ความรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลก อ้างว้าง
จิตเมื่อเกิดขึ้น ย่อมมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอ เจตสิกดวงหนึ่งที่เกิดกับจิตทุกดวง คือ เวทนาเจตสิก เวทนาเจตสิก คือ สภาพธัมมะที่รู้สึก เช่น สุขใจ ทุกข์ใจ เฉยๆ สุขกาย ทุกข์กาย
ขณะที่รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลก อ้างว้าง โดดเดี่ยวเป็นลักษณะของอกุศลประเภทใดครับ
ขณะนั้น รู้สึกถึงความไม่สบายใจ ทุกข์ใจไหม ความขุ่นใจ เล็กๆ น้อยบ้างไหม
ก็มีครับ ดังนั้น จิตขณะนั้นก็เป็นโทสมูลจิต เพราะโทสมูลจิตจะประกอบด้วยโทมนัสเวทนา (ความรู้สึก ไม่สบายใจ ขุ่นใจ เป็นต้น) แต่ที่สำคัญการจะรู้ว่าจิตใดเป็นอะไร แท้จริงแล้วก็ต้องด้วยสติ (ขั้นสติปัฏฐาน) ที่ระลึกสภาพธัมมะที่เกิดในขณะนั้นครับ มิเช่นนั้น เราก็ได้แต่เดาและก็ใส่ชื่อให้เขาว่า นี่โทสมูลจิตนะ ทั้งๆ ที่สภาพธัมมะ ธัมมะนั้นดับไปนานแล้ว หนทางเดียวก็คืออบรมสติปัฏฐาน ระลึกสภาพธัมมะนั้นในปัจจุบันครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ลักษณะของโทสะ จะสังเกตได้จากเวทนา (เว-ทะ-นา) ซึ่งเป็นความรูสึกที่เกิดร่วมกับจิต ในขณะนั้นจะเป็นโทมนัสเวทนา เป็นความรู้สึกที่เราไม่ชอบ ไม่ต้องการ ไม่อยากให้เกิดกับเรา เช่น ความอ้างว้าง ความเหงา คิดมาก กังวล เบื่อหน่าย รำคาญ เสียใจ ทุกข์ใจ ผิดหวัง ไม่ชอบใจ ... ฯลฯ
ความจริงเราไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก เราอยู่กับตัณหาคือโลภะเป็นเพื่อนสอง และถ้าสติเกิดก็พิจารณาสภาพธรรมมีตลอดเวลา เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ฯลฯ ระลึกลักษณะของความรู้สึกว่าเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับไป คนที่มีกิเลสจะรู้สึกว้าเหว่เหงา โดดเดี๋ยว แต่คนที่มีปัญญาไม่มีเวลาเหงาค่ะ
โทสมูลจิตค่ะ เพราะเป็นจิตที่ไม่พอใจในอารมณ์
โทสมูลจิต คือ จิตที่เกิดขึ้น โดยมีโทสะเป็นมูลเหตุ โทสะเป็นเจตสิกธรรม ที่เป็นประธานในการปรุงแต่งจิต ให้เกิดความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความกลุ้มใจ
ความเสียใจ ความอิจฉาริษยา ความตระหนี่หวงแหน (มัจฉริยะ) ความรำคาญใจ (กุกกุจจะ) ความอาฆาต พยาบาท จองเวร จนถึงขั้น ประทุษร้าย ฯลฯ
โทสมูลจิตนี้เกิดขึ้น พร้อมด้วยความไม่พอใจเสมอ เพราะเกิดจากการรับอารมณ์ที่ไม่น่ายินดีและไม่น่าพอใจ เกิดขึ้นเองบ้าง ถูกผู้อื่น หรือสิ่งอื่นชักชวนให้เกิดบ้าง