสัญญาสําคัญว่าสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะได้ ละอุทธัจจกุกกุจจะความฟุ้งซ่านและรําคาญแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบภายในอยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาความสงสัยแล้วเป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีปัญหาอะไรในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาได้

[๑๐๐] เธอครั้นละนิวรณ์๕ ประการ อันเป็นเครื่องทําใจให้เศร้าหมอง ทําปัญญาให้ถอยกําลังนี้ได้แล้ว จึงสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้วางเฉยเพราะหน่ายปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เช้าตติยฌานที่พระอริยะเรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติอยู่เป็นสุขอยู่ เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มี

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 147

สติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ ดูก่อนพราหมณ์ ในพวกภิกษุที่ยังเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุพระอรหัตตมรรค ยังปรารถนาธรรมที่เกษมจากโยคะอย่างหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้อยู่นั้น เรามีคําพร่ําสอนเห็นปานฉะนี้ ส่วนสําหรับภิกษุพวกที่เป็นอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทํากิจที่ควรทําเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว ถึงประโยชน์ตนแล้วตามลําดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบนั้น ธรรมเหล่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่สบายในปัจจุบันและเพื่อสติสัมปชัญญะ.

[๑๐๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ พราหมณ์คณกะโมคคัลลานะได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า สาวกของพระโคดมผู้เจริญอันท่านพระโคดม โอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ ย่อมสําเร็จนิพพานอันมีความสําเร็จล่วงส่วน ทุกรูปทีเดียวหรือ หรือว่าบางพวกก็ไม่สําเร็จ.

พ. ดูก่อนพราหมณ์ สาวกของเรา อันเราโอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้บางพวกเพียงส่วนน้อย สําเร็จนิพพานอันมีความสําเร็จล่วงส่วน บางพวกก็ไม่สําเร็จ.

ค. ข้าแต่ท่านพระโคดม อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยในเมื่อนิพพานก็ยังมีอยู่ ทางให้ถึงนิพพานก็ยังมีอยู่ ท่านพระโคดมผู้ชักชวนก็ยังมีอยู่ แต่สาวกของท่านพระโคดม อันท่านพระโคดม โอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ บางพวกเพียงส่วนน้อย จึงสําเร็จนิพพานอันมีความสําเร็จล่วงส่วนบางพวกก็ไม่สําเร็จ.

[๑๐๒] พ. ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านในเรื่องนี้ ท่านชอบใจอย่างไร พึงพยากรณ์อย่างนั้นดูก่อนพราหมณ์ ท่านจะสําคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านชํานาญทางไปกรุงราชคฤห์มิใช่หรือ.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 148

ค. แน่นอน พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจะสําคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษผู้ปรารถนาจะไปกรุงราชคฤห์ พึงมาในสํานักของท่าน เข้ามาหาท่านแล้วพูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงชี้ทางไปกรุงราชคฤห์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดท่านพึงบอกเขาอย่างนี้ว่า พ่อมหาจําเริญ มาเถิด ทางนี้ไปกรุงราชคฤห์ ท่านจงไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นบ้านชื่อโน้น ไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นนิคมชื่อโน้น ไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นสวนที่น่ารื่นรมย์ ป่าที่น่ารื่นรมย์ ภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ของกรุงราชคฤห์ บุรุษนั้น อันท่านแนะนําพร่ําสั่งอยู่อย่างนี้ จับทางผิดไพล่เดินไปเสียตรงกันข้าม ต่อมา บุรุษคนที่สองปรารถนาจะไปกรุงราชคฤห์ พึงมาในสํานักของท่านเข้ามาหาท่านแล้วพูดอย่างนี้ ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าปรารถนาจะไปกรุงราชคฤห์ ขอท่านจงชี้ทางไปกรุงราชคฤห์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ท่านพึงบอกแก่เขาอย่างนี้ว่า พ่อมหาจําเริญ มาเถิด ทางนี้ไปกรุงราชคฤห์ ท่านจงไปตามทางนั้น ชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นบ้านชื่อโน้น ไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นนิคมชื่อโน้น ไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นสวนที่น่ารื่นรมย์ ป่าที่น่ารื่นรมย์ ภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ของกรุงราชคฤห์ บุรุษนั้นอันท่านแนะนําพร่ําสั่งอยู่อย่างนี้ พึงไปถึงกรุงราชคฤห์โดยสวัสดี ดูก่อนพราหมณ์ อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย นี้เมื่อกรุงราชคฤห์ก็มีอยู่ ทางไปกรุงราชคฤห์ก็มีอยู่ ท่านผู้ชี้แจงก็มีอยู่ แต่ก็บุรุษอันท่านแนะนําพร่ําสั่งอย่างนี้ คนหนึ่งจับทางผิด ไพล่เดินไปทางทรงกันข้าม คนหนึ่งไปถึงกรุงราชคฤห์ได้โดยสวัสดี.

