เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรูกระทำปิตุฆาต

 
ไตรสรณคมน์
วันที่  4 พ.ค. 2550
หมายเลข  3619
อ่าน  16,294

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 339

ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรู ยังอยู่ในพระครรภ์ พระเทวีเกิด การแพ้ท้องถึงขนาดอย่างนี้ว่า โอ หนอ เราพึงดื่มโลหิตพระพาหา เบื้องขวาของพระราชา

พระนางมีพระดําริว่า การแพ้ท้องเกิดขึ้นใน ฐานะอันหนัก ไม่อาจบอกให้ใครทราบได้ เมื่อไม่อาจบอกได้ จึงซูบ ผอมผิวพรรณซีดลง พระราชาตรัสถามพระนางว่า "แน่ะนางผู้เจริญร่างกายของเธอมีผิวพรรณไม่ปรกติ มีเหตุอะไรหรือ" ทูลว่า "โปรด อย่าถามเลย ทูลกระหม่อม" รับสั่งว่า "แน่ะพระนาง เมื่อไม่อาจบอก ความประสงค์ของเธอแก่ฉัน เธอจักบอกแก่ใคร" ดังนี้ ทรงรบเร้า ด้วยประการนั้นๆ ให้พระนางบอกจนได้ พอได้ทรงทราบเท่านั้นก็รับสั่ง ว่า "พระนางนี่โง่ ในเรื่องนี้เธอมีสัญญาหนักหนา มิใช่หรือ" ดังนั้น จึงรับสั่งให้เรียกหมอมา ให้เอามีดทองกรีดพระพาหา แล้วรองพระโลหิต ด้วยจอกทองคํา เจือด้วยน้ำแล้วให้พระนางดื่ม

เนมิตตกาจารย์ทั้งหลายได้ทราบข่าวดังนั้น พากันพยากรณ์ว่า พระโอรสในครรภ์องค์นี้จักเป็นศัตรูแก่พระราชา พระราชาจักถูกพระ โอรสองค์นี้ปลงพระชนม์

พระเทวีทรงสดับข่าวดังนั้น มีพระดําริว่า "พระโอรสที่ออกจาก ท้องของเราจักฆ่าพระราชา" จึงมีพระประสงค์จะทําลายครรภ์ให้ตกไป เสด็จไปพระราชอุทยานให้บีบพระครรภ์ แต่พระครรภ์ก็หาตกไม่

พระนางเสด็จไปให้ทําอย่างนั้นบ่อยๆ พระราชาทรงสืบดูว่า พระเทวีนี้เสด็จไปพระราชอุทยานเนืองๆ เพื่ออะไร ทรงทราบเหตุนั้นแล้วจึงทรงห้ามว่า พระนาง เด็กในท้องของพระนาง ยังไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิงเลย พระนางก็กระทําอย่างนี้กะทารกที่เกิดแก่ตนเสียแล้ว โทษกองใหญ่ของเราดังกล่าวนี้จักกระจายไปทั่วชมพูทวีป ขอพระนางจงอย่ากระทําอย่างนี้อีกเลย แล้วได้ประทานอารักขา พระนางเธอได้หมายใจไว้ว่า เวลาตลอดจักฆ่าเสีย แม้ในเวลาที่ตลอดนั้น พวกเจ้าหน้าที่อารักขาก็ได้นําพระกุมารออกไปเสีย

สมัยต่อมา พระกุมารเจริญวัยแล้ว จึงนํามาแสดงแก่พระเทวี พอทอดพระเนตรเห็นพระกุมารเท่านั้น พระนางก็เกิดความรักพระโอรส ฉะนั้นจึงไม่อาจฆ่าพระกุมารนั้นได้ ลําดับต่อมา แม้พระราชาก็ได้พระราชทานตําแหน่งอุปราชแก่พระโอรส

