เหตุปัจจัย
เหตุปัจจัยเป็นเหตุให้ต้องรับผลกุศลกรรมและอกุศลกรรม อยากทราบถึงลักษณะถึงเหตุต่างๆ ครับ
เหตุปัจจัยที่ทำให้ผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรมต่างๆ กัน เพราะเหตุ คือกรรมวิจิตร ต่างๆ กัน ผลจึงต่างๆ กัน ในชีวิตประจำวันเราจะเห็นได้ว่า แม้การให้ทานของแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกัน บางคนให้ทานโดยเคารพ บางคนให้ทานโดยไม่เคารพ บางคนให้ด้วยของสะอาดประณีต บางคนให้ทานด้วยของไม่สะอาด บางคนให้ทานแล้วเสียดาย ในภายหลัง เป็นต้น นี่คือเหตุที่ต่างๆ กันแม้เรื่องการให้ทาน กุศลอื่นๆ และอกุศลกรรม ย่อมวิจิตรต่างกัน ผลจึงวิจิตรต่างกัน
ผลต่างกันเพราะเหตุต่างกัน เหตุคือ กุศลหรืออกุศล ผลคือวิบาก ผลของกรรมดี หรือไม่ดี ขณะนี้ที่เราเห็น หรือได้ยิน เห็นสิ่งเดียวกัน ได้ยินสิ่งเดียวกัน คิดนึกเหมือนกันไหมครับ ต่างจิตต่างใจ ตามการสะสมมา การกระทำทางกาย วาจา ซึ่งเกิดจากการคิดนึกก็ต่างกันเช่นกันการทำกรรม ก็ต่างกันตามการสะสม เมื่อจิตวิจิตร กรรมที่ทำก็วิจิตรเช่นกัน เมื่อกรรมที่ทำวิจิตร ผลของกรรมก็วิจิตร ให้ผลได้หลากหลายจริงๆ ตามกรรมที่ทำต่างกันครับ
... เชิญคลิกอ่าน ...
เรื่อง การได้รับผลของกรรมต่างๆ กัน เพราะทำเหตุ (กุศล หรือ อกุศล) มาต่างๆ กัน
ได้รับผลของกรรมต่างกัน เพราะทำเหตุมาต่างกัน [เรื่องชน ๓ คน]
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เหตุปัจจัยต่างกัน ผลที่เกิดก็ต่างกันค่ะ เช่น คนที่เกิดมารูปงาม รวยทรัพย์ มีปัญญา ก็เพราะในอดีตเขาเกิดให้ทาน รักษาศีล และสอบถามธรรมะสมณพรามหณ์ ทำไมบางคนเกิดมาไม่งาม ผิวก็ดำ และยากจน เพราะในอดีตเขาไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล เป็นคนมักโกรธ
วิบากจิต และกิริยาจิต เป็นอย่างไร ต่างกันอย่างไร ขอให้ยกตัวอย่างประกอบด้วย
จักขอบคุณยิ่ง
กิริยาจิตของปุถุชนมี ๒ ดวงคือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ทำอาวัชชนกิจได้ทางปัญจทวารเท่านั้น มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ทำโวฎฐัพพนกิจทางปัญจทวาร และทำ อาวัชชนกิจทางมโนทวาร วิบากจิต คือขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส เป็นวิบากหมดค่ะ เช่น ขณะนี้เห็นพระพุทธรูป เป็นกุศลวิบากทางตา หลังจากเห็นแล้วจะเป็นกุศลหรืออกุศล ก็อยู่ที่โยนิโสมนสิการของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน ถ้าพิจาารณาโดยแยบคายก็ทำให้เกิดกุศลจิตระลึกถึงพุทธคุณ หรือสติปัฏฐานเกิด เป็นธรรมะอย่างหนึ่งที่ปรากฏทางตาค่ะ