พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๖. ยชมานสูตร ว่าด้วยทานที่ให้ในอริยสงฆ์มีผลมาก

 
บ้านธัมมะ
วันที่  30 ส.ค. 2564
หมายเลข  36462
อ่าน  360

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 503

๖. ยชมานสูตร

ว่าด้วยทานที่ให้ในอริยสงฆ์มีผลมาก


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 503

๖. ยชมานสูตร

ว่าด้วยทานที่ให้ในอริยสงฆ์มีผลมาก

[๙๒๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงถวายบังคมแล้ว ประทับอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.

[๙๒๓] ท้าวสักกะจอมเทพประทับ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง เรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นสัตว์ ปรารถนาบุญบูชาอยู่ กระทำบุญมีอุปธิ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 504

เป็นผล ทานที่ให้แล้วในที่ไหนมีผลมากพระพุทธเจ้าข้า.

[๙๒๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

ท่านผู้ปฏิบัติ ๔ จำพวก ท่านผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ จำพวก นั่นคือพระสงฆ์ เป็นผู้ซื่อตรง ประกอบด้วยปัญญาและศีล เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นสัตว์ปรารถนาบุญบูชาอยู่ กระทำบุญมีอุปธิเป็นผล ทานที่ให้แล้วในสงฆ์มีผลมาก.

อรรถกถายชมานสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในยชมานสูตรที่ ๖ ต่อไปนี้ :-

บทว่า ยชมานํ แปลว่า บูชาอยู่. มีเรื่องเล่าว่า ในครั้งนั้นพวกชาวอังคะและมคธะ. ได้ถือเอาเนยใส น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้นอย่างเลิศเป็นประจำปี เอาฟืนบรรทุกเกวียนประมาณ ๖๐ เล่ม กองสุมไว้ในที่แห่งหนึ่งแล้วก่อไฟ ขณะที่ไฟลุก ใส่ของเลิศทั้งหมดนั้นด้วยหมายว่า พวกเราจะบูชาท้าวมหาพรหม. นัยว่าเป็นความเชื่อถือของพวกเขาว่า ใส่ลงไปครั้งหนึ่งจะให้ผลแสนเท่า.

ท้าวสักกเทวราชดำริว่า พวกคนทั้งหมดนี้ถือเอาของเลิศทั้งปวงเผาในไฟด้วยหมายว่า พวกเราจะบูชาท้าวมหาพรหม ทำสิ่งไร้ผล เมื่อเราเห็นอยู่พวกเขาอย่าได้พินาศเสียเลย เราจักกระทำโดยที่ให้พวกเขาถวายแด่พระพุทธเจ้า

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 505

และพระสงฆ์เท่านั้น แล้วจะประสบบุญมากดังนี้ เมื่อพวกคนทำกองฟืน ให้โชติช่วง แลดูอยู่จึงทรงแปลงเป็นพรหมในวัน ๑๕ ค่ำ เมื่อมหาชนแลดูอยู่นั่นเอง ได้ทำเป็นเหมือนแหวกจันทมณฑลออกไป. มหาชน ครั้นเห็นแล้วต่างก็คิดว่า ท้าวมหาพรหม เสด็จมารับเครื่องบูชานี้ จึงคุกเข่าลงกับพื้น ประคองอัญชลี นอบน้อมอยู่. พวกพราหมณ์กล่าวว่า พวกท่านสำคัญว่าเราพูดเล่นหรือ บัดนี้พวกท่านจงดูซิ พระพรหมองค์นี้ มารับเครื่องบูชาของพวกเราด้วยมือตนเอง. ท้าวสักกะเสด็จมายืนอยู่บนอากาศ เบื้องบนกองฟืน ตรัสถามว่า สักการะนี้เพื่อโครกัน มีคนทูลว่า ข้าแต่ท้าวมหาพรหมผู้เจริญ เพื่อพระองค์นี้ซิ ขอพระองค์จงทรงรับ เครื่องบูชาของพวกข้าพเจ้าเถิด. มหาพรหมตรัสว่า ถ้ากระนั้น พวกท่านจงมา อย่าทิ้งเครื่องชั่งเสียแล้วชั่งด้วยมือ พระศาสดาประทับอยู่ที่วิหารใกล้ๆ พวกเราจักทูลถามพระองค์ว่า ให้ทานแก่ใคร จึงจะมีผลมากดังนี้. ท้าวสักกะทรงพาพวกชาวแคว้นทั้งสองไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อจะทูลถามจึงตรัสอย่างนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุญฺเปกฺขานํ ได้แก่ ปรารถนาบุญ คือมีความต้องการบุญ. บทว่า โอปธิกํ ปุญฺํ ได้แก่ บุญมีอุปธิเป็นวิบาก. บทว่า สํเฆ ทินฺนํ มหปฺผลํ ความว่า ทานที่ถวายในพระอริยสงฆ์ ย่อมมีผลกว้างขวาง. เมื่อเทศน์จบ ชนแปดหมื่นสี่พันได้ดื่มน้ำคืออมฤตธรรม. ตั้งแต่นั้นมา พวกคนได้พากันถวายทานอันเลิศทั้งปวงแก่ภิกษุสงฆ์.

จบอรรถกถายชมานสูตรที่ ๖