พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๓. เทวหิตสูตร ว่าด้วยการให้ไทยธรรม

 
บ้านธัมมะ
วันที่  30 ส.ค. 2564
หมายเลข  36396
อ่าน  496

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 269

๓. เทวหิตสูตร

ว่าด้วยการให้ไทยธรรม


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 269

๓. เทวหิตสูตร

ว่าด้วยการให้ไทยธรรม

    [๖๘๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.

    สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประชวรด้วยโรคลม.

    ท่านพระอุปวาณะ เป็นอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า.

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเรียกท่านพระอุปวาณะมาตรัสว่าอุปวาณะ เธอจงรู้ น้ำร้อนเพื่อฉัน ท่านพระอุปวาณะทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นุ่งสบงถือบาตรและจีวรเข้าไปยังที่อยู่ของเทวหิตพราหมณ์ แล้วยืนนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 270

    [๖๘๓] เทวหิตพราหมณ์ได้เห็นท่านพระอุปวาณะยืนนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวกะท่านพระอุปวาณะด้วยคาถาว่า

    ท่านเป็นสมณะศีรษะโล้น ครองผ้าสังฆาฏิยืนนิ่งอยู่ ท่านปรารถนาอะไร แสวงหาอะไร มาเพื่อขออะไรหรือ.

    [๖๘๔] ท่านพระอุปวาณะตอบว่า

    พระสุคตมุนีเป็นอรหันต์ในโลก ประชวรด้วยโรคลม ถ้ามีน้ำร้อน ขอท่านจงถวายแก่พระสุคตมุนีเถิดพราหมณ์ ฉันปรารถนาจะเอาไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าในบรรดาผู้ที่ควรแก่การบูชา.

    [๖๘๕] ครั้งนั้น เทวหิตพราหมณ์ให้บุรุษ (คนใช้) ถือกาน้ำร้อนและห่อน้ำอ้อย (ตามไป) ถวายท่านพระอุปวาณะ.

    ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ แล้วอัญเชิญให้พระผู้มีพระภาคเจ้าสรงสนาน และละลายน้ำอ้อยด้วยน้ำร้อนแล้วถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า.

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหายประชวรนั้น.

    [๖๘๖] ต่อมา เทวหิตพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับแล้ว ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

    เทวหิตพราหมณ์นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 271

    พึงให้ไทยธรรมที่ไหน ทานอันบุคคลให้ที่ไหนมีผลมาก ทักษิณาสำเร็จในที่ไหน แก่บุคคลผู้บูชาอย่างไร.

    [๖๘๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

    ผู้ใดรู้ขันธ์ที่เคยอาศัยในก่อน แลเห็นสวรรค์และอบาย บรรลุพระอรหัตอันเป็นที่สิ้นชาติ อยู่จบแล้วเพราะรู้ยิ่งเป็นมุนี พึงให้ไทยธรรมในผู้นี้ ทานที่ให้แล้วในผู้นี้มีผลมาก ทักษิณาย่อมสำเร็จแก่บุคคลผู้บูชาอย่างนี้แหละ.

    [๖๘๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว เทวหิตพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมองเห็นรูปได้ ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า กับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 272

อรรถกถาเทวหิตสูตร

    ในสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-

    บทว่า วาเตหิ ได้แก่ ด้วยลมในท้อง. เล่ากันมาว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำทุกกรกิริยา ๖ พรรษา ทรงนำเอาถั่วเขียวและถั่วพูเป็นต้นอย่างละฟายมือมาเสวย ลมในพระอุทรกำเริบเพราะเสวยไม่ดีและบรรทมลำบาก. สมัยต่อมา ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว แม้เสวยโภชนะประณีตอาพาธนั้นก็ยังปรากฏตัวเป็นระยะๆ คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาอาพาธนั้น. บทว่า อุปฏฺาโก โหติ ความว่า เป็นอุปัฏฐากในคราวยังไม่มีอุปัฏฐากประจำตอนปฐมโพธิกาล. ได้ยินว่า ในเวลานั้น บรรดาพระอสีติมหาเถระ ผู้ที่ไม่เคยเป็นอุปัฏฐากของพระศาสดาไม่มี. ก็พระเถระเหล่านี้ คือ พระนาคสุมนะ พระอุปวาณะ พระสุนักขัตตะ พระจุนทะ พระสมณุทเทสะ พระสาคตะ พระเมฆิยะ เป็นอุปัฏฐากที่มีชื่อมาในบาลี แต่ในเวลานี้ พระอุปวาณเถระลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง เช่นกวาดบริเวณ ถวายไม้ชำระพระทนต์ จัดถวายน้ำสรง ถือบาตรจีวรตามเสด็จ. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า ได้ยินว่า ตลอดเวลา ๒๐ ปี ในปฐมโพธิกาล ป่าปราศจากควันไฟ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังมิได้ทรงอนุญาต ที่ต้มน้ำแก่ภิกษุทั้งหลาย ก็พราหมณ์นั้นให้ทำเตาเป็นแถว ยกภาชนะใหญ่ๆ ขึ้นตั้งบนเตา ให้ทำน้ำร้อนแล้วขายน้ำร้อนพร้อมกับผงสำหรับอาบน้ำเป็นต้นเลี้ยงชีพ. ผู้ประสงค์อาบน้ำไปในที่นั้นแล้วให้ราคา (ซื้อ) อาบน้ำลูบไล้ด้วยของหอม ประดับดอกไม้แล้วหลีกไป. เพราะฉะนั้น พระเถระจึงเข้าไปในที่นั้น.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 273

