๙. สุสิมสูตร
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 387
๙. สุสิมสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 387
๙. สุสิมสูตร
[๓๐๓] สาวัตถีนิทาน.
ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงถวายอภิวาท นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เธอชอบสารีบุตรหรือไม่.
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล ไม่ใช่คนมุทะลุ ไม่ใช่คนงมงาย ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาส จะไม่ชอบท่านพระสารีบุตร เพราะท่านเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก มีปัญญาแน่นหนา มีปัญญาชวนร่าเริง มีปัญญาไว มีปัญญาแหลม มีปัญญาคม มักน้อย สันโดษ สงัดกาย สงัดใจ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร เข้าใจพูด อดทนต่อถ้อยคำ โจทก์ท้วงคนผิด ตำหนิคนชั่ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล ไม่ใช่คนมุทะลุ ไม่ใช่คนงมงาย ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาส จะไม่ชอบท่านสารีบุตร.
[๓๐๔] พ. อย่างนั้นๆ อานนท์ ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล ไม่ใช่คนมุทะลุ ไม่ใช่คนงมงาย ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาส จะไม่ชอบสารีบุตร เพราะสารีบุตรเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก มีปัญญาแน่นหนา มีปัญญาชวนร่าเริง มีปัญญาเร็ว มีปัญญาแหลม มีปัญญาคม มักน้อย สันโดษ สงัดกาย สงัดใจ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร เข้าใจพูด อดทนต่อถ้อยคำ โจทก์ท้วงคนผิด ตำหนิคนชั่ว อานนท์ ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล ไม่ใช่คนมุทะลุ ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาส จะไม่ชอบสารีบุตร.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 388
[๓๐๕] ณ กาลครั้งนั้น สุสิมเทพบุตร แวดล้อมไปด้วยเทพบุตรบริษัทเป็นอันมาก ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าและอานนท์เถระ กำลังกล่าวสรรเสริญคุณท่านพระสารีบุตรอยู่ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จริงอย่างนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จริงอย่างนั้น พระสุคต อันใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล ไม่ใช่คนมุทะลุ ไม่ใช่คนงมงาย ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาส จะไม่ชอบท่านพระสารีบุตร เพราะท่านเป็นบัณฑิต ฯลฯ ตำหนิคนชั่ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะข้าพระองค์ได้เข้าร่วมประชุมเทพบุตรบริษัทใดๆ ก็ได้ยินเสียงแน่นหนาว่า ท่านพระสารีบุตรเป็นบัณฑิต ฯลฯ ตำหนิคนชั่ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล ไม่ไช่คนทะลุ ไม่ใช่คนงมงาย ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาส จะไม่ชอบท่านพระสารีบุตร.
[๓๐๖] ครั้งนั้น เทพบุตรบริษัทของสุสิมเทพบุตร ขณะที่สุสิมเทพบุตรกำลังกล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรอยู่ เป็นผู้ปลื้มใจ เบิกบาน เกิดปีติโสมนัส มีรัศมีแห่งผิวพรรณแพรวพราวอยู่.
[๓๐๗] เปรียบเหมือนแก้วมณีและแก้วไพฑูรย์ อันงาม โชติช่วงแปดเหลี่ยมอันเขาเจียรไนเรียบร้อยแล้ว วางไว้บนผ้ากัมพลสีเหลือง ย่อมส่องแสงแพรวพราวรุ้งร่วง ฉันใด เทพบุตรบริษัทของสุสิมเทพบุตร ขณะที่สุสิมเทพบุตรกำลังกล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรอยู่ เป็นผู้ปลื้มใจ เบิกบาน เกิดปีติโสมนัส ก็มีรัศมีแห่งผิวพรรณแพรวพราวอยู่ ฉันนั้น.
[๓๐๘] เปรียบเสมือนแท่งทองชมพูนุท ที่บุตรนายช่างทองผู้ขยันหมั่นใส่เบ้าหลอมไล่ราคีจนสิ้นแล้ว วางไว้บนผ้ากัมพลสีเหลือง ย่อมขึ้นสีผุดผ่องเปล่งปลั่ง ฉันใด เทพบุตรบริษัทของสุสิมเทพบุตร ขณะที่สุสิมเทพบุตรกำลังกล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรอยู่ เป็นผู้ปลื้มใจ เบิกบาน เกิดปีติโสมนัส มีรัศมีแห่งผิวพรรณแพรวพราวอยู่ ฉันนั้น.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 389
[๓๐๙] เปรียบเหมือนดาวประกายพฤกษ์ ขณะที่อากาศปลอดโปร่งปราศจากหมู่เมฆในฤดูสรทกาล ย่อมส่องแสงสุกสกาววาวระยับ ฉันใด เทพบุตรบริษัทของสุสิมเทพบุตร ขณะที่สุสิมเทพบุตรกำลังกล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรอยู่ เป็นผู้ปลื้มใจ เบิกบาน เกิดปีติโสมนัส มีรัศมีแห่งผิวพรรณแพรวพราวอยู่ ฉันนั้น.
[๓๑๐] เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ขณะที่อากาศปลอดโปร่ง ปราศจากหมู่เมฆในฤดูสรทกาล พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ขจัดความมืดที่มีอยู่ในอากาศทั้งปวง ย่อมแผดแสงแจ่มจ้ารุ่งโรจน์ ฉันใด เทพบุตรบริษัทของสุสิมเทพบุตร ขณะที่สุสิมเทพบุตรกำลังกล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรอยู่ เป็นผู้ปลื้มใจเบิกบาน เกิดปีติโสมนัส มีรัศมีแห่งผิวพรรณแพรวพราวอยู่ ฉันนั้น.
[๓๑๑] ครั้งนั้น สุสิมเทพบุตร ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าปรารภถึงท่านพระสารีบุตรว่า
ท่านพระสารีบุตรคนรู้จักท่านดีว่าเป็นบัณฑิตไม่ใช่คนมักโกรธ มักน้อย สงบเสงี่ยม ฝึกฝนมาดี มีคุณงามอันพระศาสดาทรงนำมาสรรเสริญ เป็นผู้แสวงคุณ.
[๓๑๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคาถาตอบสุสิมเทพบุตรปรารภถึงท่านพระสารีบุตรว่า
สารีบุตรใครๆ ก็รู้จักว่าเป็นบัณฑิต ไม่ใช่คนมักโกรธ มักน้อย สงบเสงี่ยม อบรม ฝึกฝนมาดี จำนงอยู่ก็แต่กาลเป็นที่ปรินิพพาน.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 390
อรรถกถาสุสิมสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสุสิมสูตรที่ ๙ ต่อไป :-
บทว่า ตุยฺหํปิ โน อานนฺท สารีปุตฺโต รุจฺจติ ความว่าพระศาสดามีพระประสงค์จะตรัสคุณของพระเถระ ก็ธรรมดาว่าคุณนี้ ไม่สมควรกล่าวในสำนักของบุคคลที่ไม่ชอบกัน เพราะว่า คุณที่กล่าวในสำนักของบุคคลที่ไม่ชอบกันนั้น จะกล่าวไม่ทันจบ.
จริงอยู่ บุคคลผู้ไม่ชอบกันนั้น เมื่อเขากล่าวคุณว่า ภิกษุชื่อโน้นมีศีล ก็จะกล่าวคำว่า ศีลของภิกษุนั้นเป็นอย่างไร ภิกษุนั้นมีศีลอย่างใดหรือ ภิกษุอื่นที่มีศีลท่านไม่เคยเห็นหรือ เมื่อเขากล่าวคุณว่า ภิกษุชื่อโน้นมีปัญญา ก็จะกล่าวคำเป็นต้นว่า ปัญญาเป็นอย่างไร ภิกษุอื่นที่มีปัญญานั้น ท่านไม่เคยเห็นหรือ ดังนี้ ก็จะทำอันตรายแก่คาถาพรรณนาคุณ.
ส่วนพระอานนทเถระ เป็นผู้ชอบพอของพระสารีบุตรเถระ ได้ปัจจัยมีจีวร เป็นต้น อันประณีต ก็ถวายแก่พระเถระ ให้เด็กของอุปัฏฐากตนบรรพชา ให้ถืออุปัชฌาย์ในสำนักพระเถระ. แม้พระสารีบุตรก็กระทำเท่าพระอานนทเถระอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุไร เพราะเลื่อมใสในคุณทั้งหลายของกันและกัน.
