๔. อรุณวตีสูตร ว่าด้วยตรัสเล่าเรื่องอรุณวตีราชธานี
[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 183
๔. อรุณวตีสูตร
ว่าด้วยตรัสเล่าเรื่องอรุณวตีราชธานี
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 183
๔. อรุณวตีสูตร
ว่าด้วยตรัสเล่าเรื่องอรุณวตีราชธานี
[๖๑๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันอารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ในที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
[๖๑๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพระราชาพระนามว่า อรุณวา ราชธานีของพระเจ้าอรุณวามีนามว่า อรุณวตี พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีทรงเข้าไปอาศัยราชธานีอรุณวตีประทับอยู่.
ก็พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ได้มีคู่พระสาวกนามว่าพระอภิภูและพระสัมภวะ เป็นคู่พระสาวกที่เจริญเลิศ.
[๖๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ตรัสเรียกภิกษุนามว่าอภิภูมาว่า ดูก่อนพราหมณ์มาเถิด เราจักไปพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่งชั่วกาลกว่าจะถึงเวลาฉัน.
ภิกษุอภิภูทูลรับ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีแล้ว.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีและภิกษุอภิภูได้หายไปจากอรุณวตีราชธานี ปรากฏในพรหมโลกนั้น เหมือนอย่างบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่งอเข้ามาแล้วออกไป หรืองอแขนที่เหยียดออกไปแล้วเข้ามาฉะนั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 184
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีตรัสกะภิกษุอภิภูว่า ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมีกถาจงแจ่มแจ้งแก่พรหม พรหมบริษัทและพรหมปาริสัชชะทั้งหลายเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอภิภูรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีแล้ว แล้วยังพรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลาย ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว.
[๖๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าในกาลนั้น พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลาย ยกโทษติเตียนโพนทะนาว่า แน่ะท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาเลย ก็เมื่อพระศาสดาประทับอยู่เฉพาะหน้า เหตุไฉน พระสาวกจึงแสดงธรรม.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีตรัสเรียกภิกษุอภิภูมาว่า ดูก่อนพราหมณ์ พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะเหล่านั้นติเตียนว่า แน่ะท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาเลยก็เมื่อพระศาสดาประทับอยู่เฉพาะหน้า เหตุไฉน พระสาวกจึงแสดงธรรม ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลายสลดใจประมาณยิ่ง.
ภิกษุอภิภูทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีแล้ว มีกายปรากฏแสดงธรรมบ้าง มีกายไม่ปรากฏแสดงธรรมบ้าง มีกายปรากฏกึ่งหนึ่งตอนล่าง ไม่ปรากฏกึ่งหนึ่งตอนบนแสดงธรรมบ้าง มีกายปรากฏกึ่งหนึ่งตอนบน ไม่ปรากฏกึ่งหนึ่งตอนล่างแสดงธรรมบ้าง.
[๖๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในกาลนั้น พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลาย ได้มีจิตพิศวงเกิดแล้วว่า น่าอัศจรรย์จริงไม่เคยมีมาเลย ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ความที่สมณะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 185
มาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ภิกษุอภิภูได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนานว่าสิขีว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ย่อมทราบข้าพระองค์เป็นผู้กล่าววาจาเห็นปานนี้ ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เราอยู่ที่พรหมโลกสามารถยังหมื่นโลกธาตุให้รู้แจ่มแจ้งด้วยเสียงได้.
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เป็นกาลของเธอที่เธอดำรงอยู่ที่พรหมโลก พึงยังหมื่นโลกธาตุให้รู้แจ่มแจ้งด้วยเสียงได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอภิภูทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า ดังนี้แล้ว ดำรงอยู่ในพรหมโลก ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า
ท่านทั้งหลายจงริเริ่ม จงก้าวหน้า จงประกอบ (ความเพียร) ในพระพุทธศาสนา จงกำจัดเสนาแห่งมัจจุเหมือนช้างกำจัดเรือนไม้อ้อฉะนั้น ผู้ใดจักไม่ประมาทในพระธรรมวินัยนี้อยู่ ผู้นั้นจักละสงสารคือชาติ แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
[๖๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี และภิกษุอภิภูยังพรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลายให้สลดใจแล้ว ได้หายไปจากพรหมโลกนั้น (มา) ปรากฏในอรุณวตีราชธานี เหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่งอเข้ามาแล้วออกไป หรืองอแขนที่เหยียดออกไปแล้วเข้ามาฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอภิภูดำรงอยู่ในพรหมโลกกล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ เธอทั้งหลายได้ยินหรือไม่.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 186
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินแล้ว พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ตรัสถามว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุอภิภูดำรงอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ เธอทั้งหลายได้ยินว่าอย่างไร.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระเจ้าข้า เมื่อภิกษุอภิภูดำรงอยู่ในพรหมโลกกล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินอย่างนี้ว่า
ท่านทั้งหลายจงริเริ่ม จงก้าวหน้า จงประกอบ (ความเพียร) ในพระพุทธศาสนา จงกำจัดเสนาแห่งมัจจุเหมือนช้างกำจัดเรือนไม้อ้อฉะนั้น ผู้ใดจักไม่ประมาทในพระธรรมวินัยนี้อยู่ ผู้นั้นจักละสงสารคือชาติ แล้วจักกระทำที่สุดทุกข์ได้พระเจ้าข้า.
