๑๐. สีลสูตร ว่าด้วยธรรมที่ควรใส่ใจโดยแยบคาย
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 383
๑๐. สีลสูตร
ว่าด้วยธรรมที่ควรใส่ใจโดยแยบคาย
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 27]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 383
๑๐. สีลสูตร
ว่าด้วยธรรมที่ควรใส่ใจโดยแยบคาย
[๓๑๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโกฏฐิตะอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏิฐิตะออกจากที่พักในเวลาเย็น เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ฯลฯ ได้ถามว่า ท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้มีศีลควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้ในใจโดยแยบคาย?
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท่านโกฏฐิตะ ภิกษุผู้มีศีลควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็นดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นอนัตตา อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน?
คือ อุปาทานขันธ์คือรูป ๑ อุปาทานขันธ์คือเวทนา ๑ อุปาทานขันธ์คือสัญญา ๑ อุปาทานขันธ์คือสังขาร ๑ อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ ๑ ท่านโกฏฐิตะ ภิกษุผู้มีศีลควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็นดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นอนัตตา ท่านโกฏฐิตะ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้มีศีลกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย ฯลฯ โดยเป็นอนัตตา พึงกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.
[๓๑๑] โก. ดูก่อนท่านสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นโสดาบันควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้ในใจโดยแยบคาย?
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 384
สา. ท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นโสดาบันก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โดยเป็นอนัตตา ท่านโกฏฐิตะ ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้เป็นโสดาบันกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โดยเป็นอนัตตา พึงทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล.
[๓๑๒] โก. ท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นพระสกทาคามีควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้ในใจโดยแยบคาย?
สา. ท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นพระสกทาคามีก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั่นแลไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โดยเป็นอนัตตา ท่านโกฏฐิตะ ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้เป็นสกทาคามีกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โดยเป็นอนัตตา พึงทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล.
[๓๑๓] โก. ท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นอนาคามีควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้ในใจโดยแยบคาย?
สา. ท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นอนาคามีก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั่นแลไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โดยเป็นอนัตตา ท่านโกฏฐิตะ ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้เป็นอนาคามีกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โดยเป็นอนัตตา พึงกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 385
[๓๑๔] โก. ท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้ในใจโดยแยบคาย?
สา. ท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั่นแลไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็นดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นอนัตตา ท่านโกฏฐิตะ กิจที่จะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปหรือการสั่งสมกิจที่กระทำแล้วย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ และแม้ธรรมเหล่านี้ที่ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ก็เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันและเพื่อสติสัมปชัญญะ.
จบ สีลสูตรที่ ๑๐
อรรถกถาสีลสูตรที่ ๑๐
พึงทราบวินิจฉัยในสีลสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
ในบทว่า อนิจฺจโต เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
อุปาทานขันธ์ ๕ ภิกษุพึงใส่ใจว่า ไม่เที่ยง โดยอาการที่มีแล้วกลับไม่มี (เกิดแล้วดับ) พึงใส่ใจว่า เป็นทุกข์ โดยอาการที่เบียดเบียน บีบคั้น พึงใส่ใจว่า เป็นโรค เพราะหมายความว่า เจ็บป่วย พึงใส่ใจว่า เป็นฝี เพราะหมายความว่าเสียอยู่ข้างใน พึงใส่ใจว่า เชือดเฉือน เพราะเป็นปัจจัยของฝีเหล่านั้นหรือเพราะหมายความว่าขุด พึงใส่ใจว่า โดยยาก เพราะหมายความเป็นทุกข์ พึงใส่ใจว่า เป็นผู้เบียดเบียน เพราะหมายความว่าเป็นปัจจัยให้เกิดอาพาธอันมีมหาภูตรูปที่เป็นวิสภาคกันเป็นสมุฏฐาน พึงใส่ใจว่า เป็นอื่น เพราะหมายความว่า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 386
ไม่ใช่ของตน พึงใส่ใจว่า ทรุดโทรม เพราะหมายความว่าย่อยยับ พึงใส่ใจว่า ว่าง เพราะหมายความว่าว่างจากสัตว์ พึงใส่ใจว่า เป็นอนัตตา เพราะไม่มีอัตตา.
ในที่นี้พึงทราบอธิบายเพิ่มเติมอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงการใส่ใจว่าไม่เที่ยง ด้วยสองบทว่า อนิจฺจโต ปิโลกโต (ไม่เที่ยง, แตกสลาย) ตรัสถึงการใส่ใจว่าเป็นอนัตตา ด้วยสองบทว่า สุญฺโต อนตฺตโต (ว่าง, เป็นอนัตตา) ตรัสถึงการใส่ใจว่าเป็นทุกข์ ด้วยบทที่เหลือ.
บทที่เหลือในพระสูตรนี้ มีความหมายง่ายแล.
จบ อรรถกถาสีลสูตรที่ ๑๐