๑๐. พหุธิติสูตร ว่าดัวยความสุข
[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 234
๑๐. พหุธิติสูตร
ว่าด้วยความสุข
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 234
๑๐. พหุธิติสูตร
ว่าด้วยความสุข
[๖๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในชัฏป่าแห่งหนึ่งในโกศลชนบท. ก็โดยสมัยนั้นแล โคงาน ๑๔ ตัว ของพราหมณภารทวาชโคตรคนหนึ่งหายไป.
[๖๖๘] ครั้งนั้นแล พราหมณภารทวาชโคตรเที่ยวแสวงหาโคงานเหล่านั้นอยู่ เข้าไปถึงชัฏป่านั้น ครั้นแล้ว ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในชัฏป่านั้น ทรงนั่งสมาธิ ตั้งพระกายตรง ทรงดำรงพระสติเฉพาะพระพักตร์ ครั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับแล้ว ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
โคงาน ๑๔ ตัว ของพระสมณะนี้ไม่มีแน่ แต่ของเราหายไปได้ ๖๐ วันเข้าวันนี้ เพราะเหตุนั้น พระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข งาทั้งหลายอันเลวมีใบหนึ่งและสองใบในไร่ ของพระสมณะนี้ไม่มีเป็นแน่ เพราะเหตุนั้น พระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข หนูทั้งหลายในฉางเปล่าย่อมไม่รบกวนแก่พระสมณะนี้ด้วยการยกหูหางขึ้นแล้วกระโดดโลดเต้นเป็นแน่ เพราะเหตุนั้น พระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข เครื่องลาดของพระสมณะนี้ใช้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 235
ตั้งเจ็ดเดือนไม่ดาดาษแล้ว ด้วยสัตว์ทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นเป็นแน่ เพราะเหตุนั้น พระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข หญิงหม้ายบุตรธิดามีบุตรคนหนึ่งและสองคนของพระสมณะนี้ย่อมไม่มีแน่ เพราะเหตุนั้น พระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข แมลงซึ่งมีตัวอันลาย ไต่ตอมบุคคลผู้หลับด้วยเท้าย่อมไม่ไต่ตอมพระสมณะนี้เป็นแน่ เพราะเหตุนั้น พระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข ในเวลาใกล้รุ่ง เจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมไม่ทวงพระสมณะนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงให้ท่านทั้งหลายจงให้ ดังนี้เป็นแน่ เพราะเหตุนั้น พระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข.
[๖๖๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ภาษิตพระคาถาตอบว่า
ดูก่อนพราหมณ์ โคงาน ๑๔ ตัวของเราไม่มีเลย แต่ของท่านหายไปได้ ๖๐ วันเข้าวันนี้ ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็นผู้มีความสุข ดูก่อนพราหมณ์ งาทั้งหลายอันเลวมีใบหนึ่งและสองใบในไร่ของเราไม่มีเลย ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข ดูก่อนพราหมณ์ หนูทั้งหลายในฉางเปล่า ย่อมไม่รบกวนเราเลย ด้วยการยกหูหางขึ้นแล้ว
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 236
กระโดดโลดเต้น ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข ดูก่อนพราหมณ์ เครื่องลาดของเราใช้ตั้งเจ็ดเดือนไม่ดาดาษเลย ด้วยสัตว์ทั้งหลายที่บังเกิดขึ้น ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข ดูก่อนพราหมณ์ หญิงหม้าย บุตรธิดามีบุตรคนหนึ่งและสองคน ของเราไม่มีเลย ดูก่อนพราหมณ์เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข แมลงซึ่งมีตัวอันลาย ไต่ตอมบุคคลผู้หลับด้วยเท้า ย่อมไม่ไต่ตอมเราเลย ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข ดูก่อนพราหมณ์ ในเวลาใกล้รุ่งเจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมไม่ทวงเราเลยว่า ท่านทั้งหลายจงให้ ท่านทั้งหลายจงให้ ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข.
[๖๗๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณภารทวาชโคตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนักพระโคดมผู้เจริญทรงประกาศพระธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า คนมีจักษุย่อมเห็นรูปฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระสมณ-
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 237
โคดมผู้เจริญ พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระโคดมผู้เจริญ.
พราหมณภารทวาชโคตรบรรพชา ได้อุปสมบทแล้วในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ท่านพระภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษอันยอดเยี่ยมเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ มีความต้องการ ด้วยปัญญาเครื่องรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้เข้าถึงอยู่ ได้ทราบว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แหละท่านพระภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล.