สมัยต่อมาพระเทวทัตอยู่ในที่ลับ คิดว่า พระสารีบุตรก็มีบริษัทมาก พระโมคคัลลานะก็มีบริษัทมาก พระมหากัสสปะก็มีบริษัทมาก ท่านเหล่านี้มีธุระคนละอย่างๆ ถึงเพียงนี้ แม้เราก็จะแสดงธุระสักอย่างหนึ่ง พระเทวทัตนั้น เมื่อไม่มีลาภ ก็ไม่อาจทําบริษัทให้เกิดขึ้นได้ จึงคิดว่า เอาละ เราจักทําลาภให้เกิดขึ้น จึงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ทําให้อชาตศัตรูราชกุมารเลื่อมใส ตานนัยที่มาในขันธกะ พอรู้ว่าพระกุมารอชาตศัตรูเลื่อมใส คุ้นเคยยิ่ง ถึงขนาดมาสู่ที่บํารุงของตนทั้งเช้าเย็นพร้อมด้วยบริวารเต็มรถ ๕๐๐ คัน วันหนึ่งจึงเข้าไปหากล่าวว่า ดูก่อน กุมาร เมื่อก่อนพวกมนุษย์มีอายุยืน แต่เดี๋ยวนี้มีอายุน้อย ดูก่อนกุมาร ถ้าอย่างนั้นพระราชกุมาร พระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดาเสีย แล้วเป็นพระราชา อาตมภาพจักปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า แล้วส่งพระกุมารไปปลงพระชนม์พระบิดา

พระกุมารอชาตศัตรูนั้นหลงเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตมีอานุภาพมาก สิ่งที่พระเทวทัตไม่รู้แจ้งไม่มี จึงเหน็บกฤชที่พระอุรุ มุ่งจะฆ่ากลางวันแสกๆ มีความกลัวหวาด หวั่นสะดุ้งตื่นเต้น เข้าไปภายในพระราชฐาน ทําอาการแปลกๆ มีประการดังกล่าวแล้ว

ครั้งนั้นพวกอํามาตย์จับอชาตศัตรูราชกุมารได้ ส่งออกมาปรึกษาโทษว่า พระกุมารจะต้องถูกประหาร พระเทวทัตจะต้องถูกประหาร และภิกษุพวกพระเทวทัตทั้งหมดจะต้องถูกประหาร แล้วกราบทูลพระราชาว่า พวกข้าพระองค์จักกระทําตามพระราชอาชญา

พระราชาทรงลดตําแหน่งของพวกอํามาตย์ที่ประสงค์ลงโทษประหาร ทรงตั้งพวกอํามาตย์ที่ไม่ต้องการให้ลงโทษประหารไว้ในตําแหน่งสูงๆ แล้วตรัสถามพระกุมารว่า ลูกต้องการจะฆ่าพ่อเพื่ออะไร พระกุมารกราบทูลว่า หม่อมฉันต้องการราชสมบัติ พระเจ้าข้าพระราชาได้พระราชทานราชสมบัติแก่พระโอรสนั้น อชาตศัตรูราชกุมารบอกแก่พระเทวทัตว่า ความปรารถนาของเราสําเร็จแล้ว

ลําดับนั้นพระเทวทัตกล่าวกะพระกุมารว่า พระองค์เหมือนคนเอาสุนัขจิ้งจอกไว้ภายในกลองหุ้มหนัง แล้วสําคัญว่าทํากิจสําเร็จเรียบร้อยแล้ว อีกสองสามวันพระบิดาของพระองค์ทรงคิดว่า พระองค์ทําการดูหมิ่น แล้วก็จักเป็นพระราชาเสียเอง

พระกุมารถามว่า ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะทําอย่างไรเล่า พระเทวทัตตอบว่า จงฆ่าชนิดถอนรากเลย พระกุมารตรัสว่า พระบิดาของข้าพเจ้าไม่ควรฆ่าด้วยศาตรามิใช่หรือ

พระเทวทัตจึงกล่าวว่า จงฆ่าพระองค์ด้วยการตัดพระกระยาหาร พระกุมารจึงสั่งให้เอาพระบิดาใส่เข้าในเรือนอบ. ที่ชื่อว่าเรือนอบ คือเรือนมีควันที่ทําไว้เพื่อลงโทษแก่นักโทษ พระกุมารสั่งไว้ว่า นอกจากพระมารดาของเราแล้ว อย่าให้คนอื่นเยี่ยม

พระเทวีทรงใส่ภัตตาหารในขันทองคําแล้วห่อชายพกเข้าเยี่ยมพระราชา พระราชาเสวยภัตตาหารนั้นจึงประทังพระชนม์อยู่ได้. พระกุมารตรัสถามว่า พระบิดาของเราดํารงพระชนม์อยู่ได้อย่างไร ครั้นทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ตรัสสั่งห้ามมิให้พระมารดานําสิ่งของใส่ชายพกเข้าเยี่ยม

ตั้งแต่นั้น พระเทวีก็ใส่ภัตตาหารไว้ในพระเมาลีเข้าเยี่ยม พระกุมารทรงทราบแม้ดังนั้น รับสั่งห้ามมิให้พระมารดามุ่นพระเมาลีเข้าเยี่ยม

ลําดับนั้น พระเทวีทรงใส่ภัตตาหารไว้ในฉลองพระบาททอง ปิดดีแล้ว ทรงฉลองพระบาททองเข้าเยี่ยม พระราชาดํารงพระชนม์อยู่ ด้วยภัตตาหารนั้น พระกุมารตรัสถามอีกว่า พระบิดาดํารงพระชนม์อยู่ได้อย่างไร ครั้นทรงทราบความนั้น ตรัสสั่งห้ามมิให้แม้แต่ทรงฉลองพระบาทเข้าเยี่ยม

ตั้งแต่นั้นพระเทวีก็ทรงสนานพระวรกายด้วยน้ําหอม แล้วทาพระวรกายด้วยอาหารมีรสอร่อย ๔ อย่าง แล้วทรงห่มพระภูษาเข้าเยี่ยม พระราชาทรงเลียพระวรกายของพระเทวีประทังพระชนม์อยู่ได้ พระกุมารตรัสถามอีก ครั้นทรงทราบดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งว่า ตั้งแต่นี้ไป ห้ามพระมารดาเข้าเยี่ยม

ต่อแต่นั้น พระเทวีประทับยืนแทบประตูทรงกันแสงคร่ําครวญว่า ข้าแต่พระสวามีพิมพิสาร เวลาที่เขาผู้นี้เป็นเด็ก พระองค์ก็ไม่ให้โอกาสฆ่าเขา ทรงเลี้ยงศัตรูของพระองค์ไว้ด้วยพระองค์เองแท้ๆ บัดนี้ การเห็นพระองค์ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ต่อแต่นี้ไปหม่อมฉันจะไม่ได้เห็นพระองค์อีก ถ้าโทษของหม่อมฉันมีอยู่ ขอได้โปรดพระราชทานอภัยโทษด้วยเถิดพระเจ้าข้า แล้วก็เสด็จกลับ

ตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็ไม่มีพระกระยาหาร ดํารงพระชนม์อยู่ด้วยความสุขประกอบด้วยมรรคผล (ทรงเป็นพระโสดาบัน) ด้วยวิธีเดินจงกรม พระวรกายของพระองค์ก็เปล่งปลั่งยิ่งขึ้น พระกุมารตรัสถามว่า แน่ะพนาย พระบิดาของเรายังดํารงพระชนม์อยู่ได้อย่างไร ครั้นทรงทราบว่า ยังดํารงพระชนม์อยู่ได้ด้วยวิธีเดินจงกรม พระเจ้าข้า ซ้ำพระวรกายยังเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นอีก จึงทรงพระดําริว่า เราจักติดมิให้พระบิดาเดินจงกรมได้ในบัดนี้ ทรงบังคับช่างกัลบกทั้งหลายว่า พวกท่านจงเอามีดโกนผ่าพระบาททั้ง ๒ ของพระบิดาของเราแล้วเอาน้ำมันผสมเกลือทา แล้วจงย่างด้วยถ่านไม้ตะเคียนซึ่งติดไฟคุไม่มีเปลวเลย แล้วส่งไป

พระราชาทอดพระเนตรเห็นพวกช่างกัลบก ทรงดําริว่า ลูกของเราคงจักมีใครเตือนให้รู้สึกตัวแน่แล้ว ช่างกัลบกเหล่านี้ คงจะมาแต่งหนวดของเรา ช่างกัลบกเหล่านั้นไปถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ครั้นถูกตรัสถามว่า มาทําไม จึงกราบทูลให้ทรงทราบ พระราชาพิมพิสารจึงตรัสว่า พวกเจ้าจงทําตามใจพระราชาของเจ้าเถิด พวกช่างกัลบกจึงกราบทูลว่า ประทับนั่งเถิด พระเจ้าข้า ถวายบังคมพระเจ้าพิมพิสารแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พวกข้าพระองค์จําต้องทําตามพระราชโองการขอพระองค์ อย่าทรงพิโรธพวกข้าพระองค์เลย การกระทําเช่นนี้ไม่ควรแก่พระราชา ผู้ทรงธรรมเช่นพระองค์แล้วจับข้อพระบาทด้วยมือซ้าย ใช้มือขวาถือมีดโกนผ่าพื้นพระบาททั้ง ๒ ข้าง เอาน้ำมันผสมเกลือทา แล้วย่างด้วยถ่านเพลิงไม้ตะเคียนที่กําลังคุไม่มีเปลวเลย

