๘. ทุติยอัปปมาทสูตร
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 482
๘. ทุติยอัปปมาทสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 482
๘. ทุติยอัปปมาทสูตร
[๓๘๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ... กรุงสาวัตถี... พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความปริวิตกแห่งใจบังเกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ผู้เข้าห้องส่วนตัวพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วนั่นแหละสำหรับผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี ไม่ใช่สำหรับผู้มีมิตรชั่ว มีสหายชั่ว มีจิตน้อมไปในคนที่ชั่ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูก่อนมหาบพิตร ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ธรรมที่อาตมภาพกล่าวดีแล้วนั่นแหละสำหรับผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนดี ไม่ใช่สำหรับผู้มีมิตรชั่ว มีสหายชั่ว มีจิตน้อมไปในคนที่ชั่ว.
[๓๘๒] ดูก่อนมหาบพิตร สมัยหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่นิคมของหมู่เจ้าศากยะ ชื่อว่านครกะ สักกชนบท ครั้งนั้น ภิกษุอานนท์เข้าไปหาอาตมภาพ อภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดูก่อนมหาบพิตร ภิกษุอานนท์ได้กล่าวกะอาตมภาพว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี เป็นคุณกึ่งหนึ่งแห่งพรหมจรรย์ ดูก่อนมหาบพิตร เมื่อภิกษุอานนท์กล่าวอย่างนี้แล้ว อาตมภาพได้กล่าวกะภิกษุอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนั้น ดูก่อนอานนท์ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดีนี้ เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดเลย ดูก่อนอานนท์ นี่ภิกษุผู้มีมิตรดีพึงปรารถนา ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี จักเจริญอริยมรรคมีองค์แปด จักกระทำซึ่งอริยมรรคมีองค์แปดให้มากได้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 483
[๓๘๓] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี ย่อมเจริญอริยมรรคมีองค์แปด ย่อมกระทำซึ่งอริยมรรคมีองค์แปดให้มากได้อย่างไร.
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละคืน ย่อมเจริญสัมมาสังกัปปะ... ย่อมเจริญสัมมาวาจา... ย่อมเจริญสัมมากัมมันตะ... ย่อมเจริญสัมมาอาชีวะ... ย่อมเจริญสัมมาวายามะ... ย่อมเจริญสัมมาสติ... ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละคืน.
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี ย่อมเจริญอริยมรรคมีองค์แปด ย่อมกระทำซึ่งอริยมรรคมีองค์แปดให้มากได้อย่างนี้แล.
ดูก่อนอานนท์ โดยปริยายแม้นี้ พึงทราบว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียว.
ดูก่อนอานนท์ ด้วยว่าอาศัยเราเป็นมิตรดี สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความเกิดได้ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความแก่ได้ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความเจ็บป่วยได้ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความตายได้ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความเสียใจ และความคับแค้นใจเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความเสียใจ และความคับแค้นใจได้.
ดูก่อนอานนท์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดีนี้ เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมด.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 484
[๓๘๔] ดูก่อนมหาบพิตร เพราะเหตุนั้นแหละ พระองค์พึงทรงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์พึงทรงสำเหนียกอย่างนี้แล.
ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมอย่างหนึ่งนี้ คือ ความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย พระองค์ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี พึงทรงอาศัยอยู่เถิด.
ดูก่อนมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท หมู่นางสนมผู้ตามเสด็จจักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระราชาเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท ถ้ากระนั้น แม้พวกเราก็จักเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท.
ดูก่อนมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท แม้กษัตริย์ทั้งหลายผู้ตามเสด็จจักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระราชาเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท ถ้ากระนั้น แม้พวกเราก็จักเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท.
ดูก่อนมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท แม้กองทัพ (ข้าราชการฝ่ายทหาร) ก็จักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระราชาเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท ถ้ากระนั้น แม้พวกเราก็จักเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท.
ดูก่อนมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท แม้ชาวนิคมและชาวชนบทก็จักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระราชาเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท ถ้ากระนั้น แม้พวกเราก็จักเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 485
ดูก่อนมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท แม้พระองค์เองก็จักเป็นผู้ได้รับคุ้มครองแล้ว ได้รับรักษาแล้ว แม้หมู่นางสนมก็จักเป็นผู้ได้รับคุ้มครองแล้ว ได้รับรักษาแล้ว แม้เรือนคลังก็จักเป็นอันได้รับคุ้มครองแล้ว ได้รับรักษาแล้ว.
[๓๘๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า
บุคคลผู้ปรารถนาโภคะอันโอฬารต่อๆ ไป พึงบำเพ็ญความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญความไม่ประมาทในบุญกิริยาทั้งหลาย บัณฑิตผู้ไม่ประมาทย่อมยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ในภพหน้า เพราะยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์นั้น ผู้มีปัญญาท่านจึงเรียกว่า "บัณฑิต".
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 486
อรรถกถาทุติยอัปปมาทสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘ ต่อไป :-
บทว่า โส จ โข กลฺยาณมิตฺตสฺส ความว่า ก็ธรรมนี้นั้น ย่อมชื่อว่า สวากขาตธรรมของผู้มีมิตรดีเท่านั้น หาใช่สวากขาตธรรมของผู้มีมิตรชั่วไม่.
จริงอยู่ ธรรมเป็นสวากขาตธรรม แม้ของทุกคนก็จริง ถึงอย่างนั้นย่อมทำประโยชน์ให้เต็มแก่ผู้มีมิตรดี ผู้ตั้งใจฟังด้วยดี ผู้เชื่อถือ เหมือนยาเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้ หาเป็นประโยชน์แก่คนผู้ไม่ใช้ไม่ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ พึงทราบว่าเทศนาธรรมในคำว่า ธมฺโม นี้.
บทว่า อุปฑฺฒมิทํ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระเจ้าไปในที่ลับคิดว่า เมื่อมิตรดีผู้โอวาทพร่ำสอนมีอยู่ สมณธรรมนี้ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ตั้งอยู่ในความพยายามเฉพาะตัว ดังนั้น พรหมจรรย์กึ่งหนึ่งมาจากมิตรดี กึ่งหนึ่งมาจากความพยายามเฉพาะตัว.
ครั้งนั้น พระเถระดำริว่า เราอยู่ในปเทสญาณ (ญาณในธรรมบางส่วน) รู้บางส่วน ไม่อาจคิดได้หมดทุกส่วน จำต้องทูลถามพระศาสดา จึงจักหมดสงสัย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วกล่าวอย่างนั้น.
บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส ได้แก่ อริยมรรค.
บทว่า ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา ความว่า ความเป็นผู้มีมิตรดีที่ได้ ย่อมมาสู่พรหมจรรย์กึ่งหนึ่งจากพรหมจรรย์กึ่งหนึ่ง. ดังนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า อริยมรรคมีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้นครึ่งหนึ่ง ย่อมมาจากความเป็นผู้มีมิตรดี อีกครึ่งหนึ่ง ย่อมมาจากความพยายามเฉพาะตัว.
ก็จริงอยู่ นี้เป็นความปรารถนาของพระเถระ แท้จริงแม้ในที่นี้ ธรรมที่แบ่งแยกไม่ได้นี้ ก็ไม่อาจแบ่งแยกได้ว่า บรรดาอริยมรรค
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 487
มีสัมมาสัมทิฏฐิ เป็นต้น เท่านี้เกิดจากความมีมิตรดี เท่านี้เกิดจากความพยายามเฉพาะตน เปรียบเหมือนเมื่อคนมากคนยกเสาหิน ก็แบ่งแยกไม่ได้ว่า ที่เท่านี้คนโน้นยก ที่เท่านี้คนโน้นยก และเหมือนอย่างว่า เมื่อบุตรอาศัยมารดาบิดาเกิดขึ้น ก็แบ่งแยกไม่ได้ว่าเกิดจากมารดาเท่านี้ เกิดจากบิดาเท่านี้ ฉะนั้น.
ถึงกระนั้น พรหมจรรย์ชื่อว่ากึ่งหนึ่ง ตามอัธยาศัยของพระเถระว่า เพราะเป็นผู้มีมิตรดี ก็ได้คุณกึ่งหนึ่ง พรหมจรรย์ชื่อว่าทั้งสิ้น ตามอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ก็ได้คุณทั้งสิ้น.
ก็คำว่า กลฺยาณมิตฺตตา นี้ ท่านถือว่า ชื่อว่าได้คุณที่เป็นส่วนเบื้องต้น ว่าโดยใจความ ก็ได้แก่ขันธ์ ๔ คือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ วิปัสสนาขันธ์ อันอาศัยกัลยาณมิตรได้มา อาจารย์บางพวกกล่าวว่าสังขารขันธ์ก็มี.