เมื่อภิกษุอภิภูดำรงอยู่ในพรหมโลกกล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินแล้วอย่างนี้.
[๖๑๙] พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ตรัสว่าดีละ ดีละ ภิกษุทั้งหลาย ดีแท้ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอภิภูดำรงอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ เธอทั้งหลายได้ยินแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นมีใจยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ดังนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 187
อรรถกถาอรุณวตีสูตร
ในอรุณวตีสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อภิภูสมฺภวํ ได้แก่ พระอภิภูและพระสัมภวะ. ในท่านทั้ง ๒ นั้น พระอภิภูเถระ เป็นผู้เลิศทางปัญญา ดุจพระสารีบุตรเถระ พระสัมภวเถระเป็นผู้เลิศทางสมาธิ ดุจพระมหาโมคคัลลานเถระ. บทว่า อุชฺฌายนฺติ ได้แก่ ย่อมดูหมิ่น คือ ย่อมคิดทางต่ำทราม. บทว่า ขียนฺติ ได้แก่ พูดกันว่านี่อย่างไรกัน นี่อย่างไรกัน. บทว่า วิปาเจนฺติ ได้แก่ ย่อมพูดยืดยาว คือ พูดซ้ำๆ ซากๆ. บทว่า เหฏฺิเมน อุปฑฺฒกาเยน ได้แก่ กายเบื้องล่าง ตั้งแต่สะดือลงไป ในพระบาลีมาเพียงเท่านี้เอง. ฝ่ายพระเถระแสดงการทำฤทธิ์ต่างๆ มากประการที่มาโดยนัยเป็นต้นว่า ละเพศปกติ แสดงเพศนาคบ้างแสดงเพศครุฑบ้าง. บทว่า อิมา คาถาโย อภาสิ ความว่า ได้ยินว่าพระเถระคิดว่า แสดงธรรมอย่างไร จึงจะเป็นที่รักที่ชอบใจทั้งคนทั้งปวงแต่นั้นเมื่อรำพึงถึงจึงรู้ว่า เจ้าลัทธิแม้ทั้งปวง เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงจักสรรเสริญความเพียรของบุรุษในลัทธิของตน ผู้ที่ไม่สรรเสริญความเพียรไม่มี เราจักแสดงให้เกี่ยวด้วยความเพียร การแสดงธรรมอย่างนี้จักเป็นที่รักที่ชอบใจของคนทุกจำพวก ได้เลือกเฟ้นในพระไตรปิฎกแล้วจึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อารพฺภถ ได้แก่ จงเริ่มความเพียร. บทว่า นิกฺกมถ ได้แก่ จงเพียรก้าวหน้า. บทว่า ยุญฺชถ ได้แก่ จงประกอบเพียร คือ จงบากบั่น. บทว่า มจฺจุโน เสนํ ความว่า กองทัพกิเลส ชื่อว่ากองทัพมฤตยู. บทว่า ชาติสํสารํ ได้แก่ ชาติและสงสาร หรือสงสารกล่าว.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 188
คือชาติ บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ ได้แก่ จักกระทำการกำหนดวัฏทุกข์. ถามว่า ก็พระเถระทำอย่างไร จึงทำให้หมื่นโลกธาตุรู้กันได้. ตอบว่า ก่อนอื่นพระเถระเข้านีลกสิณแล้วแผ่ความมืดไปในที่มีแสงสว่างทั้งปวง. เข้าโอทาตกสิณแล้วทำที่มืดให้สว่าง แสดงอาโลกกสิณในเมื่อพวกสัตว์เกิดคำนึงขึ้นว่า ทำไมถึงมืดอย่างนี้. ในที่มีแสงสว่าง ไม่มีกิจด้วยแสงสว่าง. เมื่อเหล่าสัตว์ค้นคว้าอยู่ว่า แสงสว่างนี้คืออะไร จึงแสดงตน. ครั้งนั้น เมื่อสัตว์เหล่านั้นพูดกันว่าพระเถระ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้. สัตว์ทั้งปวงฟังเสียงพระเถระประดุจนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัทผู้ประชุมกัน. แม้เนื้อความได้ปรากฏแก่สัตว์เหล่านั้น.
จบอรรถกถาอรุณวตีสูตรที่ ๔