จบพหุธิติสูตร
จบ อรหันตวรรคที่ ๑
อรรถกถาพหุธิติสูตรที่ ๑๐
ในพหุธิติสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า อญฺตรสฺมึ วนสณฺเฑ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นธรรมอันเป็นอุปนิสัยพระอรหัตของพราหมณ์นั้น ทรงพระดำริที่จะไปสงเคราะห์พราหมณ์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในไพรสณฑ์นั้น. บทว่า ปลฺลงฺกํ ได้แก่ นั่งขัดสมาธิ. บทว่า อาภุชิตฺวา
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 238
ได้แก่ผูกไว้. บทว่า อุชุํ กายํ ปณิธาย ความว่า ตั้งกายตอนบนให้ตรงให้ปลายกระดูกสันหลัง ๑๘ ข้อจดกัน บทว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺเปตฺวา ความว่า ตั้งสติมุ่งต่อพระกรรมฐาน หรือทำพระกรรมฐานไว้ใกล้หน้า. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่า สตินี้ปรากฏแล้ว ตั้งอยู่ด้วยดีแล้วที่ปลายจมูกหรือที่ใบหน้า เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดำรงพระสติเฉพาะพระพักตร์. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปริ ได้แก่ อาศัย. บทว่า มุขํ ได้แก่. นำออก. บทว่า สติ ได้แก่ บำรุง. ก็ในข้อนี้พึงเห็นเนื้อความตามนัยที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคว่า เตน วุจฺจติ ปริมุขํ สตึ เหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ดำรงสติเฉพาะหน้า ดังนี้. ในข้อนั้นมีความย่อดังนี้ว่า ทำสติกำหนดธรรมเครื่องนำออกจากทุกข์. ก็แลเมื่อประทับนั่งอย่างนี้ ได้ประทับนั่งเปล่งพระพุทธรัศมีที่หนาทึบ ๖ สี. บทว่า นฏฺา โหนฺติ ความว่า โคที่พราหมณ์ใช้ไถนาแล้วปล่อย เที่ยวไปปากดง หนีไปเมื่อพราหมณ์ไปบริโภคอาหาร. บทว่า. อุปสงฺกมิ ความว่า พราหมณ์มีความโทมนัสครอบงำเที่ยวไป คิดว่า พระสมณโคดมนี้ประทับนั่งเป็นสุขหนอ ดังนี้เข้าไปเฝ้า. บทว่า อชฺช สฏฺึ น ทิสฺสนฺติ ความว่า หายไปประมาณ ๖๐ วัน เข้าวันนี้. บทว่า ปาปกา ได้แก่ ตอต้นงาที่เลว. ได้ยินว่า เมื่อพราหมณ์นั้นหว่านงาในไร่ ฝนได้ตกลงในวันนั้นเอง ทำเมล็ดงาจมลงในดินร่วน ไม่อาจผลิดอกออกผลได้. บนต้นที่เจริญงอกงามก็มีแมลงเล็กๆ บินมากินใบเป็นต้นเสีย เหลือไว้ต้นละใบสองใบ. พราหมณ์ไปตรวจดูไร่เห็นดังนั้น จึงคิดว่า เราปลูกงาก็เพื่อหวังผลกำไร แต่งาเหล่านั้นเสีย เสียแล้ว ได้เกิดโทมนัส เขาถือเอาเรื่องนั้น จึงกล่าวคาถานี้.
บทว่า อุสฺโสฬฺหิกาย ความว่า หนูทั้งหลายยกหูชูหางเป็นต้นเที่ยวกระโดดโลดเต้นด้วยอุตสาหะ ได้ยินว่า พราหมณ์นั้น เมื่อโภคะสิ้นลงตามลำดับ มีฉางเปล่าเพราะไม่มีสิ่งที่จะพึงใส่เข้าไป. หนูทั้งหลายมาทางโน้นทางนี้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 239
จาก ๗ หลังคาเรือน เข้าไปในฉางเปล่าของพราหมณ์นั้น กระโดดโลดเต้นเหมือนเล่นกีฬาในสวน เ ขากำหนดเรื่องนั้น จึงกล่าวอย่างนี้.
บทว่า อุปฺปาทเกหิ สญฺฉนฺโน ความว่า ดาดาษไปด้วยสัตว์เล็กๆ ที่เกิดขึ้น ได้ยินว่าเครื่องปูลาดที่ทำด้วยหญ้าและใบไม้ ที่ปูลาดไว้ให้พราหมณ์นั้นนอน ไม่มีใครๆ ปัดกวาดเป็นครั้งคราวเลย. พราหมณ์ทำงานในป่าตลอดวัน มาในเวลาเย็น นอนบนเครื่องปูลาดนั้น. ลำดับนั้น แมลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ย่อมเกาะกินสรีระของพราหมณ์นั้นเต็มไปหมด เขาถือเอาเรื่องนั้นจึงกล่าวอย่างนี้
บทว่า วิธวา ได้แก่หญิงสามีตาย. ได้ยินว่า หญิงทั้งหลายแม้เป็นหม้าย ก็ยังได้อยู่ในตระกูลสามีชั่วเวลาที่ยังมีสมบัติอยู่ในเรือนของพราหมณ์นั้นแต่เมื่อใดเขาไร้ทรัพย์ เมื่อนั้นหญิงทั้งหลายที่ถูกแม่ผัวพ่อผัวเป็นต้นขับไล่ว่าจงไปเรือนบิดา ดังนี้ ย่อมมาอยู่เรือนของพราหมณ์นั้นแหละ. ในเวลาพราหมณ์บริโภค ชนเหล่าใดส่งบุตรไปว่า พวกเจ้าจงไปบริโภคร่วมกับพระผู้เป็นเจ้าเมื่อชนเหล่านั้นหย่อนมือลงในถาด พราหมณ์ใดไม่ได้โอกาสจะใช้มือ (หยิบอาหาร) เขาหมายถึงพราหมณ์นั้นจึงกล่าวคาถานี้.