จริงอยู่ พระอานนทเถระ ดำริว่า พี่ชายของพวกเราบำเพ็ญบารมีมาถึงหนึ่งอสงไขยแสนกัป แทงตลอดปัญญา ๑๖ อย่าง ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระธรรมเสนาบดี แม่ทัพธรรม เลื่อมใสในคุณทั้งหลายของพระเถระ จึงชอบใจรักใคร่พระเถระ.
ฝ่ายพระสารีบุตรเถระก็ดำริว่าพระอานนท์ทำกิจทุกอย่าง มีถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์เป็นต้น ที่เราพึงทำแด่พระสัมมาสัมพุทธะ อาศัยอานนท์ เราจึงได้เข้าสมาบัติตามที่ปรารถนาๆ แล้ว เลื่อมใสในคุณทั้งหลายของท่าน จึงชอบใจรักใคร่พระอานนทเถระ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 391
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระประสงค์จะตรัสคุณของพระสารีบุตรเถระ จึงทรงเริ่มในสำนักของพระอานนทเถระ.
บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า ตุยฺหํปิ ปิอักษรลงในอรรถว่าประมวลความ.
ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ สารีบุตรมีอาจาระ โคจร วิหารธรรม การก้าวไป การถอยกลับ การแลเหลียว การคู้ การเหยียด ชอบใจเรา ชอบใจพระอสีติมหาสาวก ชอบใจมนุษยโลกทั้งเทวโลก ชอบใจแม้แก่เธอ.
แต่นั้น พระเถระก็มีใจยินดีประหนึ่งนักมวยปล้ำที่มีกำลัง ได้ช่องในช่องผ้า ดำริว่า พระศาสดามีพระประสงค์จะให้กล่าวคุณของสหายเรา เราจักได้กล่าวคุณของพระสารีบุตรเถระของพวกเรา เหมือนถอนต้นหว้าใหญ่ อันเป็นธงแห่งชมพูทวีปเสียในวันนี้ เหมือนนำดวงจันทร์ออกจากช่องพลาหก [เมฆฝน] แสดงอยู่.
ฉะนั้น เมื่อจะนำคำสนทนาของบุคคลทั้งหลาย ด้วยบททั้ง ๔ ก่อนคำอื่นมา จึงทูลว่า กสฺส หินาม ภนฺเต อพาลสฺส ดังนี้เป็นต้น.
จริงอยู่ คนเขลา ชื่อว่า คนโกรธเพราะเขลา ชื่อว่า คนหลง เพราะเป็นคนมีโทสะ ชื่อว่า มีจิตวิปลาส คือ บ้าเพราะโมหะ ย่อมไม่รู้คุณว่าคุณ โทษว่าโทษ หรือว่า ผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้นี้เป็นสาวก. ธรรมดาว่า คนที่ไม่เขลาเป็นต้น ย่อมรู้. เพราะฉะนั้น พระอานนทเถระจึงทูลว่า อพาลสฺส เป็นต้น.
บทว่า น รุเจยฺย ความว่าก็พระเถระนั้น ไม่พึงชอบใจแก่เหล่าคนเขลา เป็นต้นเท่านั้น พระเถระไม่พึงชอบใจแก่ใครอื่น พระอานนทเถระ ครั้นนำถ้อยคำสนทนาของบุคคลมาฉะนี้แล้ว เมื่อจะกล่าวคุณตามเป็นจริง ด้วยบท ๑๖ บท จึงทูลว่า ปณฺฑิโต ภนฺเต เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺฑิโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต คำนี้เป็นชื่อของท่านผู้ตั้งอยู่ในความฉลาด ๔ อย่าง.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ โดยเหตุใดแล ภิกษุย่อมเป็นผู้ฉลาดในธาตุ ๑ เป็นผู้ฉลาดในอายตนะ ๑ เป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๑
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 392
เป็นผู้ฉลาดในฐานะและอฐานะ ๑ ดูก่อนอานนท์ ด้วยเหตุเพียงนั้นแล ภิกษุนั้น ควรเรียกว่า ภิกษุบัณฑิต ดังนี้.