เล่ากันว่า ในกาลก่อนพระราชาพิมพิสารได้ทรงฉลองพระบาทเข้าไปในลานพระเจดีย์ และเอาพระบาทที่ไม่ได้ชําระเหยียบเสื่อกกที่เขาปูไว้สําหรับนั่ง นี้เป็นผลของบาปนั้น พระราชาพิมพิสารทรงเกิดทุกขเวทนาอย่างรุนแรง ทรงรําลึกอยู่ว่า อโห พุทฺโธ อโห ธมฺโม อโห สงฺโฆ เท่านั้น ทรงเหี่ยวแห้งไปเหมือนพวงดอกไม้ที่เขาวางไว้ในลานพระเจดีย์ บังเกิดเป็นยักษ์ ชื่อ ชนวสภะ เป็นผู้รับใช้ของท้าวเวสสวรรณในเทวโลกชั้นจาตุมหาราช และในวันนั้นนั่นเอง พระโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ประสูติ.

หนังสือ ๒ ฉบับ คือข่าวพระโอรสประสูติฉบับหนึ่ง ข่าวพระบิดาสวรรคต ฉบับหนึ่ง มาถึงในขณะเดียวกันพอดี พวกอํามาตย์ปรึกษากันว่า พวกเราจักทูลข่าวพระโอรสประสูติก่อนจึงเอาหนังสือข่าวประสูตินั้นทูนถวายในพระหัตถ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู.

ความรักลูกเกิดขึ้นแก่พระองค์ในขณะนั้นทันที ท่วมไปทั่วพระวรกายแผ่ไปจดเยื่อในกระดูก ในขณะนั้นพระองค์ได้รู้ซึ้งถึงคุณของพระบิดาว่า แม้เมื่อเราเกิด พระบิดาของเราก็คงเกิดความรักอย่างนี้เหมือนกันจึงรีบมีรับสั่งว่า แน่ะพนาย จงไปปล่อยพระบิดาของเรา

พวกอํามาตย์ทูลว่า พระองค์สั่งให้ปล่อยอะไร พระเจ้าข้า แล้วถวายหนังสือแจ้งข่าวอีกฉบับหนึ่งที่พระหัตถ์ พอทรงทราบความเป็นไปดังนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงกันแสง เสด็จไปเฝ้าพระมารดา ทูลว่า ข้าแต่เสด็จแม่ เมื่อหม่อมฉันเกิด พระบิดาของหม่อมฉันเกิดความรักหม่อมฉันหรือหนอ พระนางเวเทหิ มีรับสั่งว่า เจ้าลูกโง่ เจ้าพูดอะไร เวลาที่ลูกยังเล็กอยู่ เกิดเป็นฝีที่นิ้วมือ ครั้งนั้นพวกแม่นมทั้งหลายไม่สามารถทําให้ลูกซึ่งกําลังร้องไห้หยุดร้องได้ จึงพาลูกไปเฝ้าเสด็จพ่อของลูกซึ่งประทับนั่งอยู่ในโรงศาล เสด็จพ่อของลูกได้อมนิ้วมือของลูกจนฝีแตกในพระโอษฐ์นั้นเอง ครั้งนั้นเสด็จพ่อของลูกมิได้เสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงกลืนพระบุพโพปนพระโลหิตนั้นด้วยความรักลูก เสด็จพ่อของลูกมีความรักลูกถึงปานนี้

พระเจ้าอาชาตศัตรูทรงกันแสงคร่ำครวญ ได้ถวายเพลิงพระศพพระบิดา ฝ่ายพระเทวทัตเข้าเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า มหาบพิตร พระองค์จงสั่งคนที่จักปลงชีวิตพระสมณโคดม แล้วสั่งคนทั้งหลายที่พระเจ้าอชาตศัตรูพระราชทาน ตนเองขึ้นเขาคิชฌกูฏ กลิ้งศิลาก็แล้ว ให้ ปล่อยช้างนาฬาคิรี ก็แล้ว ด้วยอุบายไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่อาจปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ก็เสื่อมลาภสักการะ จึงขอวัตถุ ๕ ประการ เมื่อไม่ได้วัตถุ ๕ ประการนั้นก็ประกาศว่า ถ้าอย่างนั้น จักให้มหาชนเข้าใจเรื่องให้ตลอด จึงทําสังฆเภท เมื่อพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะพาบริษัทกลับแล้ว จึงรากเลือดออกร้อนๆ นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ๙ เดือน เดือดร้อนใจ ถามว่า เดี๋ยวนี้พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน ครั้นได้รับตอบว่า ในพระเชตวัน จึงกล่าวว่า พวกท่านจงเอาเตียง หามเราไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อเขาหามมา เพราะมิได้กระทํากรรมที่ควรจะได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงถูกแผ่นดินสูบที่ใกล้สระโบกขรณีในพระเชตวันนั่นเอง ลงไปอยู่ในมหานรก. นี้เป็นความย่อในเรื่องนี้.