บทว่า ปิงฺคลา ได้แก่มดดำมดแดงมดเหลือง. บทว่า ติลกาหตา ได้แก่ มีตัวตกกระ มีสีดำและขาวเป็นต้น. บทว่า โสตฺตํ ปาเทน โปเถติ ได้แก่ ใช้เท้าไต่ตอมปลุกผู้ที่นอนหลับให้ตื่น. ได้ยินว่าพราหมณ์นี้รำคาญด้วยเสียงหนูและถูกแมลงเล็กๆ กัด ไม่ได้หลับตลอดคืน มาหลับได้เมื่อใกล้สว่าง ลำดับนั้น พราหมณ์พอลืมตาขึ้นเท่านั้น เจ้าหนี้คนหนึ่งก็กล่าวกะพราหมณ์นั้นว่าจะทำอย่างไรละพราหมณ์ หนี้ที่ท่านกู้ในภายหลังและเมื่อก่อน ดอกเบี้ยเพิ่มพูนขึ้น ท่านยังจะต้องเลี้ยงธิดา ๗ คน บัดนี้ พวกเจ้าหนี้มาล้อมเรือน ท่าน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 240
จงไปทำการงาน ดังนี้แล้ว ใช้เท้าถีบปลุกให้ตื่น เขาหมายเอาเรื่องนั้นจึงกล่าวคาถานี้.
บทว่า อิณายิกา ได้แก่ ผู้มีของให้เขากู้หนี้จากมือ. ได้ยินว่า พราหมณ์นั้น กู้หนี้จากมือของคนบางคน ๑ กหาปณะ บางคน ๒ กหาปณะ บางคน ๑๐ กหาปณะ บางคน ๑๐๐ กหาปณะ รวมความว่า พราหมณ์ได้กู้หนี้จากมือของคนหลายคน. เจ้าหนี้เหล่านั้นเมื่อไม่เห็นพราหมณ์ตอนกลางวัน คิดจะจับเขากำลังออกจากเรือนทีเดียว จึงไปทวงตอนใกล้รุ่ง พราหมณ์หมายเอาเรื่องนั้น จึงกล่าวคาถานี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพราหมณ์นั้นพรรณนาความทุกข์ด้วยคาถา ๗ คาถาเหล่านี้ เมื่อจะทรงแสดงว่า พราหมณ์ ทุกข์ที่ท่านพรรณนามานั้นทั้งหมดไม่มีแก่เรา จึงใช้คาถาตอบพราหมณ์ขยายพระธรรมเทศนา. เพื่อจะแสดงว่าพราหมณ์ฟังพระคาถาเหล่านั้น เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งอยู่ในสรณะ ๓ บวชแล้วบรรลุพระอรหัต. จึงตรัสพระดำรัสว่า เอวํ วุตฺเต ภารทฺวาโช เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลตฺถ แปลว่า ได้แล้ว.