บทว่า มา เหวํ อานนฺท ความว่า อย่าพูดอย่างนี้ เธอเป็นพหูสูตบรรลุปฏิสัมภิทาฝ่ายเสขะ รับพร ๘ ประการแล้วอุปัฏฐากเรา เธอผู้ประกอบด้วยอัจฉริยัพภูตธรรม ๔ ประการ ไม่ควรกล่าวอย่างนี้ แก่บุคคลเช่นนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดำนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ความมีมิตรดี ความมีสหายดี ความมีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น ดังนี้ ทรงหมายว่า มรรค ๔ ผล ๔ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ ทั้งหมด มีมิตรดีเป็นมูลทั้งนั้น.
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงเหตุ โดยการเปล่งพระวาจานั่นแล จึงตรัสดำว่า กลฺยาณมิตฺตสฺเสตํ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิกงฺขํ ความว่า พึงหวัง พึงปรารถนาว่ามีอยู่แท้.
บทว่า อิธ แปลว่า ในศาสนานี้.
ก่อนอื่น อาทิบททั้ง ๘ ในคำว่า สมฺมาทิฏฺิํ ภาเวติ เป็นต้น มีพรรณนาสังเขปดังนี้.
สัมมาทิฏฐิมีลักษณะเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ มีลักษณะยกสหชาตธรรมขึ้นสู่อารมณ์ชอบ สัมมาวาจา มีลักษณะกำหนดอารมณ์ชอบ สัมมากัมมันตะ มีลักษณะตั้งตนไว้ชอบ. สัมมาอาชีวะ มีลักษณะทำอารมณ์ให้ผ่องแผ้วชอบ. สัมมาวายามะ มี
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 488
ลักษณะประคองชอบ สัมมาสติ มีลักษณะปรากฏชอบ สัมมาสมาธิ มีลักษณะตั้งมั่นชอบ บรรดามรรคมีองค์ ๘ นั้น มรรคองค์หนึ่งๆ มีกิจ ๓ คือ ก่อนอื่น สัมมาทิฏฐิ ย่อมละมิจฉาทิฏฐิ พร้อมกับเหล่ากิเลสที่เป็นข้าศึกของตนอย่างอื่นๆ ๑ ทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ ๑ และเห็นสัมปยุตธรรมเพราะไม่ลุ่มหลง โดยกำจัดโมหะอันปกปิดสัมปยุตธรรมนั้น ๑ แม้สัมมาสังกัปปะ เป็นต้น ก็ละมิจฉาสังกัปปะ เป็นต้น และทำนิโรธให้เป็นอารมณ์อย่างนั้นเหมือนกัน แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะ ย่อมยกอารมณ์ขึ้นสู่สหชาตธรรม.
สัมมาวาจา ย่อมกำหนดถือเอาชอบ สัมมากัมมันตะ ย่อมตั้งตนไว้ชอบ สัมมาอาชีวะ ย่อมผ่องแผ้วชอบ สัมมาวายามะ ย่อมประคองความเพียรๆ ชอบ สัมมาสติ ย่อมตั้งไว้ชอบ สัมมาสมาธิ ย่อมตั้งมั่นชอบ.
อนึ่งเล่า ธรรดาสัมมาทิฏฐินี้ ในส่วนเบื้องต้น ย่อมมีขณะต่างๆ มีอารมณ์ต่างๆ แต่ในขณะมรรคจิตมีขณะอันเดียว มีอารมณ์อย่างเดียว. แต่ว่าโดยกิจ ย่อมได้ชื่อ ๔ ชื่อ มี ทุกฺเข าณํ รู้ในทุกข์ดังนี้ เป็นต้น แม้สัมมาสังกัปปะ เป็นต้น ในส่วนเบื้องต้น ก็มีขณะต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรคจิต ย่อมมีขณะอันเดียว มีอารมณ์อย่างเดียว. ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะว่าโดยกิจ ย่อมได้ชื่อ ๓ ชื่อ มีเนกขัมมสังกัปปะ เป็นต้น. สัมมาวาจา เป็นต้น ย่อมเป็นวิรัติ ๓ บ้าง เป็นเจตนาเป็นต้นบ้าง แต่ในขณะแห่งมรรคจิต ก็เป็นวิรัติเท่านั้น.
สัมมาวายามะและสัมมาสติทั้งสองดังว่ามานี้ ว่าโดยกิจ ก็ได้ชื่อ ๔ ชื่อโดยสัมมัปปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔. ส่วนสัมมาสมาธิ ทั้งในส่วนเบื้องต้น ทั้งในขณะแห่งมรรคจิต ก็สมาธิอย่างเดียว.