ค. ข้าแต่ท่านพระโคดม ในเรื่องนี้ ข้าพระองค์จะทําอย่างไรได้ข้าพระองค์เป็นแต่ผู้บอกทาง.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 149

[๑๐๓] พ. ดูก่อนพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเมื่อนิพพานก็มีอยู่ ทางไปนิพพานก็มีอยู่ เราผู้ชักชวนก็มีอยู่ แต่ก็สาวกของเราอันเราโอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ บางพวกเพียงส่วนน้อย สําเร็จนิพพานอันมีความสําเร็จล่วงส่วน บางพวกก็ไม่สําเร็จ ดูก่อนพราหมณ์ ในเรื่องนี้ เราจะทําอย่างไรได้ ตถาคตเป็นแต่ผู้บอกหนทาง.

[๑๐๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ พราหมณ์คณกะโมคคัลลานะได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม บุคคลจําพวกที่ไม่มีศรัทธา ประสงค์จะเลี้ยงชีวิต ออกบวช โอ้อวด มีมายา เจ้าเล่ห์ ฟุ้งซ่าน ยกตัว กลับกลอก ปากกล้า พูดพล่าม ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ ไม่ประกอบความเพียร เครื่องตื่น ไม่นําพาในความเป็นสมณะ ไม่เคารพแรงกล้าในสิกขา ประพฤติมักมากปฏิบัติย่อหย่อน เป็นหัวโจกในทางเชือนแช ทอดธุระในวิเวกความสงัดเงียบเกียจคร้าน มีความเพียรเลว ลืมสติ ไม่รู้ตัว ไม่มั่นคง มีจิตรวนเร มีความรู้ทราม เป็นดังคนหนวกคนใบ้ ท่านพระโคดมย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลจําพวกนั้น ส่วนพวกกุลบุตรที่มีศรัทธาออกบวช ไม่โอ้อวด ไม่มายา ไม่เจ้าเล่ห์ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ยกตน ไม่กลับกลอก ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม ไม่พูดเพลินคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรเครื่องตื่น นําพาในความเป็นสมณะ เคารพแรงกล้าในสิกขา ไม่ประพฤติมักมาก ไม่ปฏิบัติย่อหย่อน ทอดธุระในทางเชือนแช เป็นหัวหน้าในวิเวกความสงัดเงียบ ปรารภความเพียร มอบตนไปในธรรม ตั้งสติไว้มั่น รู้ตัวมั่นคงมีจิตแน่วแน่ มีปัญญา ไม่เป็นดังคนหนวก คนใบ้ ท่านพระโคดมย่อมอยู่ร่วมกับกุลบุตรพวกนั้น ข้าแต่ท่านพระโคดม เปรียบเหมือนบรรดาไม้ที่มีราก

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 150

หอม เขายกย่องกฤษณาว่าเป็นเลิศ บรรดาไม้ที่มีแก่นหอม เขายกย่องแก่นจันทน์แดงว่าเป็นเลิศ บรรดาไม้ที่มีดอกหอม เขายกย่องดอกมะลิว่าเป็นเลิศฉันใดโอวาทของท่านพระโคดม ก็ฉันนั้น เหมือนกันแล บัณฑิตกล่าวได้ว่าเป็นเลิศในบรรดาธรรมของครูอย่างแพะที่นับว่าเยี่ยม แจ่มแจ้งจริงๆ พระเจ้าข้า แจ่มแจ้งจริงๆ พระเจ้าข้า ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยปริยายเป็นอเนก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ํา หรือเปิดของที่ปิด หรือบอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีตาดีจักเห็นรูปทั้งหลายได้ ฉะนั้นข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจําข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