ในบทว่า มหาปญฺโ เป็นต้น ความว่า ประกอบด้วยมหาปัญญา เป็นต้น. ความมีปัญญามาก เป็นต้น ในบทว่า มหาปญฺโ เป็นต้นนั้น ต่างกันดังนี้.
มหาปัญญาเป็นไฉน ชื่อว่า มหาปัญญาเพราะกำหนดถือศีลขันธ์อย่างใหญ่ ชื่อว่า มหาปัญญา เพราะกำหนดถือสมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์อย่างใหญ่ ชื่อว่า มหาปัญญา เพราะกำหนดถือฐานะและอฐานะอย่างใหญ่ วิหารสมาบัติอย่างใหญ่ อริยสัจอย่างใหญ่ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาทอย่างใหญ่ อินทรีย์และโพชฌงค์อย่างใหญ่ อริยมรรคอย่างใหญ่ สามัญญผลอย่างใหญ่ อภิญญาอย่างใหญ่ ปรมัตถนิพพานอย่างใหญ่.
ก็มหาปัญญานั้นปรากฏแก่พระเถระ เมื่อพระศาสดา เสด็จลงจากเทวโลก ประทับยืน ณ ประตูสังกัสสนคร ตรัสถามปัญหา ชื่อว่า ปุถุชนปัญจกะ แล้วทูลถวายวิสัชนาปัญหานั้น.
ปุถุปัญญาเป็นไฉน.
ชื่อว่า ปุถุปัญญา เพราะญาณเป็นไปในขันธ์ต่างๆ แน่นหนา... เป็นไปในธาตุต่างๆ แน่นหนา... ในอรรถต่างๆ แน่นหนา... ในปฏิจจสมุปบาทต่างๆ แน่นหนา... ในความหน่วงสุญญตาต่างๆ แน่นหนา... ในอรรถธรรมนิรุกติปฏิภาณแน่นหนา... ในสีลขันธ์ต่างๆ แน่นหนา... ในสมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ต่างๆ แน่นหนา... ในฐานะและอฐานะต่างๆ แน่นหนา... ในวิหารสมาบัติต่างๆ แน่นหนา... ในอริยสัจต่างๆ แน่นหนา... ในสติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ต่างๆ แน่นหนา... ในอริยมรรค สามัญญผล อภิญญาต่างๆ แน่นหนา... ญาณเป็นไปในปรมัตถนิพพาน ล่วงธรรมที่ทั่วไปแก่ชนต่างๆ แน่นหนา.
ชื่อว่า หาสปัญญาเป็นไฉน.
ชื่อว่าหาสปัญญา เพราะบางคนในโลกนี้ มีความร่าเริง แช่มชื่น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 393
ยินดี ปราโมทย์ บำเพ็ญศีล บำเพ็ญอินทรียสังวร บำเพ็ญโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค สีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์.
ชื่อว่า หาสปัญญา เพราะเป็นผู้มากด้วยความร่าเริง ปราโมทย์ แทงตลอดฐานะและอฐานะ.
ชื่อว่า หาสปัญญา เพราะเป็นผู้มากด้วยความร่าเริง บำเพ็ญวิหารสมาบัติ.
ชื่อว่า หาสปัญญา เพราะเป็นผู้มากด้วยความร่าเริง แทงตลอดอริยสัจ.
ชื่อว่า หาสปัญญา เพราะอบรมสติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ อริยมรรค.
ชื่อว่า หาสปัญญา เพราะเป็นผู้มากด้วยความร่าเริง กระทำให้แจ้งสามัญญผล แทงตลอดอภิญญา.
ชื่อว่า หาสปัญญา เพราะเป็นผู้มากด้วยความร่าเริง มากด้วยความแช่มชื่น ยินดีปราโมทย์ กระทำให้แจ้งปรมัตถนิพพาน.
ชื่อว่า หาสปัญญา ก็เพราะพระเถระครั้งเป็นดาบส ชื่อนารท กระทำความปรารถนาเป็นพระอัครสาวกแทบเบื้องพระบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี นับตั้งแต่ครั้งนั้นมาก็เป็นผู้มากด้วยความร่าเริง กระทำการบำเพ็ญศีลเป็นต้น.
ชวนปัญญาเป็นไฉน.
