พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. อรหันตสูตรที่ ๑ ว่าด้วยพระอรหันต์เป็นผู้เลิศในโลก

 
บ้านธัมมะ
วันที่  6 ก.ย. 2564
หมายเลข  36834
อ่าน  474

[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 164

๔. อรหันตสูตรที่ ๑

ว่าด้วยพระอรหันต์เป็นผู้เลิศในโลก


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 27]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 164

๔. อรหันตสูตรที่ ๑

ว่าด้วยพระอรหันต์เป็นผู้เลิศในโลก

[๑๕๒] กรุงสาวัตถี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง ฯลฯ เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นควรเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ จะเบื่อหน่ายทั้งในรูป ทั้งในเวทนา ทั้งในสัญญา ทั้งในสังขาร ทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่ายจะคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตจะหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว จะมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว จะรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 165

เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก กว่าสัตว์ชั้นสัตตาวาสและภวัคคพรหม.

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

[๑๕๓] พระอรหันต์ทั้งหลายมีความสุขหนอ เพราะท่านไม่มีตัณหา ตัดอัสมิมานะได้เด็ดขาด ทำลายข่ายคือโมหะได้แล้ว. พระอรหันต์เหล่านั้นถึงซึ่งความไม่หวั่นไหว มีจิตไม่ขุ่นมัว ท่านเหล่านั้น ไม่แปดเปื้อนแล้วด้วยเครื่องแปดเปื้อนคือตัณหาและทิฏฐิในโลก เป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีอาสวะ เป็นสัตบุรุษ เป็นพุทธชิโนรส กำหนดรู้เบญจขันธ์ มีสัทธรรม ๗ เป็นโคจร ควรสรรเสริญ เป็นมหาวีรผู้สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ศึกษาแล้วในไตรสิกขา ละความกลัวและความขลาดได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมท่องเที่ยวไปโดยลำดับ. ท่านมหานาคผู้สมบูรณ์ด้วยองค์ ๑๐ ประการเหล่านี้แล มีจิตตั้งมั่น ประเสริฐสุดในโลก. ท่านเหล่านั้นไม่มีตัณหา. อเสขญาณได้เกิดขึ้นแล้วแก่ท่าน. ท่านมีร่างกายนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องอาศัยผู้อื่นในคุณที่เป็นแก่นสารแห่งพรหมจรรย์. ท่านเหล่านั้นไม่หวั่นไหวเพราะมานะ หลุดพ้นจากภพใหม่ ถึงอรหัตตภูมิแล้ว ชนะเด็ดขาดแล้วในโลก. ท่านเหล่านั้นไม่มีความเพลิดเพลิน อยู่ในส่วนเบื้องบน ท่ามกลางและเบื้องล่าง เป็นพุทธผู้ยอดเยี่ยมในโลก บันลือสีหนาทอยู่.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 166

๔. อรรถกถาอรหันตสูตรที่ ๑

พึงทราบวินิจฉัยในอรหันตสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ยาวตา ภิกฺขเว สตฺตาวาสา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า สัตตาวาส มีอยู่ประมาณเท่าใด. บทว่า ยาวตา ภวคฺคํ ความว่า ชื่อว่า ภวัคคพรหม (พรหมสถิตอยู่ในภพสูงสุด) มีอยู่ประมาณเท่าใด. บทว่า เอเต อคฺคา เอเต เสฏฺา ความว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น นับว่าเป็นเลิศและประเสริฐที่สุด บทว่า ยทิทํ อรหนฺโต คือ เยเมว (๑) อรหนฺโต นาม (แปลว่า ชื่อว่าพระอรหันต์เหล่านี้ใดแล) แม้พระสูตรนี้ก็พึงทราบว่าเพิ่มพูนความยินดีและเร้าใจโดยนัยก่อนนั่นแล. บทว่า อถาปรํ เอตทโวจ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนั่น คือ พระดำรัสมีอาทิว่า สุขิโน วต อรหนฺโต (พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นสุขแท้หนอ) ด้วยคาถาทั้งหลายที่กำหนดแสดงความหมายนั้นและที่กำหนดแสดงความหมายพิเศษ.