จบ คณกโมกคัลลานสูตรที่ ๗

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 151

อรรถกถาคณกโมคคัลลานสูตร

คณกโมคคัลลานสูตร มีคําเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นดังต่อไปนี้. บทว่า ยาว ปจฺฉิมาโสปานกเฬวรา ได้แก่ จนกระทั่งพื้นบันไดขั้นแรก. พราหมณ์แสดงว่า ปราสาท ๗ ชั้น ไม่อาจสร้างได้เพียงวันเดียวแต่ปรากฏการกระทําโดยลําดับ (ขั้นตอน) เริ่มแต่การแผ้วถางพื้นที่แล้วยกตั้งเสา จนกระทั่งเขียนภาพจิตรกรรม ในปราสาทนั้น. ด้วยบทว่า ยทิทํ อชฺเฌเน พราหมณ์แสดงว่าพระเวทแม้ทั้ง ๓ ก็ไม่อาจเล่าเรียนได้โดยวันเดียวเท่านั้น ก็แม้ในการเล่าเรียนพระเวทเหล่านั้น ก็ย่อมปรากฏการกระทําโดยลําดับเช่นเดียวกัน. ด้วยบทว่า อิสฺสตฺเถ พราหมณ์แสดงว่า แม้ในวิชาว่าด้วยอาวุธ ขึ้นชื่อว่านักแม่นธนู ก็ไม่อาจทําได้โดยวันเดียวเท่านั้น ก็แม้ในวิชาว่าด้วยอาวุธนี้ย่อมปรากฏการกระทําโดยลําดับ โดยการจัดแจงสถานที่และทําเป้า (สําหรับยิง) เป็นต้น. บทว่า สงฺขาเน ได้แก่ โดยการนับ. ในข้อนั้น เมื่อแสดงการกระทําโดยลําดับด้วยตัวเอง จึงกล่าวคําเป็นต้นว่า พวกข้าพระองค์ให้นับอย่างนี้.

ในคําที่ว่า เสยฺยถาปิพฺราหฺมณ นี้ เพราะเหตุที่คนทั้งหลายเรียนศิลป ในลัทธิภายนอก โดยประการใดๆ ย่อมกลายเป็นคนเกเรไปโดยประการนั้นๆ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงเปรียบเทียบศาสนาของพระองค์ด้วยลัทธิภายนอก หากทรงเปรียบเทียบด้วยม้าอาชาไนยแสนรู้จึงตรัสว่า เสยฺยถาปิดังนี้เป็นต้น. อันม้าอาชาไนยแสนรู้ถูกเขาฝึกในเหตุใด ย่อมไม่ละเมิดเหตุนั้น แม้เหตุแห่งชีวิตฉันใด กุลบุตรผู้ปฏิบัติชอบในพระศาสนา ย่อมไม่

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 152

ล่วงละเมิดขอบเขตแห่งศีล ฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า มุขาธาเน แปลว่าที่เก็บปากม้า (บังเหียน)

บทว่า สติสมฺปชฺาย ได้แก่เพื่อประโยชน์คือความพร้อมเพรียงด้วยสติสัมปชัญญะทั้งหลาย. ก็เหล่าพระขีณาสพ มี๒ พวกคือ สตตวิหารีและโนสตตวิหารี ในพระขีณาสพ ๒ พวกเหล่านั้น พระขีณาสพผู้สตตวิหารีแม้กระทํากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็อาจจะเข้าผลสมาบัติได้. ส่วนพระขีณาสพผู้เป็นโนสตตวิหารี เป็นผู้ขวนขวายกิจในกิจการมีประมาณเล็กน้อย ก็ไม่อาจแนบสนิทผลสมาบัติได้ ในข้อนั้นมีเรื่องดังต่อไปนี้ เป็นตัวอย่าง ได้ยินว่าพระขีณาสพองค์หนึ่ง พาสามเณรขีณาสพองค์หนึ่งไปอยู่ป่า. ในการอยู่ป่านั้นเสนาสนะตกถึงพระมหาเถระ ไม่ถึงสามเณร. พระเถระวิตกถึงเรื่องนั้น ไม่อาจทําแนบสนิทผลสมาบัติได้แม้แต่วันเดียว. ส่วนสามเณรทําเวลาทั้ง ๓ เดือนให้ล่วงไปด้วยความยินดีในผลสมาบัติ ถามพระเถระว่า ท่านขอรับ การอยู่ป่าเป็นความสบายหรือ? พระเถระกล่าวว่า ไม่เกิดความสบายดอกเธอ. ดังนั้น เมื่อจะทรงแสดงว่า พระขีณาสพแม้เห็นปานนั้น อาจเข้าสมาบัติได้โดยนึกถึงธรรมเหล่านี้ ตั้งแต่ตอนต้นทีเดียว จึงตรัสว่า สติสมฺปชฺาย จดังนี้.

บทว่า เยเม โภ โคตม ความว่า ได้ยินว่า เมื่อพระตถาคตกําลังตรัสอยู่นั่นแล นัยว่า บุคคลเหล่านี้ย่อมไม่สําเร็จ ดังนี้ เกิดขึ้นแก่พราหมณ์เมื่อจะแสดงนัยนั้น จึงเริ่มกล่าวอย่างนี้.

บทว่า ปรมชฺชธมฺเมสุ ความว่า ธรรมของครูทั้ง ๖ ชื่อว่าธรรมอย่างแพะ และวาทะของพระโคดมสูงสุดอย่างยิ่งในธรรมเหล่านั้น. คําที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.

จบ อรรถกถาคณกโมคคัลลานสูตรที่ ๗