ก็เพราะปัญญาพิจารณาเห็นรูป อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ทั้งไกล ทั้งใกล้ รูปทั้งหมดโดยเป็นของไม่เที่ยง แล่นไปเร็ว.
ชื่อว่า ชวนปัญญา ก็เพราะปัญญาพิจารณาเห็นรูป โดยความเป็นทุกข์ แล่นไปเร็วโดยความเป็นอนัตตา แล่นไปเร็ว.
ชื่อว่า ชวนปัญญา ก็เพราะพิจารณาเห็นเวทนา ฯลฯ วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน วิญญาณทั้งหมด โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล่นไปเร็ว.
ชื่อว่า ชวนปัญญา ก็เพราะพิจารณาจักษุ ฯลฯ ชรามรณะ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล่นไปเร็ว.
ชื่อว่า ชวนปัญญา ก็เพราะพิจารณาใคร่ครวญแจ่มชัดจะแจ้งว่า รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถสิ้นไป ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 394
ทุกข์ เพราะอรรถว่าน่ากลัว ชื่อว่า อนัตตา เพราะหาแก่นสารมิได้ แล่นไปเร็วในพระนิพพานเป็นส่วนดับแห่งรูป.
ชื่อว่า ชวนปัญญา ก็เพราะพิจารณาใคร่ครวญแจ่มชัดจะแจ้งว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชรามรณะทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ชื่อว่าไม่เที่ยงเพราะอรรถว่าสิ้นไป ฯลฯ แล่นไปเร็วในพระนิพพาน เป็นส่วนดับแห่งชรามรณะ.
ชื่อว่า ชวนปัญญา ก็เพราะพิจารณาใคร่ควรญแจ่มชัดจะแจ้งว่า รูป ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตปัจจุบัน ฯลฯ วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชรามรณะ ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีอันสิ้นไป เสื่อมไป ดับไปเป็นธรรมดา แล่นไปเร็วในพระนิพพานเป็นส่วนดับแห่งชรามรณะ.
ติกขปัญญาเป็นไฉน.
ชื่อว่า ติกขปัญญา เพราะตัดกิเลสทั้งหลายได้เร็ว.
ชื่อว่า ติกขปัญญา เพราะไม่พักไว้ซึ่งกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้น ไม่พักอกุศลบาปธรรมที่เกิดขึ้นอีก ไม่พัก ละ บรรเทา ทำให้สิ้น ทำให้ไม่มี ซึ่งราคะโทสะโมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะอิสสา มัจฉริยะ มายา สาไถย ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะที่เกิดขึ้นแล้ว กิเลสทุจริตทั้งหมด อภิสังขารทั้งหมด กรรมที่ให้ถึงสังสารภพทั้งหมด.
ชื่อว่า ติกขปัญญา เพราะปัญญาที่บรรลุ กระทำให้แจ้งสัมผัสมรรค ๔ สามัญญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ ณ ที่นั่งแห่งเดียว.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังทรงแสดงเวทนาปริคคหสูตรแก่ทีฆนขปริพาชก หลานชาย พระเถระยืนถวายงานพัด ก็ตัดกิเลสได้ทั้งหมด ชื่อว่ามีปัญญาแหลม ตั้งแต่แทงตลอดสาวกบารมีญาณ.
ด้วยเหตุนั้น พระอานนท์เถระจึงทูลว่า ติกฺขปญฺโ ภนฺเต อายสฺมา สารีปุตฺโต พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรมีปัญญาแหลมดังนี้.
นิพเพธิกปัญญา เป็นไฉน ชื่อว่านิพเพธิกปัญญา เพราะบางคนในโลกนี้ มากด้วยความหวาดสะดุ้งเอือมระอาไม่ยินดีนัก เบือนหน้าหนีไม่ไยดีในสังขารทั้งปวง เจาะทำลายกองโลภะ ที่ไม่เคยเจาะไม่เคยทำลาย ในสังขาร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 395
ทั้งปวง.
ชื่อว่า นิพเพธิกปัญญา เพราะเจาะทำลายกองโทสะกองโมหะ โกธะ อุปนาหะ ฯลฯ ที่ไม่เคยเจาะไม่เคยทำลายกรรมที่ให้ถึงภพทั้งหมด.