ก็แหละพระผู้มีพระภาคเจ้าให้พราหมณ์นั้นบวชแล้ว พาไปยังพระเชตวันมหาวิหาร ในวันรุ่งขึ้นมีพระเถระนั้น เป็นปัจฉาสมณะได้เสด็จไปยังทวารพระราชมณเฑียรของพระเจ้าโกศล. พระราชาทรงสดับว่า พระศาสดาเสด็จมาจึงเสด็จลงจากปราสาท ถวายบังคมแล้วทรงรับบาตรจากพระหัตถ์ อาราธนาพระตถาคตให้เสด็จขึ้นบนปราสาท ให้ประทับนั่งเหนือพระแท่น ทรงล้างพระยุคลบาทด้วยน้ำหอม ทาด้วยน้ำมันที่หุงร้อยครั้ง ให้นำข้าวยาคูมา ทรงถือทัพพีทองด้ามเงิน ทรงน้อมเข้าไปถวายพระศาสดา. พระศาสดาทรงเอาพระหัตถ์ปิด. พระราชาทรงหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระตถาคตกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์มีโทษ ขอพระองค์โปรดอดโทษ. พระศาสดาตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 241
ไม่มีโทษดอกมหาบพิตร. พระราชาตรัสว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรพระองค์ไม่รับข้าวยาคู. ปลิโพธความกังวล มีอยู่มหาบพิตร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหตุไรเล่า ผู้ไม่รับข้าวยาคูพึงได้ปลิโพธ ข้าพระองค์สามารถทำปลิโพธหรือ โปรดรับข้าวยาคูเถิดพระเจ้าข้า. พระศาสดาทรงรับแล้ว แม้พระเถระแก่หิวมานานจึงดื่มข้าวยาคูตามความต้องการ. พระราชาทรงถวายขาทนียโภชนียะ. ในเวลาเสร็จภัตกิจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์อุบัติในวงศ์โอกากราช ซึ่งมีมาตามประเพณีทรงละสิริราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงผนวชบรรลุความเป็นผู้เลิศในโลกแล้ว พระองค์ยังจะมีปลิโพธอะไรอีกเล่า พระเจ้าข้า. มหาบพิตร ความปลิโพธของพระเถระผู้แก่รูปนี้ เป็นเช่นปลิโพธของอาตมาเหมือนกัน
พระราชา ทรงไหว้พระเถระตรัสถามว่า ท่านขอรับ ท่านมีปลิโพธอะไร. พระเถระถวายพระพรว่า มีความปลิโพธเรื่องหนี้ มหาบพิตร. เท่าไรขอรับ. ทรงนับดูเถิด มหาบพิตร. เมื่อพระราชาทรงนับว่า ๑, ๒, ๑๐๐, ๑,๐๐๐ ดังนี้ นิ้วพระหัตถ์ไม่พอ. ลำดับนั้น พระราชาตรัสเรียกบุรุษคนหนึ่งมารับสั่งว่า พนายจงไปตีกลองร้องประกาศในพระนครว่า เจ้าหนี้ของพหุธิติกพราหมณ์ทั้งหมด จงประชุมกันในพระลานหลวง. พวกมนุษย์ได้ยินเสียงกลองประชุมกันแล้ว. พระราชาให้นำบัญชีมาจากมือของเจ้าหนี้เหล่านั้น ได้พระราชทานทรัพย์ไม่หย่อนกว่าหนี้ที่กู้มาทั้งหมด. ในที่นั้นทองมีราคาหนึ่งแสน. พระราชาตรัสถามอีกว่า ท่านขอรับ ปลิโพธอื่นยังมีอีกไหม. พระเถระถวายพระพรว่าพระมหาราชสามารถทรงใช้หนี้ให้แล้วตรัสถามจึงกล่าวว่า เด็กหญิง ๗ คนเหล่านี้เป็นปลิโพธใหญ่ของอาตมา. พระราชาทรงส่งยานไปรับธิดาทั้งหลายของพระเถระ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 242
นั้นมาทรงทำเป็นธิดาของพระองค์ แล้วทรงส่งไปยังเรือนตระกูลสามีนั้นๆ แล้วตรัสถามว่า ท่านขอรับ ยังมีปลิโพธอื่นอีกไหม. พระเถระถวายพระพรว่านางพราหมณี มหาบพิตร. พระราชาทรงส่งยานไปนำนางพราหมณีมาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งพระอัยยิกา แล้วตรัสถามอีกว่า ท่านขอรับ ยังมีปลิโพธอื่นอีกไหม. พระเถระถวายพระพรว่า ไม่มี มหาบพิตร. พระราชามีรับสั่งให้พระราชทานผ้าจีวร ตรัสว่า ท่านขอรับ ขอท่านจงทราบความเป็นภิกษุของท่านว่าเป็นของข้าพเจ้า. พระเถระถวายพระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร. ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า ท่านขอรับ ปัจจัยทุกอย่างมีจีวรและบิณฑบาตเป็นต้น จักเป็นของของพวกเราจัดถวาย ขอท่านจงยึดถือพระทัยพระตถาคตบำเพ็ญสมณธรรมเถิด. พระเถระไม่ประมาท บำเพ็ญสมณธรรมตามนั้นทีเดียว ถึงความสิ้นอาสวะต่อกาลไม่นานนักแล.
จบอรรถกถาพหุฐิติสูตรที่ ๑๐
จบอรหันตวรรคที่ ๑
รวมพระสูตรในวรรคนี้ ๑๐ สูตร คือ
๑. ธนัญชานีสูตร ๒. อักโกสกสูตร ๓. อสุรินทกสูตร ๔. พิลังคิกสูตร ๕. อหิงสกสูตร ๖. ชฏาสูตร ๗. สุทธิกสูตร ๘. อัคคิกสูตร ๙. สุนทริกสูตร ๑๐. พหุธิติสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา