พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๑. สัจจวิภังคสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  28 ส.ค. 2564
หมายเลข  36147
อ่าน  762

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 381

๑๑. สัจจวิภังคสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 23]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 381

๑๑. สัจจวิภังคสูตร

[๖๙๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี. สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดํารัสแล้ว.

[๖๙๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศธรรมจักรอัน ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ ได้ทรงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จําแนก ทําให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔อริยสัจ ๔ เหล่าไหน คือ ทรงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จําแนกทําให้ง่ายซึ่งทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทัยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะหรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลกยังไม่เคยประกาศ ได้ทรง บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จําแนกทําให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ นี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ จงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิตภิกษุ ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กําเนิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บํารุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนําโสดาปัตติผล โมคคัลลานะ ย่อมแนะนําในผลชั้นสูง สารีบุตรย่อมสามารถบอก แสดงบัญญัติ แต่งตั้ง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 382

เปิดเผย จําแนก ทําให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ ได้โดยพิสดาร. พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคต ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร.

[๗๐๐] ขณะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นานพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคําท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะหรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ ได้ทรงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จําแนกทําให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เหล่าไหน คือ ทรงบอก แสดง บัญญัติแต่งตั้ง เปิดเผย จําแนก ทําให้ง่ายซึ่งทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทัยอริยสัจทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.

[๗๐๑] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน คือชาติก็เป็นทุกข์ ชราก็เป็นทุกข์ มรณะก็เป็นทุกข์ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาส ก็เป็นทุกข์ ความไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นทุกข์โดยประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์๕ เป็นทุกข์.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ได้แก่ ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้เฉพาะซึ่งอายตนะ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ นี้เรียกว่า ชาติ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ชราเป็นไฉน ได้แก่ ความแก่ ความคร่ําคร่า ความเป็นผู้มีฟันหัก มีผมหงอก มีหนังย่น ความเสื่อมอายุ ความหง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ นี้เรียกว่า ชรา

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 383

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็มรณะเป็นไฉน ได้แก่ความจุติ ความเคลื่อนไปความแตก ความอันตรธาน ความตาย ความมรณะ การทํากาละความสลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่าง ความขาดชีวิตนทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ นี้เรียกว่า มรณะ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็โสกะเป็นไฉน ได้แก่ ความโศกความเศร้า ความเหี่ยวแห้งใจ ความเหี่ยวแห้งภายใน ความเหี่ยวแห้งรอบในภายใน ของบุคคลผู้ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่า โสกะ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ปริเทวะเป็นไฉน ได้แก่ ความรําพันความร่ําไร กิริยารําพัน กิริยาร่ําไร ลักษณะที่รําพัน ลักษณะที่ร่ําไร ของบุคคลที่ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่า ปริเทวะ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขะเป็นไฉน ได้แก่ความลําบากกายความไม่สบายกาย ความเสวยอารมณ์ที่ลําบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัสทางกาย นี้เรียกว่า ทุกขะ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลายก็โทมนัสเป็นไฉน ได้แก่ความลําบากใจความไม่สบายใจ ความเสวยอารมณ์ที่ลําบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่า โทมนัส.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อุปายาสเป็นไฉน ได้แก่ ความคับใจความแค้นใจ ลักษณะที่คับใจ ลักษณะที่แค้นใจ ของบุคคลผู้ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้วนี้เรียกว่า อุปายาส.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 384

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์เป็นไฉน ได้แก่ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องเกิดเป็นธรรมดา และความเกิดอย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสําเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่าความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความแก่เป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องแก่เป็นธรรมดา และความแก่อย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสําเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องเจ็บไข้เป็นธรรมดา และความเจ็บไข้อย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสําเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความตายเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องตายเป็นธรรมดา และความตายอย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสําเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่าความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอขอเราอย่าต้องมีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดาและโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสอย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสําเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็โดยประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน คืออย่างนี้ อุปาทานขันธ์ คือรูป คือเวทนา คือสัญญา

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 385

คือสังขาร คือวิญญาณ เหล่านั้น โดยประมวลแล้ว ชื่อว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทุกขอริยสัจ.