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 4 พ.ค. 2550

ใครที่ทำอนันตริยกรรมมี ๕ อย่าง ตายแล้วตกนรกทันที (ไม่ว่าเขาจะสำนึกผิดแล้วทำมหากุศลมากมายสักแค่ไหนก็ต้องตกนรกคค่ะ)

1. ฆ่ามารดา

2. ฆ่าบิดา

3. ฆ่าพระอรหันต์

4. ทำพระโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อ

5. ทำสังฆ์ให้แตกกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 4 พ.ค. 2550

พระเจ้าอชาตศัตรูเมื่อได้ฟัง สามัญผลสูตร ก็ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ แต่ไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม (เป็นพระโสดาบัน) เพราะถูก กรรม คือ การทำอนันตริยกรรมเป็นเครื่องห้ามไหว้ แต่ในบรรดาปุถุชาทั้งหมดนั้น พระอชาตศัตรู เป็นผู้มีความเสื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยมากที่สุด และในอนาคตกาล จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า รวมทั้ง ท่านก็ได้เป็นผู้เก็บพระบรมสารีริกธาตุ รวบรวมไว้ และเป็นพระราชาที่อุปถัมในการสังคายนา ครั้งที่ ๑ จึงควรนอบน้อมและเห็นพระคุณของท่านครับ

เรื่อง พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้มีศรัทธามากที่สุดในบรรดา ปุถุชนด้วยกัน

[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 464

เหล่าพระขีณาสพ ระลึกแล้วเห็นว่า มหาชนขุ่นเคืองใจ พากันบังเกิด ในอบาย แล้วดำริว่า พวกเราจักให้ท้าวสักกะเทวราชทรงทำอุบายนำพระบรม ธาตุมา ดังนี้ จึงพากันไปยังสำนักท้าวสักกะเทวราชนั้น ทูลบอกเรื่องนั้นแล้ว ทูลว่า ท่านมหาราช ขอได้โปรดทรงทำอุบายนำพระบรมธาตุมาเถิด ท้าว สักกะตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่า ปุถุชนที่มีศรัทธาเสมอด้วยพระเจ้าอชาต ศัตรูไม่มี

เรื่อง พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้ดูแล พระบรมสารีริกธาตุ

[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 466

พระราชา สั่งให้ขุดที่นั้น คุ้ยฝุ่นออกจากที่นั้นก่ออิฐแทน โปรดให้ สร้างเจดีย์สำหรับพระอสีติมหาสาวก อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แม้เมื่อมีคน ถามว่า พระราชา โปรดให้สร้างอะไรไว้ในที่นี้ ตอบว่า ให้สร้างพระเจดีย์ สำหรับพระมหาสาวกทั้งหลาย แต่ในที่นั้นลึก ๘๐ ศอก โปรดให้ปูเครื่องลาด โลหะไว้ภายใต้ สร้างผอบที่ทำด้วยไม้จันทน์เหลืองเป็นต้น และพระสถูปไว้ อย่างละๆ