    บทว่า กึ ปตฺถยาโน ได้แก่ ปรารถนาอะไร บทว่า กึ เอสํ ได้แก่แสวงหาอะไร. บทว่า ปูชิโต ปูชเนยฺยานํ ความว่า พระเถระเริ่มกล่าวสดุดีพระทศพลนี้. ท่านกล่าวคำนี้ ไว้ว่า ได้ยินว่า พระเถระไปเพื่อคิลานเภสัช กล่าวสรรเสริญภิกษุไข้ ดังนี้. จริงอยู่ พวกมนุษย์ได้ฟังคำสรรเสริญแล้ว ย่อมสำคัญเภสัชที่ควรถวายโดยเคารพ. ภิกษุไข้ได้เภสัชอันเป็นสัปปายะแล้ว ย่อมหายไข้ฉับพลันทีเดียว ความจริงเมื่อจะกล่าว ไม่ควรกล่าวพาดพิงไปถึงฌานวิโมกข์สมาบัติและมรรคผล. แต่ควรกล่าวอาคมนียปฏิปทาอย่างนี้ คือ ผู้มีศีล มีความละอาย มักรังเกียจ พหูสูต ทรงไว้ซึ่งนิกายเป็นที่มาผู้ตามรักษาอริยวงศ์. บทว่า ปูชเนยฺยานํ ความว่า พระอสีติมหาเถระ ชื่อว่า ปูชเนยฺยา เพราะโลกพร้อมทั้งเทวโลกควรบูชา. ท่านเหล่านั้นนั่นแล ชื่อว่า สกฺกเรยฺยา เพราะควรสักการะ ชื่อว่า อปจิเนยฺยา เพราะควรทำความนอบน้อมแก่ท่านเหล่านั้นทีเดียว. พระเถระเมื่อประกาศคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นบูชาสักการะนอบน้อม ดังนี้ จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า หาตเว แปลว่า เพื่อนำไป.

    บทว่า ผาณิตสฺส จ ปูฏํ ได้แก่ก้อนน้ำอ้อยใหญ่ที่ปราศจากขี้เถ้า ได้ยินว่า พราหมณ์นั้น ถามว่า พระสมณโคดมทรงไม่สบายเป็นอะไร ได้ทราบว่า ลมในท้อง จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเรารู้จักยาในเรื่องนี้ ต่อแต่นี้ขอท่านจงเอาน้ำหน่อยหนึ่งละลายน้ำอ้อยนี้ ถวายให้ทรงดื่มในเวลาสรงเสร็จ พระเสโทจักซึมออกภายนอกพระสรีระด้วยน้ำร้อน ลมในท้องจักหายด้วยยานี้ ด้วยประการฉะนี้ พระสมณโคดมจักทรงสำราญ ด้วยอาการดังว่ามานี้ ดังนี้แล้วจึงได้ถวายใส่ลงในบาตรพระเถระ.

    บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า ได้ยินว่า เมื่ออาพาธนั้นสงบแล้ว ได้เกิดเรื่องพิสดารว่า เทวหิตพราหมณ์ถวายเภสัชแด่พระตถาคต โรคสงบเพราะ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 274

เภสัชนั้นนั่นเอง น่าอัศจรรย์ ทานของพราหมณ์เป็นบรมทาน. พราหมณ์ผู้ประสงค์ชื่อเสียง ได้ฟังดังนั้นแล้ว เกิดโสมนัสว่า กิตติศัพท์ของเรานี้ขจรไปแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เอง ประสงค์จะให้เขารู้เรื่องที่ตนกระทำแล้ว ในขณะนั้นเอง เข้าไปเฝ้าทำความคุ้นเคยในพระทศพล.

    บทว่า ทชฺชา แปลว่า พึงให้. บทว่า กถํ หิ ยชมานสฺส ได้แก่ บูชาด้วยเหตุอะไร. บทว่า อิชฺฌติ ได้แก่มีผลมาก. บทว่า โย เวทิ ความว่า ได้กระทำผู้ที่รู้ทั่วถึงให้ปรากฏชัด. ปาฐะว่า โย เวติ ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า ผู้ใดย่อมรู้ คือรู้ทั่วถึง. บทว่า ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นด้วยทิพยจักษุ. บทว่า ชาติกฺขยํ ได้แก่พระอรหัต. บทว่า อภิญฺา โวสิโต ความว่า อยู่จบพรหมจรรย์ คือถึงที่สุดพรหมจรรย์ คือความเป็นผู้ทำกิจเสร็จแล้ว เพราะรู้. บทว่า เอวํ หิ ยชมานสฺส ความว่า บูชาอยู่ด้วยอาการนี้ คืออาการบูชาพระขีณาสพ.

    จบอรรถกถาเทวหิตสูตรที่ ๓