[๗๐๒] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจเป็นไฉน ได้แก่ตัณหาที่นําไปสู่ภพใหม่ สหรคตด้วยความกําหนัด ด้วยอํานาจความยินดี อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นี้เรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ.

[๗๐๓] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน ได้แก่ความดับด้วยอํานาจคลายกําหนัดไม่มีส่วนเหลือ ความสละ ความสลัดคืน ความปล่อย ความไม่มีอาลัย ซึ่งตัณหานั้นนั่นแล นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ.

[๗๐๔] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน ได้แก่มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐนี้แล ซึ่งมีดังนี้ (๑) สัมมาทิฏฐิ (๒) สัมมาสังกัปปะ (๓) สัมมาวาจา (๔) สัมมากัมมันตะ (๕) สัมมาอาชีวะ (๖) สัมมาวายามะ (๗) สัมมาสติ (๘) สัมมาสมาธิ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ได้แก่ ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุก นิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ได้แก่ความดําริในเนกขัมมะ ความดําริในอันไม่พยาบาท ความดําริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 386

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน ได้แก่ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ จากพูดส่อเสียด จากพูดคําหยาบ จากเจรจา.เพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน ได้แก่ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้น จากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละมิจฉาชีพแล้ว สําเร็จความเป็นอยู่ด้วยสัมมาชีพ นี้เรียกว่าสัมมาอาชีวะ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาวายามะเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมให้เกิดฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น ๑ เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้วเสีย ๑ เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้น.เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟันเฝือ เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ และบริบูรณ์ของกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ๑ นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาสติเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิต... เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติกําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ นี้เรียกว่าสัมมาสติ.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 387

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจารมีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าทุติยฌาน... อยู่ เป็นผู้วางเฉย เพราะหน่ายปีติ มีสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน... อยู่เข้าจตุตถฌาน... อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคานินีปฏิปทาอริยสัจ.

[๗๐๕] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมารหรือพรหม หรือใครๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ ได้แก่ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงแต่งตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจําแนก ทรงทําให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ นี้.

ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตรแล.

จบ สัจจวิภังคสูตร ที่ ๑๑

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 388

อรรถกถาสัจจวิภังคสูตร

สัจจวิภังคสูตร เริมต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาจิกฺขนา (บอกว่า) ความว่า นี้ชื่อว่า ทุกข์อริยสัจ ฯลฯ นี้ชื่อว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. อนึ่ง ในที่นี้ การตั้งสัจจะมีทุกขสัจเป็นต้น ชื่อว่า การบัญญัติ. ก็บุคคลทั้งอาสนะ เรียกว่า บัญญัติอาสนะ. บทว่า ปฏฺปนา คือการบัญญัติ. บทว่า วิวรณา (การเปิดเผย) คือ การทําเปิดเผย. บทว่า วิภชฺนา (การจำแนก) คือทําการจําแนก. บทว่า อุตฺตานีกมฺมํ (การทำให้ง่าย) ได้แก่ทําให้ปรากฏ. บทว่า อนุคฺครหกา (ผู้อนุเคราะห์) ความว่า อนุเคราะห์ด้วยการสงเคราะห์ แม้๒ อย่าง คือ อามิสสงเคราะห์ ธรรมสงเคราะห์. บทว่า ชเนตา (ผู้ให้กำเนิด) คือ มารดาผู้ให้เกิด. บทว่า อาปาเทตา คือ ผู้เลี้ยง ทรงแสดงว่า โมคคัลลานะดุจมารดาผู้เลี้ยง. ก็มารดาผู้ให้เกิด.งดเว้นของเค็มและของเปรี้ยวเป็นต้น ตลอด ๙ เดือนหรือ ๑๐ เดือน ทรงทารกไว้ในท้อง ให้มารดาเลี้ยงคือแม่นม รับทารกที่ออกจากท้อง. มารดานั้นเลี้ยงทารกด้วยน้ำนม และเนยสด เป็นต้นให้เจริญ. ทารกนั้นอาศัยความเจริญเที่ยวไปตามสบาย. พระสารีบุตรเถระก็เป็นอย่างนั้น สังเคราะห์บรรพชิตทั้งหลาย ในสํานักของตน หรือของภิกษุเหล่าอื่น ด้วยการสงเคราะห์ ๒ อย่างปฏิบัติบรรพชิตผู้ไข้ ชักชวนในกัมมัฏฐาน รู้ความเป็นพระโสดาบันแล้วจําเดิมแต่กาลบรรพชิตเหล่านั้นออกจากภัยในอบายทั้งหลาย บัดนี้ ก็เป็นผู้ไม่สนใจในบรรพชิตเหล่านั้นว่า พวกเขาจักยังมรรคเบื้องสูงให้เกิดขึ้นด้วยการกระทําของบุรุษ เฉพาะตนแล้ว กล่าวสั่งสอนบรรพชิตใหม่ๆ เหล่าอื่น. ฝ่ายพระมหาโมคคัลลานะ สงเคราะห์บรรพชิตทั้งหลายในสํานักของตน หรือของ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 389