ครั้งนั้น พระราชาใส่พระบรมธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ ในผอบจันทน์เหลือง ทรงใส่ผอบจันทน์เหลืองแม้นั้น ลงในผอบจันทน์เหลือง อีกใบหนึ่ง แล้วทรงใส่ผอบจันทน์เหลืองแม้นั้น ลงในผอบจันทน์เหลืองอีกใบหนึ่ง ดังกล่าวมาฉะนี้ เป็นอันทรงรวมผอบ ๘ ใบไว้ในใบเดียวกัน ด้วยอุบาย อย่างนั้นแล ทรงใส่ผอบทั้ง ๘ ผอบนั้นลงในพระสถูปจันทน์เหลือง ๘ สถูป ทรงใส่สถูปจันทน์เหลืองทั้ง ๘ สถูปลงในผอบจันทน์แดง ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบ จันทน์แดงทั้ง ๘ ผอบลงในพระสถูปจันทน์แดง ๘ สถูป ทรงใส่ถูปจันทน์ แดงทั้ง ๘ สถูปลงในผอบงา ทรงใส่ผอบงาตั้ง ๘ ผอบลงในสถูปงา ๘ สถูป แล้วทรงใส่สถูปงาทั้ง ๘ สถูปลงในผอบรัตนะล้วน ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบรัตนะล้วน ๘ ผอบลงในสถูปรัตนะล้วน ๘ สถูป ทรงใส่สถูปรัตนะล้วน ๘ สถูป ลงในผอบทองคำ ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบทองคำ ๘ ผอบลงในสถูปทองคำ ๘ สถูป ทรงใส่สถูปทองคำ ๘ สถูปลงในผอบเงิน ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบเงิน ๘ ผอบลงในสถูปเงิน ๘ สถูป ทรงใส่สถูปเงิน ๘ สถูปลงในผอบมณี ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบมณี ๘ ผอบลงในสถูปมณี ๘ สถูป ทรงใส่สถูปมณี ๘ สถูปลงใน ผอบทับทิม ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบทับทิมลงในสถูปทับทิม ๘ สถูป ทรงใส่สถูปทับทิม ๘ สถูป ลงในผอบแก้วลาย ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบแก้วลาย ๘ ผอบลงในสถูปแก้วลาย ๘ สถูป ทรงใส่สถูปแก้วลาย ๘ สถูปลงในผอบแก้ว ผลึก ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบแก้ว ผลึกลงในสถูปแก้วผลึก ๘ สถูป.

เจดีย์แก้วผลึกมีก่อนเจดีย์ทั้งหมด ถือเอาเป็นประมาณแห่งเจดีย์ในถูปาราม บนเจดีย์แก้วผลึกนั้น โปรดให้สร้างเรือนทำด้วยรัตนะล้วน บนเรือนรัตนะนั้น ให้สร้างเรือนทำด้วยทองคำไว้บนเรือนทองคำนั้น ให้สร้างเรือนด้วยเงินไว้ บนเรือนเงินนั้น ให้สร้างเรือนทำด้วยทองแดงไว้บนเรือนทองแดงนั้น โรยเมล็ดทรายทำด้วยรัตนะทั้งหมด เกลี่ยดอกไม้น้ำ ดอกไม้บก ไว้ ๑,๐๐๐ ดอก โปรดให้สร้างชาดก ๕๕๐ ชาดก พระอสีติมหาเถระ พระเจ้า สุทโธทนมหาราช พระนางมหามายาเทวี สหชาติทั้ง ๗ ทั้งหมด ดังกล่าวมานี้ ทำด้วยทองคำทั้งสิ้น

โปรดให้ตั้งหม้อน้ำเต็ม ที่ทำด้วยทองและเงินอย่างละ ๕๐๐ หม้อ ให้ยกธงทอง ๕๐๐ ธง ให้ทำประทีปทอง ๕๐๐ ดวง ประทีปเงิน ๕๐๐ ดวง ทรงใส่ไส้ผ้าเปลือกไม้ไว้ในประทีปเหล่านั้น บรรจุน้ำมันหอม.

ครั้งนั้น ท่าน พระมหากัสสปะ อธิษฐานว่า พวงมาลัยอย่าเหี่ยว กลิ่นหอมอย่าหาย ประทีป อย่าไหม้ แล้วให้จารึกอักษรไว้ ที่แผ่นทองว่า แม้ในอนาคตกาลครั้งพระกุมาร พระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช ท้าวเธอจัก ทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลายไป ดังนี้ พระราชาทรงเอาเครื่อง ประดับทั้งหมดบูชา ทรงปิดประตูแล้วเสด็จออกไปตั้งแต่แรก ท้าวเธอครั้น ปิดประตูทองแดงแล้ว ทรงคล้องตรากุญแจไว้ที่เชือกผูก ทรงวางแท่งแก้วมณี แท่งใหญ่ไว้ที่ตรงนั้นนั่นเอง โปรดให้จารึกอักษรไว้ว่า ในอนาคตกาล เจ้าแผ่นดินที่ยากจน จงถือเอาแก้วมณีแท่งนี้ กระทำสักการะพระบรมธาตุทั้ง หลายเทอญ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 9 พ.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