บทว่า อปฺปิจฺโฉ ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วยลักษณะอย่างนี้ว่า ปกปิดคุณที่มีอยู่ รู้จักประมาณในการรับ นี่เป็นลักษณะของผู้มีความมักน้อย.
บทว่า สนฺตุฏฺโ ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วยสันโดษ ๓ ในปัจจัย ๔ คือ ยถาลาภสันโดษ ยถาพลสันโดษ ยถาสารุปปสันโดษ.
บทว่า ปวิวิตฺโต ได้แก่ ผู้ได้วิเวก ๓ เหล่านี้ คือ กายวิเวกของผู้มีกายตั้งอยู่ในความสงัด ผู้ยินดีในเนกขัมมะ จิตตวิเวก ของผู้มีจิตบริสุทธิ์ผู้ถึงความผ่องแผ้วอย่างยิ่ง และอุปธิวิเวก ของเหล่าบุคคลผู้ไร้อุปธิผู้ถึงวิสังขาร.
บทว่า อสํสฏฺโ ได้แก่ ผู้เว้นจากการคลุกคลี ๕ อย่างเหล่านี้ คือ คลุกคลีด้วยการฟัง คลุกคลีด้วยการเห็น คลุกคลีด้วยการสนทนา คลุกคลีด้วยการบริโภค คลุกคลีด้วยกาย.
การคลุกคลี ๕ อย่างนี้ ย่อมเกิดกับบุคคล ๘ จำพวก คือ พระราชา อมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ความคลุกคลีแม้ทั้งหมดนั้นไม่มีแก่พระเถระ เหตุนั้น พระเถระจึงว่าผู้ไม่คลุกคลี.
บทว่า อารทฺธวิริโย ได้แก่ เป็นผู้ประคองความเพียร มีความเพียรบริบูรณ์ในข้อนั้น ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ย่อมไม่ยอมให้กิเลสที่เกิดขณะเดินติดมาถึงขณะยืน ไม่ยอมให้กิเลสที่เกิดขณะยืน ติดมาถึงขณะนั่ง ไม่ยอมให้กิเลสที่เกิดขณะนั่ง ติดมาถึงขณะนอน. กิเลสเกิดในที่นั้นๆ ก็ข่มไว้ได้ในที่นั้นๆ นั่นแหละ. ก็พระเถระมิได้เหยียดหลังบนเตียงมาถึง ๔๔ ปี. พระอานนทเถระหมายถึงข้อนั้นจึงทูลว่า อารทฺธวิริโย ผู้ปรารภความเพียร.
บทว่า วตฺตาได้แก่ เป็นผู้กล่าวกำจัดโทษ. พระเถระเห็นความประพฤติทรามของเหล่าภิกษุก็ไม่ผัดเพี้ยนว่า ค่อยพูดกันวันนี้ พูดกันวันพรุ่งนี้ อธิบายว่า ท่านสั่งสอนพร่ำสอนในที่นั้นๆ เลย.
บทว่า วจนกฺขโม ได้แก่ ย่อมทนฟังคำของผู้อื่น จริงอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งชอบสอนผู้อื่น แต่ตัวเองถูกผู้อื่นสอนเข้า ก็โกรธ. ส่วนพระเถระให้โอวาทแก่ผู้อื่นด้วย ตัวเองแม้ถูกโอวาท ก็ยอมรับด้วยเศียร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 396
เกล้า.
เล่ากันมาว่า วันหนึ่ง สามเณรอายุ ๗ ขวบ เรียนพระสารีบุตรเถระว่าท่านสารีบุตรขอรับ ชายผ้านุ่งของท่านห้อยลงมาแน่ะ. พระเถระไม่พูดอะไรเลยไป ณ ที่เหมาะแห่งหนึ่ง นุ่งเรียบร้อยแล้วก็มา ยืนประนมมือพูดว่า เท่านี้เหมาะไหม อาจารย์ พระเถระกล่าวว่า ผู้บวชในวันนั้น เป็นคนดี อายุ ๗ ขวบโดยกำเนิด ถึงผู้นั้นพึงสั่งสอนเรา เราก็ยอมรับด้วยกระหม่อมดังนี้.
