พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. พักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  28 ส.ค. 2564
หมายเลข  36130
อ่าน  632

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 72

๔. พักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 23]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 72

๔. พักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร

[๓๘๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง ท่านพระพักกุลเถระอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน อันเคยเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ปริพาชกชื่ออเจลกัสสปะ ผู้เป็นสหายของท่านพระพักกุละ ครั้งเป็นคฤหัสถ์ในกาลก่อน เข้าไปหาท่านพระพักกุละ ครั้นแล้วได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระพักกุละ ครั้นผ่านคําทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระพักกุละดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระพักกุละท่านบวชมานานเท่าไรแล้ว

ท่านพระพักกุละตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอยู่ เราบวชมา ๘๐ พรรษาแล้ว

อเจล. ข้าแต่ท่านพระพักกุละ ชั่ว ๘๐ ปีนี้ ท่านเสพเมถุนธรรมกี่ครั้ง.

[๓๘๑] พักกุละ ดูก่อนกัสสปะผู้มีอายุ ท่านไม่ควรถามเราอย่างนั้นเลย แต่ควรจะถามเราอย่างนี้ว่า ก็ชั่ว ๘๐ ปีนี้ กามสัญญาเคยเกิดขึ้นแก่ท่านกี่ครั้ง ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อเราบวชมาตลอด ๘๐ พรรษา ไม่รู้สึกกามสัญญาเคยเกิดขึ้น.

อเจล. ข้อที่ท่านพระพักกุละ ไม่รู้สึกกามสัญญาเคยเกิดขึ้น ชั่วเวลา๘๐ พรรษา นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของท่านพระพักกุละ ประการหนึ่ง.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 73

พักกุละ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อเราบวชมาตลอด ๘๐ พรรษา เราไม่รู้สึกพยาบาทสัญญาเคยเกิดขึ้น.

อเจล. ข้อที่ท่านพระพักกุละ ไม่รู้สึกพยาบาทสัญญาเคยเกิดขึ้นชั่วเวลา ๘๐ พรรษานี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์ ของท่านพระพักกุละ ประการหนึ่ง.

พักกุละ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อเราบวชมาตลอด ๘๐ พรรษา เราไม่รู้สึกวิหิงสาสัญญาเคยเกิดขึ้น.

อเจล. ข้อที่ท่านพักกุละ ไม่รู้สึกวิหิงสาสัญญาเคยเกิดขึ้นชั่วเวลา ๘๐พรรษา นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่าเป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์ของท่านพระพักกุละ. ประการหนึ่ง.

[๓๘๒] พักกุละ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุเมื่อเราบวชมาตลอด ๘๐ พรรษาเราไม่รู้สึกกามวิตกเคยเกิดขึ้น.

อเจล. ข้อที่ท่านพระพักกุละ ไม่รู้สึกกามวิตกเคยขึ้นชั่วเวลา ๘๐พรรษา นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์ของท่านพระพักกุละ ประการหนึ่ง.

พักกุละ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อเราบวชมาตลอด ๘๐ พรรษา เราไม่รู้สึกพยาบาทวิตก... วิหิงสาวิตกเคยเกิดเลย.

อเจล. ข้อทีท่านพระพักกุละ ไม่รู้สึกวิหิงสาวิตกเคยเกิดขึ้นชั่วเวลา๘๐ พรรษา นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของท่านพระพักกุละ ประการหนึ่ง.

[๓๘๓] พักกุละ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุเมื่อเราบวชมาตลอด ๘๐ พรรษาเราไม่รู้สึกยินดีคหบดีจีวร.

อเจล. ข้อที่ท่านพระพักกุละ ไม่รู้สึกยินดีคหบดีจีวรชั่วเวลา ๘๐พรรษา นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่าเป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์ของท่านพระพักกุละ ประการหนึ่ง.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 74

พักกุละ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อเราบวชมาตลอด ๘๐ พรรษา ไม่รู้จักใช้ศาสตราตัดจีวร... ไม่รู้จักใช้เข็มเย็บจีวร... ไม่รู้จักใช้เครื่องย้อมจีวร... ไม่รู้จักเย็บจีวรในสะดึง... ไม่รู้จักจัดทําจีวรของเพื่อนภิกษุร่วมประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน... ไม่รู้สึกยินดีกิจนิมนต์... ไม่รู้สึกเคยเกิดจิตเห็นปานนี้ว่า ขอใครๆ พึงนิมนต์เราเถิด... ไม่รู้จักนั่งในละแวกบ้าน... ไม่รู้จักฉันอาหารในละแวกบ้าน... ไม่รู้จักถือเอานิมิตของมาตุคามโดยอนุพยัญชนะ... ไม่รู้จักแสดงธรรมแก่มาตุคามแม้ที่สุดคาถา ๔ บาท... ไม่รู้จักเข้าไปสู่สํานักของภิกษุณี... ไม่รู้จักแสดงธรรมแก่ภิกษุณี... ไม่รู้จักแสดงธรรมแก่สิกขมานา... ไม่รู้จักแสดงธรรมแก่สามเณรี... ไม่รู้จักให้บรรพชา... ไม่รู้จักให้อุปสมบท... ไม่รู้จักให้นิสสัย... ไม่รู้จักใช้สามเณรอุปัฏฐาน... ไม่รู้จักอาบน้ำในเรือนไฟ... ไม่รู้จักใช้จุณอาบน้ำ... ไม่รู้จักยินดีการนวดฟั้นตัวของเพื่อนภิกษุร่วมประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน... ไม่รู้จักเคยเกิดอาพาธที่สุดแม้ชั่วขณะรีดนมโคสําเร็จ... ไม่รู้จักฉันยาที่สุดแม้ชิ้นสมอ... ไม่รู้จักอิงพนัก... ไม่รู้จักสําเร็จการนอน.

อเจล. ข้อที่ท่านพระพักกุละ ไม่รู้จักสําเร็จการนอนชั่วเวลา ๘๐พรรษา นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่าเป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์ของท่านพระพักกุละ ประการหนึ่ง.

ว่าด้วยความอัศจรรย์

[๓๘๔] ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อเราบวชมาตลอด ๘๐ พรรษา ไม่รู้จักจําพรรษาในเสนาสนะในละแวกบ้าน.

อเจล. ข้อที่ท่านพระพักกุละ ไม่รู้จักจําพรรษาในเสนาสนะในละแวกบ้าน ชั่วเวลา ๘๐ พรรษา นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของท่านพระพักกุละ ประการหนึ่ง.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 75

พักกุละ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เราได้เป็นผู้ยังมีกิเลสต้องรณรงค์ฉันบิณฑบาต ของชาวแว่นแคว้น เพียง ๗ วัน เท่านั้น ต่อวันที่ ๘ พระอรหัตตผลจึงเกิดขึ้น.

อเจล. ข้อที่ท่านพระพักกุละ ได้เป็นผู้ยังมีกิเลสต้องรณรงค์ฉันบิณฑบาต ของชาวแว่นแคว้นเพียง ๗ วันเท่านั้น ต่อวันที่ ๘ จึงเกิดพระอรหัตตผลขึ้น นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของท่านพระพักกุละ ประการหนึ่ง.

[๓๘๕] อเจล. ข้าแต่ท่านพระพักกุละ ขอข้าพเจ้าพึงได้บรรพชาได้อุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้เถิด.

ปริพาชกชื่ออเจลกัสสปะ ได้บรรพชา ได้อุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้แล้วแล ก็แหละท่านพระกัสสปะอุปสมบทแล้วไม่นาน เป็นผู้ผู้เดียวหลีกออกไม่ประมาท มีความเพียร ส่งคนไปในธรรมอยู่ ไม่ช้าเท่าไร ก็ได้เข้าถึงประโยชน์ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการอันไม่มีประโยชน์อื่นยิ่งกว่า เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ทําให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่ ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทําได้ทําสําเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แลท่านพระกัสสปะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งแล้ว.

[๓๘๖] ครั้นสมัยต่อมา ท่านพระพักกุละ ถือลูกดาลเข้าไปยังวิหารทุกๆ หลัง แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า นิมนต์ท่านผู้มีอายุออกมาเถิดๆ วันนี้จักเป็นวันปรินิพพานของเรา.

ท่านพระกัสสปะกล่าวว่า ข้อที่ท่านพระพักกุละ ถือลูกดาลเข้าไปยังวิหารทุกๆ หลัง แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า นิมนต์ท่านผู้มีอายุออกมาเถิดๆ วันนี้

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 76

จักเป็นวันปรินิพพานของเรานี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของท่านพระพักกุละ ประการหนึ่ง.

ว่าด้วยที่สุดความอัศจรรย์

[๓๘๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระพักกุละ นั่งปรินิพพานแล้วในท่ามกลางภิกษุสงฆ์.

ท่านพระกัสสปะกล่าวว่า ข้อที่ท่านพระพักกุละนั่งปรินิพพานแล้วในท่ามกลางภิกษุสงฆ์นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจําไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์ ของท่านพระพักกุละ อีกประการหนึ่ง.

จบ พักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร ที่ ๔

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 77

อรรถกถาพักกุลสูตร

พักกุลสูตร (๑) มีบทเริ่มต้นว่าข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พกฺกุโล มีอธิบายว่า เปรียบเหมือนเมื่อควรจะกล่าวคําเป็นต้นว่า ทฺวาวีสติ ทวตฺตึส คนทั้งหลายกลับกล่าวว่า พาวีสติ พตฺตึส ดังนี้เป็นต้น ฉันใด บทนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือเมื่อควรจะกล่าวว่า ทฺวิกฺกุโล หรือ ทวกฺกุโล กลับกล่าวว่า พกฺกุโล.ก็พระเถระนั้น ได้มีตระกูลถึงสองตระกูล.

เล่ากันว่า ท่านจุติจากเทวโลก เกิด.ในตระกูลมหาเศรษฐี ชื่อนครโกสัมพี. ในวันที่ ๕ พวกพี่เลี้ยงพาท่านไปดําเกล้า แล้วลงเล่นในแม่น้ำคงคาเมื่อพวกพี่เลี้ยงกําลังให้ทารกเล่นคําผุด ดําว่ายอยู่ ปลาตัวหนึ่งเห็นทารกสําคัญว่าเป็นอาหาร จึงคาบเด็กไป. พวกพี่เลี้ยง ต่างก็ทิ้งเด็กหนีไป ปลากลืนเด็กแล้ว ธรรมดาสัตว์มีบุญไม่เดือดร้อนเลย. เขาได้เป็นเหมือนเข้าไปสู่ห้องนอนแล้วนอนหลับไป. ด้วยเดชแห่งทารก ปลามีสภาพเหมือนกลืนกระเบื้องที่ร้อนลงไป ถูกความร้อนแผดเผาอยู่ มีกําลังว่ายไปได้เพียง ๓๐ โยชน์แล้วเข้าไปติดข่ายของชาวประมง ชาวเมืองพาราณสี ก็ธรรมดาปลาใหญ่ที่ติดข่าย เมื่อถูกนําไป ถึงจะตาย แต่ด้วยเดชแห่งทารก ปลาตัวนี้ พอเขานําออกจากข่ายก็ตายทันที. และธรรมดาชาวประมง ได้ปลาตัวใหญ่ๆ แล้วย่อมผ่าออกแบ่งขาย. แต่ด้วยอานุภาพของเด็ก ชาวประมงยังไม่ผ่าปลานั้นใช้คานหามไปทั้งตัว ร้องประกาศไปทั่วเมืองว่า จะขายราคาหนึ่งพัน ใครๆ ก็ไม่ชื้อ.


(๑) พระสูตรเป็น พักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 78

ก็ในเมืองนั้นมีตระกูลเศรษฐีมีสมบัติ๘๐ โกฏิ ไม่มีบุตรอยู่ตระกูลหนึ่งครั้นถึงประตูเรือนเศรษฐีนั้น พอเขาถามว่า จะขายเท่าไร. กลับตอบว่าขายหนึ่งกหาปณะ. เขาให้เงินหนึ่งกหาปณะแล้วซื้อไว้. แม้ภริยาท่านเศรษฐีในวันอื่นๆ จะไม่ชอบทําปลา แต่ในวันนั้น วางปลาไว้บนเขียง แล้วลงมือผ่าเองทีเดียว. ก็ธรรมดาปลาต้องผ่าที่ท้อง. แต่นางผ่าข้างหลัง เห็นทารกผิวดังทองในท้องปลา ตะโกนลั่นว่า เราได้บุตรในท้องปลาแล้ว อุ้มเด็กตรงไปยังสํานักของสามี ท่านเศรษฐีให้คนตีกลองประกาศข่าวไปทั่วในทันทีทันใดนั้นเอง แล้วอุ้มทารกตรงไปยังราชสํานัก กราบทูลว่า ขอเดชะข้าพระพุทธเจ้าได้ทารกในท้องปลา ข้าพระพุทธเจ้า จะทําประการใด. พระราชาตรัสว่า ทารกที่อยู่ในท้องปลาได้โดยปลอดภัยได้นี้มีบุญ ท่านจงเลี้ยงไว้เถิด.ตระกูลนอกนี้ ได้ฟังข่าวว่า ในพระนครพาราณสี ตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งได้ทารกในท้องปลา. พวกเขาจึงพากันไปในเนืองนั้น ขณะนั้นมารดาของเด็กเห็นเขากําลังแต่งตัวเด็ก แล้วให้เล่นอยู่ จึงตรงเข้าอุ้มด้วยคิดว่า เด็กคนนี้น่ารักจริงหนอ แล้วบอกเล่าความเป็นไปต่างๆ

หญิงนอกนี้พูดว่า เด็กคนนี้เป็นลูกเรา.

หญิงนั้น ถามว่า ท่านได้มาจากไหน.

หญิงนอกนี้พูดว่า เราได้ในท้องปลา.

หญิงนั้นจึงพูดว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของท่าน เป็นลูกของเรา.

หญิงนอกนี้ ถามว่า ท่านได้ที่ไหน.

หญิงนั้น เล่าว่า เราอุ้มท้องเด็กคนนี้มาถึง ๑๐ เดือน คราวนั้นปลาได้กินเด็กที่พวกพี่เลี้ยงกําลังให้เล่นน้ำ.

หญิงนอกนี้ จึงแจ้งว่า ลูกของท่านชะรอยปลาอื่นจะกลืนไป แต่เด็กคนนี้ข้าพเจ้าได้ในท้องปลา. ทั้งสองฝ่ายจึงพากันไปยังราชสํานัก.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 79

พระราชาตรัสว่า หญิงคนนี้ใครๆ ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่มารดา เพราะตั้งท้องมาถึง ๑๐ เดือน แม้พวกชาวประมงที่จับปลาได้ ก็ได้ทําการชื้อขายเป็นต้น เสร็จสิ้นไปแล้ว จึงหมดสิทธิ เพราะฉะนั้น แม้หญิงคนนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ใช่มารดา เพราะได้เด็กในท้องปลา ขอทั้งสองฝ่ายจงเลี้ยงดูเด็กร่วมกันเถิด. แม้ทั้งสองตระกูล ก็เลี้ยงดูเด็กร่วมกันแล้ว เมื่อเด็กเจริญวัยแล้ว ตระกูลทั้งสองก็ได้ให้เขาสร้างปราสาท ไว้ในพระนครทั้งสองแล้วให้บํารุงบําเรอด้วยพวกหญิงฟ้อนรํา. เขาจะอยู่นครละ ๔ เดือน เมื่อเขาอยู่ในนครหนึ่งครบ ๔ เดือนแล้ว ทั้งสองตระกูลให้ช่างสร้างมณฑปไว้ในเรือที่ต่อขนานกัน แล้วให้เขาอยู่ในเรือนั้น พร้อมด้วยหญิงฟ้อนรําทั้งหลายเขาเสวยสมบัติเพลิน เดินทางไปอีกเมืองหนึ่ง. หญิงฟ้อนรําชาวพระนครได้ไปส่งเขาถึงครึ่งทาง. หญิงเหล่านั้นต้อนรับห้อมล้อมแล้วนําเขาไปยังปราสาทของตน. หญิงฟ้อนรําชุดเก่าก็พากันกลับเมืองของตนเหมือนกัน เขาอยู่ในปราสาทนั้นตลอด ๔ เดือน แล้วเดินทางกลับไปยังอีกเมืองหนึ่ง โดยทํานองนั้นแล. เขาเสวยสมบัติอยู่อย่างนี้ครบ ๙๐ ปีบริบูรณ์. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว. เขาฟังธรรมในสํานักของพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดศรัทธา บวชแล้ว ได้เป็นปุถุชนอยู่เพียง ๗ วัน เท่านั้นครั้นในวันที่ ๘ เขาได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย. ตระกูลทั้งสองเนื่องกับท่านอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้ชื่อว่า พักกุละ

บทว่า ปุราณคิหิสหาโย แปลว่า เคยเป็นสหายกันมา ในเวลาที่เป็นคฤหัสถ์. แม้ปริพาชกชื่อ อเจลกกัสสปะนี้ก็มีอายุยืนเหมือนกัน เมื่อจะไปเยี่ยมพระเถระผู้บวชแล้ว ได้ไปในปีที่ ๙๐. บทว่า เมถุโน ธมฺโม (เมถุนธรรม) ความว่า คนโง่ผู้อยู่ในพวกสมณะเปลือย ถามไปอย่างโง่ๆ ไม่ได้ถามโดยใช้ถ้อยคําอิงศาสนโวหาร. เขาตั้งอยู่ในนัยที่พระเถระให้แล้วในบัดนี้ จึงถามด้วย

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 80

คําเป็นต้นว่า อิเมหิ ปน เต ดังนี้. พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายกําหนดบททั้งหลายมีอาทิว่า ยมฺปายสฺมา (ข้อที่ท่าน) ดังนี้ ตั้งไว้แล้ว ในสัพพวารทั้งหลาย ก็ในสัพพวารเหล่านั้น สัญญาพอเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น วิตกก็จะทําลายกรรมบถ เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะแยกจากกันทําไมทั้งสองอย่างนี้ ล้วนทํากรรมบถให้แตกทั้งนั้น.

บทว่า คหปติจีวรํ (คหบดีจีวร) ได้แก่ จีวรของภิกษุผู้อยู่จําพรรษา. บทว่า สตฺเถน (ศัสตรา) ได้แก่กรรไกร. บทว่า สูจิยา (เข็ม) มีอธิบายว่า เราไม่ระลึกถึงข้อที่จีวรจะต้องเย็บด้วยเข็ม. บทว่า กิเน จีวรํ (จีวรในสดีง) ได้แก่กฐินจีวร. ก็กฐินจีวรมีคติอย่างเดียวกับผ้าจํานําพรรษาเท่านั้น เพราะฉะนั้น ในกฐินจีวรนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สินฺเนตา ฯเป ฯ นาภิชานามิ (ไม่รู้จักเย็บจีวรในสดึง) ดังนี้.

ถามว่า ก็เมื่อท่านพักกุลเถระนั้น ไม่ยินดีคหบดีจีวร ไม่กระทํานวกรรม มีการตัดและการเย็บเป็นต้น ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ จีวรจะเกิดแต่ที่ไหน.

ตอบว่า เกิดจากพระนครทั้งสอง พระเถระมียศใหญ่ยิ่ง. บุตรธิดาหลานเหลนของท่านให้คนทําจีวรด้วยผ้าสาฎกเนื้อละเอียดอ่อน ให้ย้อมแล้วใส่ในผอบส่งไปถวาย. ในเวลาที่พระเถระอาบน้ำ เขาจะวางไว้ที่ประตูห้องน้ำ พระเถระนุ่งและห่มจีวรเหล่านั้น. ท่านจะให้จีวรเก่าแก่บรรพชิดทั้งหลายที่ท่านพบ. พระเถระนุ่งห่มจีวรเหล่านั้นแล้ว ไม่ต้องกระทํานวกรรม. กิจกรรมที่จะต้องรวบรวมอะไรๆ ก็ไม่มี. ท่านจะนั่งเข้าผลสมาบัติ เมื่อครบสี่เดือนไปแล้ว ขนก็หลุดลุ่ย คราวนั้น ลูกๆ หลานๆ ก็จะส่งจีวรไปถวายท่านโดยทํานองนั้นแหละ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ท่านผลัดเปลี่ยนจีวรทุกๆ ครึ่งเดือน.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 81