ภิกษุเหล่าอื่นเช่นนั้นเหมือนกัน ชักชวนในกัมมัฏฐาน ย่อมไม่ถึงความเป็นผู้ไม่สนใจในบรรพชิตทั้งหลาย แม้บรรลุแล้วซึ่งผล ๓ ในเบื้องต่ํา. ทราบว่าเพราะเหตุไร พระมหาโมคคัลลานะนั้น จึงมีความคิดอย่างนี้. สมดังพระดํารัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คูถแม้มีประมาณน้อยก็มีกลิ่นเหม็น มูตร น้ำลาย น้ำหนอง เลือด แม้มีประมาณน้อยก็มีกลิ่นเหม็นแม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่สรรเสริญภพแม้มีประมาณน้อยโดยที่สุด แม้สักว่าแอบอิงนางฟ้า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ดังนี้. เพราะฉะนั้นพระมหาโมคคัลลานะจึงไม่ถึงความเป็นผู้ไม่สนใจในบรรพชิตเหล่านั้น จนกว่าพวกเขายังไม่บรรลุอรหัต ย่อมถึงความเป็นผู้ไม่สนใจในบรรพชิตทั้งหลายแม้ผู้บรรลุอรหัตแล้ว. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเหมือนมารดาผู้บังเกิดเกล้า โมคคัลลานะเหมือนมารดาเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรย่อมแนะนําในโสดาปัตติผลโมคคัลลานะย่อมแนะนําในผลที่สูงขึ้นไป ดังนี้.

บทว่า ปโหติ (ย่อมสามารถ) ได้แก่ ย่อมอาจ. บทว่า ทุกฺเข าณํ (ความรู้ในทุกข์) ได้แก่ญาณในการแทงตลอดด้วยการฟังและการพิจารณา. ในทุกขสมุทัยก็เหมือนอย่างนั้น. ปฏิเวธญาณในการฟัง ย่อมควรในทุกขนิโรธ. ย่อมควรในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเหมือนกัน. ในสังกัปปะทั้งหลายมีเนกขัมมสังกัปปะเป็นต้น ความดําริว่า สังกัปปะเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้พิจารณากาม ด้วยอรรถว่า กามเป็นข้าศึกหรือโดยความสลัดออกจากกามก็ดี สังกัปปะทําการกําจัดกาม คือ ความเข้าไปสงบระงับกามเกิดขึ้นแล้วก็ดี สังกัปปะเกิด ขึ้นในที่สุดแห่งการสงบจากกามก็ดีชื่อว่า เนกขัมมสังกัปปะ. แม้ในบททั้งสองที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็สังกัปปะเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ในบุพภาคได้ในจิตต่างๆ ในขณะแห่งมรรคย่อมได้ใน

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 390

จิตเดียว จริงอยู่ ย่อมได้สังกัปปะเดียวเท่านั้น ที่ทําลายมิจฉาสังกัปปะเจตนาในเอกจิตนั้น ย่อมไม่ได้สังกัปปะต่างๆ. แม้สัมมาวาจาเป็นต้น ก็ย่อมได้ในนิดเดียวในขณะแห่งมรรคโดยนัยกล่าวแล้ว ในบรรดาจิตต่างๆ ในบุพภาคในที่นี้ มีความสังเขปเพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดารได้กล่าวแล้วในสัจจกถาวิสุทธิมรรค และในสัมมาทิฏฐิสูตรนั้นเทียวแล.

จบอรรถกถาสัจจวิภังคสูตรที่ ๑๑