บทว่า โจทโก ได้แก่ สั่งสอนตามแบบธรรมเนียมว่า ธรรมดาว่าภิกษุ เห็นวีติกกมโทษในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม พึงนุ่งอย่างนี้ พึงห่มอย่างนี้ เดินอย่างนี้ ยืนอย่างนี้ นั่งอย่างนี้ เคี้ยวอย่างนี้ ฉันอย่างนี้.
บทว่า ปาปครหี ได้แก่ ไม่เห็นแก่คนชั่ว ไม่ฟังคำคนชั่วเหล่านั้น ไม่ยอมอยู่ในจักรวาลเดียวกับคนชั่วเหล่านั้น.
พระอานนทเถระทูลว่า พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรตำหนิบาป ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ตำหนิคนชั่วอย่างนี้บ้างว่า
มา เม กทาจิ ปาปิจฺโฉ กุสีโต หีนวีริโย อปฺปสฺสุโต อนาทาโน สมนฺตา กตฺถจิ อหุ
ในกาลไหนๆ ขอเพื่อนสพรหมจารีของเราอย่าเป็นผู้มีความปรารถนาลามก เกียจคร้าน หย่อนความเพียร มีสุตะน้อย ไม่ยึดถือรอบด้านไม่มีในที่ไหนๆ เลย.
ตำหนิธรรมฝ่ายชั่วอย่างนี้บ้างว่า ธรรมดาว่าสมณะไม่พึงตกอยู่ในอำนาจราคะ ในอำนาจโทสะและโมหะ ราคะโทสะโมหะ ที่เกิดขึ้นแล้ว พึงละเสีย ดังนี้.
เมื่อท่านพระอานนท์กระทำการประกาศคุณตามความเป็นจริงของพระเถระด้วยบท ๑๖ บท อย่างนี้แล้ว บุคคลชั่วไรๆ ก็อย่าได้กล่าวว่าทำไมพระอานนท์ไม่ได้กล่าวคุณสหายที่รักของตน คำอะไรที่พระอานนท์นั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 397
กล่าวแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นนั่นแล. พระอานนท์นั้นเป็นสัพพัญญู หรือพระศาสดา เมื่อทรงกระทำการกล่าวคุณนั้น ที่ไม่กำเริบเป็นคำตรัสของพระสัพพัญญูพุทธะ ก็เท่ากับประทับแหวนตราชินลัญจกร [ตราพระชินเจ้า] จึงตรัสว่า เอวเมตํ ดังนี้เป็นต้น.
เมื่อพระตถาคตและพระอานนทเถระกำลังกล่าวคุณของพระมหาสาวกอยู่ เหล่าภุมมเทวดา เทวดาผู้อยู่ภาคพื้นดินก็ลุกขึ้นกล่าวคุณด้วยบท ๑๖ บทเหล่านั้นเหมือนกัน.
แต่นั้นเหล่าอากาสัฏฐกเทวดา คือ เทวดาผู้อยู่ในอากาศ เทวดาฝนเย็น เทวดาฝนร้อน เทวดาชั้นจาตุมมหาราชตลอดถึงอกนิฏฐพรหมโลก ก็ลุกขึ้นกล่าวคุณด้วยบท ๑๖ บทเหล่านั้นเหมือนกัน. เทวดาในหมื่นจักรวาลตั้งต้นแต่จักรวาลหนึ่ง ก็ลุกขึ้นกล่าวโดยอุบายนั้น.
ครั้งนั้น สุสิมเทพบุตร สัทธิวิหาริกของท่านพระสารีบุตรดำริว่า เทพบุตรเหล่านี้ ละกิฬาในงานนักษัตรของตนๆ เสียแล้วดำรงอยู่ในที่นั้น กล่าวคุณอุปัชฌาย์ของเราเท่านั้น จำเราจะไปสำนักพระตถาคต กระทำการกล่าวคุณนั้นนั่นแหละ ซึ่งเป็นคำของเทวดา.
เทพบุตรนั้น ก็ได้กระทำอย่างนั้น เพื่อจะแสดงความข้อนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข สุสิโม เทวปุตฺโต ดังนี้เป็นต้น.