คุณสมบัติพิเศษของพระอรหันต์

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขิโน คือ (พระอรหันต์ทั้งหลาย) เป็นสุขด้วยความสุขอันเกิดจากการเข้าฌาน ด้วยความสุขอันเกิดจากการบรรลุมรรค และด้วยความสุขอันเกิดจากการบรรลุผล.

บทว่า ตณฺหา เตสํ น วิชฺชติ ความว่า พระอรหันต์เหล่านั้นไม่มีตัณหาที่เป็นตัวการให้เกิดทุกข์ (ที่จะต้องได้รับ) ในอบาย. พระอรหันต์เหล่านั้นชื่อว่าเป็นสุขแท้ทีเดียว เพราะไม่มีทุกข์ที่มีตัณหาเป็นมูลแม้นี้ ด้วยประการฉะนี้.


(๑) ปาฐะว่า เยเมว ฉบับพม่าเป็น เย อิเม

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 167

บทว่า อสฺมิมาโน สมุจฺฉินฺโน ความว่า อัสมิมานะ (ความสำคัญว่าเรามีอยู่) ๙ อย่าง (พระอรหันต์) ตัดได้ขาดแล้วด้วยอรหัตตมรรค.

บทว่า โมหชาลํ ปทาลิตํ ความว่า ข่ายคือกิเลส (พระอรหันต์) ทำลายแล้วด้วยญาณ.

บทว่า อเนชํ ได้แก่ พระอรหัตต์เป็นเครื่องละตัณหา กล่าวคือ เอชา (๑) .

บทว่า อนุปลิตฺตา ได้แก่ (พระอรหันต์) ไม่ถูกฉาบไล้ด้วยเครื่องฉาบไล้ คือ ตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า พฺรหฺมภูตา แปลว่า ประเสริฐที่สุด. บทว่า ปริญฺาย ได้แก่ กำหนดรู้แล้วด้วยปริญญา ๓. ในบทว่า สตฺตสทฺธมฺมโคจรา มีวิเคราะห์ว่า สัทธรรม ๗ ประการเหล่านี้ คือ ศรัทธา ๑ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ พาหุสัจจะ ๑ ความเป็นผู้ปรารภความเพียร ๑ ความเป็นผู้มีสติตั้งมั่น ๑ ปัญญา ๑ เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์เหล่านั้น เหตุนั้นพระอรหันต์เหล่านั้นจึงชื่อว่ามีสัทธรรม ๗ เป็นอารมณ์.

บทว่า สตฺตรตนสมฺปนฺนา ได้แก่ ประกอบด้วยรัตนะ คือ โพชฌงค์ ๗ ประการ.

บทว่า อนุวิจรนฺติ ความว่า แม้เหล่าโลกิยมหาชนก็เที่ยวถามอยู่ร่ำไป.

ก็ในสูตรนี้ ท่านมุ่งถึงอาจาระที่ปราศจากข้อระแวงสงสัยของพระขีณาสพทั้งหลาย ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปหีนภยเภรวา (ผู้ละความกลัวธรรมดาและความกลัวขั้นรุนแรงได้แล้ว).


(๑) ปาฐะว่า อเนชาสงฺขาตาย แต่ฉบับพม่าเป็น เอชาสงฺขาตาย แปลตามฉบับพม่า

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 168

ในบทว่า ปหีนภยเภรวา นั้น มีอธิบายว่า ความกลัวขั้นธรรมดาชื่อว่า ภัย ความกลัวขั้นรุนแรงชื่อว่า เภรวะ.

บทว่า ทสหงฺเคหิ สมฺปนฺนา ได้แก่ ประกอบด้วยองค์ที่เป็นอเสขะ.

บทว่า มหานาคา ได้แก่ เป็นมหานาคด้วยเหตุ ๔ ประการ.