ครั้นทราบการพรรณนาอาทิบททั้ง ๘ ที่ท่านกล่าวโดยนัยว่า สมฺมาทิฏฺิํ ดังนี้เป็นต้นอย่างนี้ก่อนแล้ว บัดนี้ พึงทราบ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 489
ความ ในคำว่า ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ เป็นต้น ดังนี้.
บทว่า ภาเวติ แปลว่า เจริญ อธิบายว่า ทำให้เกิด บังเกิดในจิตสันดานของตน.
บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ แปลว่า อาศัยวิเวก.
บทว่า วิเวโก ได้แก่ ความเป็นผู้สงัด.
พึงทราบความดังนี้ว่า ความเป็นผู้สงัดนี้ ได้แก่ วิเวก ๕ อย่าง คือ ตทังควิเวก วิกขัมภนวิเวก สมุจเฉทวิเวก ปฏิปัสสัทธิวิเวก นิสสรณวิเวก. วิเวกมี ๕ อย่างดังนี้.
บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ ก็ได้แก่ เจริญสัมมาทิฏฐิ ที่อาศัยตทังควิเวก อาศัยสมุจเฉทวิเวก และอาศัยนิสสรณวิเวก อนึ่งเล่า พระโยคี [โยคาวจร] ผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งอริยมรรคภาวนานี้ ในขณะเจริญวิปัสสนาย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ ที่อาศัยตทังควิเวกโดยกิจ ที่อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอัธยาศัย แต่ในขณะแห่งมรรคจิต ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยสมุจเฉทวิเวกโดยกิจ ที่อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอารมณ์ ในบทว่าที่อาศัยวิราคะเป็นต้น ก็นัยนี้.
ก็วิราคะ เป็นต้น ก็มีวิเวกความสงัดเป็นอรรถนั่นแหละ ก็ในที่นี้อย่างเดียว โวสสัคคะ มี ๒ อย่าง คือ ปริจาคโวสสัคคะ และปักขันทนโวสสัคคะ.
บรรดาโวสสัคคะ ๒ อย่างนั้น การละกิเลสด้วยอำนาจตทังคปหานในขณะเจริญวิปัสสนา และการละกิเลสด้วยอำนาจสมุจเฉทปหาน ในขณะแห่งมรรคจิตชื่อว่าปริจาคโวสสัคคะ. ในขณะเจริญวิปัสสนา ก็แล่นไปสู่พระนิพพานด้วยความเป็นผู้น้อมไปในพระนิพพานนั้น แต่ในขณะแห่งมรรคจิต ก็แล่นไปสู่พระนิพพาน ด้วยการทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ ชื่อว่าปักขันทนโวสสัคคะ.
โวสสัคคะแม้ทั้งสองนั้น ย่อมควรในอรรถกถานัย ที่ผสมทั้งโลกิยะและโลกุตระนี้.
จริงอย่างนั้น สัมมาทิฏฐินี้ ย่อมสละกิเลสและแล่นไปสู่พระนิพพาน โดยประการตามที่กล่าวแล้ว ด้วยคำทั้งสิ้นนี้ว่า โวสฺสคฺคปริณามิํ ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า กำลังน้อมไปและน้อมไปแล้ว กำลังบ่มและบ่มสุกแล้ว เพื่อโวสสัคคะ.
จริงอยู่ ภิกษุผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งอริยมรรคภาวนานี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 490
โดยอาการที่สัมมาทิฏฐินั้น กำลังบ่มเพื่อโวสสัคคะ คือ การสละกิเลส และเพื่อโวสสัคคะ คือ การแล่นไปสู่พระนิพพาน และโดยอาการที่สัมมาทิฏฐินั้นบ่มสุกแล้ว.
ในองค์มรรคที่เหลือก็นัยนี้.
บทว่า อาคมฺม ได้แก่ ปรารภ หมายถึง อาศัยแล้ว.
บทว่า ชาติธมฺมา ได้แก่ มีการเกิดเป็นสภาวะ คือ มีการเกิดเป็นปกติ [ธรรมดา].
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่แม้อริยมรรคทั้งสิ้นอาศัยกัลยาณมิตรจึงได้ ฉะนั้น ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเชื้อเชิญ.
บทว่า อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ ได้แก่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท เพราะฉะนั้น จึงควรทำความไม่ประมาท.
บทว่า อตฺถาภิสมยา แปลว่า เพราะได้ประโยชน์.
จบอรรถกถาทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