ก็ข้อที่พระเถระผู้มีบุญมาก มีอภิญญามาก บําเพ็ญบารมีมาถึงแสนกัปผลัดเปลี่ยนจีวรทุกๆ กึ่งเดือนนั้น เป็นของไม่น่าอัศจรรย์เลย พระนิโครธเถระผู้อยู่ประจําราชสํานัก ของพระเจ้าอโศกธรรมราช ยังเปลี่ยนจีวรถึงวันละ ๓ ครั้ง. ก็เจ้าพนักงานจะวางไตรจีวรของท่านไว้บนคอช้าง นํามาถวายแต่เช้าตรู่ พร้อมกับผอบใส่ของหอม ๕๐๐ ผอบใส่ดอกไม้ ๕๐๐ ถึงในเวลากลางวันและเวลาเย็น ก็ปฏิบัติเช่นนั้น. ได้ยินว่า พระราชาเมื่อให้ท่านเปลี่ยนผ้าวันละ ๓ ครั้ง จะตรัสถามว่า พวกท่านนําจีวรไปถวายพระเถระแล้วหรือ. พอทรงสดับว่า นําไปถวายแล้ว พระเจ้าเข้า จึงจะให้เปลี่ยน. แม้พระเถระก็ไม่ผูกรวมเป็นห่อเก็บไว้. แต่ได้ถวายแก่เพื่อนพรหมจรรย์ที่ท่านพบแล้ว.

ได้ยินว่า ในครั้งนั้น ภิกษุสงฆ์ในชมพูทวีปทั้งสิ้น โดยมากได้ใช้ปัจจัยคือจีวรอันเป็นของพระนิโครธเถระทั้งนั้น. ในบทว่า อโห วต มํ โกจินิมนฺเตยฺย (โอหนอ ขอใครๆ พึงนิมนต์เราเถิด) นี้ มีคําถามว่า เหตุไร การไม่ให้จิตบังเกิดขึ้น จึงเป็นของหนักและที่เกิดขึ้นแล้วก็ต้องละ.

ตอบว่า ขึ้นชื่อว่า จิต เปลี่ยนแปลงได้เร็ว เพราะฉะนั้น การไม่ให้จิตเกิดขึ้น จึงเป็นของหนัก แม้ถึงการละจิตที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นของหนักเช่นเดียวกัน. บทว่า อนฺตรฆเร (ในละแวกบ้าน) ความว่า ในมหาสกุลุทายิสูตร ตั้งแต่ธรณีประตูไป เรียกว่า เรือน แต่ในที่นี้ ประสงค์เอาตั้งแต่ที่ตั้งแห่งน้ำตกจากชายคา.

ถามว่า ก็ภิกษาจะเกิดแก่ท่านได้แต่ที่ไหน.

ตอบว่า พระเถระคนรู้จักกันทั่วสองพระนคร พอท่านมาถึงประตูเรือนเท่านั้น คนจะพากันมารับบาตร ใส่โภชนะอันมีรสเลิศต่างๆ ถวาย.ท่านจะกลับแต่ที่ซึ่งท่านได้รับอาหารแล้ว. แต่ที่สําหรับทําภัตภิจของท่านได้มีประจําที่เดียว. บทว่า อนุพฺยฺชนโส (โดยอนุพยัญชนะ) ความว่า ได้ยินว่า พระเถระถือเอานิมิตในรูปแล้ว ไม่เคยมองดูมาตุคามเลย. บทว่า มาตุคามสฺส ธมฺม (ธรรมแก่มาตุคาม)