บทว่า สมาหิตา ได้แก่ (มีใจมั่นคง) ด้วยอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ

บทว่า ตณฺหา เตสํ น วิชฺชติ ความว่า พระอรหันต์เหล่านั้นไม่มีแม้ตัณหาที่ทำ (สัตว์โลก) ให้เป็นทาส ซึ่งพระรัฐบาลเถระกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นตรัสไว้แล้วว่า สัตว์โลกพร่องอยู่ (เป็นนิตย์) ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ดังนี้แล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงภาวะที่พระขีณาสพทั้งหลายเป็นไทด้วยบทว่า ตณฺหา เตสํ น วิชฺชติ นี้.

บทว่า อเสกฺขาณํ ได้แก่ ญาณในอรหัตตผล.

บทว่า อนฺติโมยํ สมุสฺสโย แปลว่า อัตตภาพนี้มีเป็นครั้งสุดท้าย.

บทว่า โย สาโร พฺรหฺมจริยสฺส ความว่า ผลชื่อว่าเป็นสาระแห่งพรหมจรรย์คือมรรค.

บทว่า ตสฺมิํ อปรปจฺจยา ความว่า ดำรงอยู่ในอริยผลนั้น แทงตลอดโดยประจักษ์ (ด้วยตนเอง) ทีเดียวว่า สมบัตินี้ไม่ใช่สมบัติของผู้อื่น.

บทว่า วิธาสุ น วิกมฺปนฺติ คือ ไม่หวั่นไหวในส่วนแห่งมานะ ๓.

บทว่า ทนฺตภูมิํ ได้แก่ อรหัตตผล.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 169

บทว่า วิชิตาวิโน ได้แก่ ชำนะกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น อย่างเด็ดขาด.

ในบทว่า อุทฺธํ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

(ในร่างกาย) ปลายผม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า เบื้องบน (อุทฺธํ) ฝ่าเท้า ตรัสเรียกว่า เบื้องล่าง (อปาจี) กลางลำตัว ตรัสเรียกว่า เบื้องขวาง (ติริยํ)

(ในอารมณ์) อารมณ์ที่เป็นอดีต ตรัสเรียกว่า เบื้องบน อารมณ์ที่เป็นอนาคต ตรัสเรียกว่า เบื้องล่าง อารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน ตรัสเรียกว่า เบื้องขวาง.

อีกอย่างหนึ่ง (ในโลก) เทวโลก ตรัสเรียกว่า เบื้องบน อบายโลก ตรัสเรียกว่า เบื้องล่าง มนุสสโลก ตรัสเรียกว่า เบื้องขวาง.

บทว่า นนฺทิ เตสํ น วิชฺชติ ความว่า พระอรหันต์เหล่านั้นไม่มีตัณหาในฐานะเหล่านั้น หรือเมื่อว่าโดยย่อ (ก็คือ) ไม่มีตัณหาในขันธ์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน.

ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงว่า พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีตัณหาที่เป็นมูลรากของวัฏฏะ

บทว่า พุทฺธา ได้แก่ ผู้รู้สัจจะ ๔.

ในพระคาถานี้ มีการประมวลสีหนาทดังไปนี้ :-

พระขีณาสพทั้งหลายสถิตอยู่เบื้องหลังภพ (ผู้ข้ามภพได้แล้ว) ย่อมบันลือสีหนาท (๑) กล่าวคือ บันลืออย่างไม่หวาดกลัวว่าเราทั้งหลาย


(๑) ปาฐะว่า นทนฺตขีณาสวานํ โหติ ฉบับพม่าเป็น สีหนาทํ นทนฺติ ขีณาสวา แปลตามฉบับพม่า

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 170

อยู่เป็นสุขด้วยวิมุตติสุข ตัณหาที่ทำให้อยู่เป็นทุกข์เราทั้งหลายละได้แล้ว ขันธ์ ๕ เราทั้งหลายกำหนดรู้แล้ว ตัณหาที่ทำให้สัตว์โลกเป็นทาสและตัณหาที่เป็นมูลของวัฏฏะ นับว่าเราทั้งหลายละได้แล้ว เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครยิ่งไปกว่า (และ) ไม่เหมือนใคร ชื่อว่า พุทธะ (สาวกพุทธ) เพราะรู้สัจจะ ๔.

จบ อรรถกถาอรหันตสูตรที่ ๑