ในบทว่า อุจฺจาวจา ในที่อื่นๆ ประณีต ท่านเรียกว่าอุจจะ (สูง) เลวท่านเรียกว่า อวจะ (ต่ำ) แต่ในสูตรนี้ บทว่า อุจฺจาวจา ได้แก่ วรรณะและรัศมีของวรรณะ ต่างๆ อย่าง.
เขาว่า รัศมีแห่งวรรณะของเทวบริษัทนั้นปรากฏชัดมี ๔ อย่าง คือ ที่เขียวก็เขียวจัด ที่เหลืองก็เหลืองจัด ที่แดงก็แดงจัด ที่ขาวก็ขาวจัด ด้วยเหตุนั้นนั่นแล อุปมา ๔ ข้อจึงมาว่า เสยฺยถาปินาม เป็นต้น.
ในอุปมา ๔ ข้อนั้น บทว่า สุโภ แปลว่าดี.
บทว่า ชาติมา แปลว่า ถึงพร้อมด้วยชาติ.
บทว่า สุปริกมฺมกโต ได้แก่ เจียระนัยดีแล้วด้วยบริกรรม มีล้าง เป็นต้น วางไว้บนผ้ากัมพลเหลือง.
บทว่า เอวเมวํ ความว่า มณีทั้งหมดเริ่มส่องประกายพร้อมกัน ดังมณีที่วางบนผ้ากัมพลแดง.
บทว่า เนกฺขํ ได้แก่ เครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำเกินเนื้อห้า.
จริงอยู่ เครื่องประดับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 398
นั้น ย่อมเหมาะแก่การย้ำและขัด.
บทว่า ชมฺโพนทํ ได้แก่ ทองที่เกิดในแม่น้ำที่ไหลไปทางกิ่งชมพู่ใหญ่ หรือเมื่อรสผลชมพู่ใหญ่จมดิน หน่อทองคำผุดขึ้น อธิบายว่า เครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำนั้น.
บทว่า กมฺมารปุตฺตํ อุกฺกามุเขสุ กุสลํ สมฺปหฏฺํ ได้แก่ ที่บุตรช่างทองผู้ฉลาด หลอมทางปากเบ้าสุกคว้างแล้ว.
ในคัมภีร์ธาตุวิภังค์ ท่านถือเอาทองชมพูนุท ที่ยังไม่ทำรูปพรรณ. แต่ในพระสูตรนี้ ท่านถือเอาทองที่ทำรูปพรรณแล้ว.
บทว่า วิทฺเธ แปลว่า อยู่ไกล.
บทว่า เทเว ได้แก่ อากาศ.
บทว่า นภํ อพฺภุสฺสุกฺกมาโน ได้แก่ โลดขึ้นสู่อากาศ.
ด้วยบทนี้ ท่านแสดงภาพดวงอาทิตย์อ่อนๆ.
บทว่า โสรโต ได้แก่ ประกอบด้วยความสงบเสงี่ยม.
บทว่า ทนฺโต ได้แก่ หมดพยศ.
บทว่า สตฺถุวณฺณภโต แปลว่า มีคุณที่พระศาสดาทรงนำมาแล้ว.
จริงอยู่ พระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางบริษัท ๘ ทรงนำคุณของพระเถระมาโดยนัยว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะ ดังนี้เป็นต้น. พระเถระก็ชื่อว่า เป็นผู้มีคุณที่พระศาสดาทรงนำมาแล้ว.
บทว่า กาลํ กงฺขติ ได้แก่ ปรารถนากาลเป็นที่ปรินิพพาน.
จริงอยู่ พระขีณาสพย่อมไม่กระหยิ่มยินดีความตาย ไม่มุ่งหมายความเป็น แต่ปรารถนา อธิบายว่ายืนคอยดูกาลเวลา เหมือนบุรุษยืนคอยค่าจ้างไปวันหนึ่งๆ.
ด้วยเหตุนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงกล่าวว่า
นาภินนฺทามิ มรณํ นาภินนฺทามิ ชีวิตํ กาลํ จ ปาฏิกงฺขามิ นิพฺพิสํ กติโก ยถา
เราไม่ยินดีความตาย เราไม่ยินดีความเป็นอยู่ แต่เรารอเวลา [ปรินิพพาน] เหมือนลูกจ้าง รอค่าจ้างฉะนั้น.
จบอรรถกถาสุสิมสูตรที่ ๙