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 82

ความว่า จะแสดงธรรมแก่มาตุคามด้วยวาจาเพียง ๕ - ๖ ค่ํา ก็ควร แต่ถ้าถูกถามปัญหา จะกล่าวคาถาแม้ตั้งพัน ก็สมควรโดยแท้. ก็พระเถระไม่เคยทําสิ่งที่เป็นกับปิยะให้เป็นอกัปปิยะเลย. แท้จริงการทําเช่นนั้น โดยมากจะมีแก่ภิกษุผู้เข้าตระกูล. บทว่า ภิกฺขุนูปสฺสยํ แปลว่า สํานักของภิกษุณี. ก็ผู้ที่จะเยี่ยมไข้จะไปสํานักของภิกษุณีนั้น ก็ควร. ก็พระเถระไม่กระทําเฉพาะสิ่งที่เป็นกัปปิยะ. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้. บทว่า จุณฺเณน ได้แก่จุณแห่งดอกคําฝอยเป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริกมฺเม ได้แก่ กระทําการนวดตัว.บทว่า วิจาริตา (ยินดี) แปลว่า ให้ประกอบแล้ว. บทว่า คทฺทูหนมตฺตํ ความว่าแม้ชั่วขณะจับนมโค แล้วรีดเอาน้ำนมเพียงหยดเดียว.

ก็พระเถระไม่เคยอาพาธด้วยเหตุไรๆ เลย. ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ. มีภิกษุหนึ่งแสนเป็นบริวาร เสด็จเที่ยวจาริกไป ต้นไม้ที่มีพิษในป่าหิมพานต์บานแล้ว. แม้ภิกษุทั้งแสนก็ป่วยเป็นโรคเนื่องด้วยดอกหญ้าเป็นพิษ. ในสมัยนั้น พระเถระเป็นดาบสผู้มีฤทธิ์.ท่านเหาะไปเห็นภิกษุสงฆ์ จึงลงมาถามถึงโรคที่เป็น แล้วนําโอสถมาจากป่าหิมพานต์จัดถวาย. พอกระทบยาเท่านั้น โรคก็สงบทันที. แม้ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ท่านหยุดไถนาในวันแรกนา ให้สร้างโรงครัว และเวจกุฏิ จัดยาถวายภิกษุสงฆ์เป็นประจํา ด้วยกรรมนี้ท่านจึงเป็นผู้ปราศจากอาพาธ. และเพราะท่านถือการนั่งเป็นวัตรอย่างอุกฤษฏ์ และการอยู่ป่าเป็นวัตรอย่างอุกฤษฏ์ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคํามีอาทิว่า นาภิชานามิ อปสฺสยิตา. (ไม่รู้จักอิงพนัก)

บทว่า สรโณ แปลว่า ยังมีกิเลส. บทว่า อฺา อุทปาทิ (พระอรหัตตผลก็เกิดขึ้น) ความว่า ไม่ควรพยากรณ์พระอรหัต แก่อนุปสัมบัน.

ถามว่า เพราะเหตุไร พระเถระจึงได้พยากรณ์.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 83

ตอบว่า พระเถระมิได้กล่าวว่า เราเป็นพระอรหัต แต่กล่าวว่าพระอรหัตตผล เกิดขึ้นแล้ว. อีกประการหนึ่ง ปรากฏว่า พระเถระได้เป็นพระอรหัตแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า ปพฺพชฺชํ (บรรพชา) ความว่า พระเถระไม่ได้ให้ปริพาชกชื่ออเจลกัสสปะ. บรรพชาและอุปสมบทด้วยตนเอง แต่ให้ภิกษุเหล่าอื่นบวชให้. บทว่า อปาปุรณํ อาทาย แปลว่า ถือลูกดาล (กุญแจ) บทว่า นิสินฺนโกว ปรินิพฺยายิ (นั่งปรินิพพานแล้ว) ความว่า พระเถระดําริว่า แม้เรามีชีวิตอยู่อย่าได้เป็นภาระแก่ภิกษุเหล่าอื่น สรีระของเราแม้ ปรินิพพานแล้ว อย่าให้ภิกษุสงฆ์ต้องเป็นกังวลเลย จึงเข้าเตโชธาตุปรินิพพานแล้วเปลวไฟลุกขึ้นท่วมสรีระ. ผิวหนัง เนื้อและโลหิตถูกเผาไหม้สิ้นไป เหมือนเนยใส. ยังคงเหลืออยู่แต่ธาตุ ที่มีลักษณะดังดอกมะลิตูม. คําที่เหลือในบททั้งปวง ชัดแล้วทั้งนั้นก็แลพระสูตรนี้ ท่านสงเคราะห์เข้าในทุติยสังคหวาร.

จบอรรถกถาพักกุลสูตรที่ ๔.