๑๐. รัชชสูตร ว่าด้วยมารเชิญให้เสวยราชสมบัติ
[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 52
๑๐. รัชชสูตร
ว่าด้วยมารเชิญให้เสวยราชสมบัติ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 52
๑๐. รัชชสูตร
ว่าด้วยมารเชิญให้เสวยราชสมบัติ
[๔๗๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กระท่อมอันตั้งอยู่ในป่า ในประเทศหิมวันต์ แคว้นโกศล.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับพักผ่อนอยู่ในที่ลับได้ทรงปริวิตกว่า เราจะสามารถเสวยรัชสมบัติโดยธรรม โดยที่ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ทำผู้อื่นให้เสื่อมเอง ไม่ใช้ให้เขาทำผู้อื่นให้เสื่อม ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ทำให้ผู้อื่นเศร้าโศกได้หรือไม่.
[๔๗๖] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยจิตแล้ว เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงเสวยรัชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า ขอพระสุคตจงเสวยรัชสมบัติโดยธรรม โดยที่ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเอง ไม่ใช้ให้เขาทำคนอื่นให้เสื่อม ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ทําให้ผู้อื่นเศร้าโศก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านเห็นอะไรของเรา ทำไมจึงได้พูดกะเราอย่างนี้ว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสวยรัชสมบัติเถิดพระเจ้าข้า ขอพระสุคตจงเสวยรัชสมบัติโดยธรรม โดยที่ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเอง ไม่ใช้ให้เขาทำผู้อื่นให้เสื่อม ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ทำให้ผู้อื่นเศร้าโศก.
มารกราบทูลว่า พระเจ้าข้า อิทธิบาททั้ง ๔ พระองค์ทรงบำเพ็ญให้เจริญ กระทำให้มาก กระทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นวัตถุที่ตั้ง กระทำไม่หยุด สั่งสมปรารภด้วยดีแล้ว พระเจ้าข้า ก็เมื่อพระองค์ทรงพระประสงค์ ทรง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 53
อธิษฐานภูเขาหลวงชื่อหิมพานต์ให้เป็นทองคำล้วน ภูเขานั้นก็พึงเป็นทองคำล้วน.
[๔๗๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะมารด้วยพระคาถาว่า
ภูเขาทองคำล้วนมีสีสุกปลั่ง ถึงสองเท่าก็ยังไม่พอแก่บุคคลหนึ่ง บุคคลทราบดังนี้แล้ว พึงประพฤติสงบ ผู้ใดได้เห็นทุกข์มีกามเป็นเหตุแล้ว ไฉนผู้นั้นจะพึงน้อมใจไปในกามเล่า บุคคลทราบอุปธิว่าเป็นเครื่องข้องในโลกแล้ว พึงศึกษาเพื่อกำจัดอุปธินั้นเสีย.
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง.
จบรัชชสูตร
จบทุติยวรรคที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 54
อรรถกถารัชชสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในรัชชสูตรที่ ๑๐ ต่อไป :-
บทว่า อหนํ อฆาฏยํ ได้แก่ ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช้ให้เขาเบียดเบียน. บทว่า อชินํ อชาปยํได้แก่ไม่ทำความเสื่อมทรัพย์เอง ไม่ใช้ให้เขาทำความเสื่อม. บทว่า อโสจํ อโสจาปยํ ได้แก่ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ทำให้เขาเศร้าโศก. เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นมนุษย์ทั้งหลาย ถูกผู้ลงโทษเบียดเบียน ในรัชสมัยของเหล่าพระราชาผู้ไม่ทรงธรรม จึงทรงพระดำริอย่างนี้ ด้วยอำนาจความกรุณา. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า มารคิคว่าพระสมณโคดม ทรงดำริว่า เราอาจครองราชสมบัติได้ คงจักอยากครองราชสมบัติ ก็ขึ้นชื่อว่าราชสมบัตินี้เป็นฐานที่ตั้งแห่งความประมาท เมื่อทรงครองราชสมบัติ เราอาจได้พบความผิดพลาด จำเราจักไปทำให้พระองค์เกิดความอุตสาหะ ดังนี้จึงเข้าไปเฝ้า. บทว่า อิทฺธิปาทา ได้แก่ส่วนที่ให้สำเร็จ. บทว่า ภาวิตา ได้แก่ให้เจริญแล้ว. บทว่า พหุลีกตา ได้แก่กระทำบ่อยๆ . บทว่า ยานีกตา ได้แก่การทำให้เป็นดุจยานที่เทียมไว้แล้ว. บทว่า วตฺถุกตา ได้แก่กระทำให้มีที่ตั้ง เพราะอรรถาว่าเป็นที่ตั้ง. บทว่า อนุฏฺิตา ได้แก่ ไม่ละแล้ว ติดตามอยู่เป็นนิตย์. บทว่า ปริจิตา ได้แก่สั่งสมดี ด้วยการกระทำติดต่อกัน คือชำนาญเหมือนฝีมือยิงธนูไม่พลาดของนักแม่นธนู. บทว่า สุสมารทฺธา ได้แก่ เริ่มพร้อมดีแล้วมีภาวนาบริบูรณ์แล้ว. บทว่า อธิมุจฺเจยฺย ได้แก่พึงคิด.
บทว่า ปพฺพตสฺส แก้เป็น ปพฺพโต ภเวยฺย พึงมีภูเขา. บทว่า ทฺวิตาว ความว่า ภูเขาลูกเดียวยกไว้ก่อน ภูเขาทองขนาดใหญ่เพียงนั้นแม้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 55
สองเท่า ก็ยังไม่พอคือไม่พอความต้องการสำหรับคนๆ เดียวได้.บทว่า อิติ วิทฺธา สมญฺจเร ได้แก่ เมื่อรู้อย่างนี้ พึงประพฤติสม่ำเสมอ.บทว่า ยโตนิทานํ ได้แก่ขึ้นชื่อว่าทุกข์มีกามคุณ ๕ เป็นเหตุ. สัตว์ใดได้เห็นอย่างนี้ว่า ทุกข์นั้นมีกามคุณใดเป็นเหตุ. บทว่า กถํ นเมยฺย ความว่า สัตว์นั้นพึงน้อมไปในกามเหล่านั้นอันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ เพราะเหตุอะไร. บทว่า อุปธึ วิทิตฺวา ความว่า รู้อุปธิคือกามคุณอย่างนี้ว่า นั่นเป็นเครื่องข้อง นี่ก็เป็นเครื่องข้อง. บทว่า ตสฺเสว ชนฺตุ วินยาย สิกฺเข ความว่าพึงศึกษาเพื่อกำจัดอุปธินั้นนั่นแลเสีย ดังนี้.
จบอรรถกถารัชชสูตรที่ ๑๐
ทุติยวรรคที่ ๒
รวมพระสูตรในวรรคที่ ๒ นี้มี ๑๐ สูตร คือ
๑. ปาสาณสูตร ๒. สีหสูตร ๓. สกลิกสูตร ๔. ปฎิรูปสูตร ๕. มานสสูตร ๖. ปัตตสูตร ๗. อายตนสูตร ๘. ปิณฑิกสูตร ๙. กัสสกสูตร ๑๐. รัชชสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา