ชีวิตการทำงาน
เวลาของเราวันหนึ่งหมดไปกับการทำงานตั้งแต่เช้าจนเย็นและถึงดึก และจะเป็นอย่างนี้อีกต่อไปอีกเรื่อยๆ เวลาของเราช่างน้อยนัก บางอย่างที่จะเป็นประโยชน์ก็ไม่ได้ทำ ชีวิตเป็นของเหลือน้อยไปทุกวันๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ขณะที่กำลังกังวลกับสิ่งที่ " เป็นประโยชน์แต่ก็ไม่ได้ทำ" ขณะนั้นก็ข้ามสภาวธรรมที่กำลังปรากฎ ซึ่งเป็นประโยชน์ปัจจุบัน ให้ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย
เวลาวันหนึ่งเราหมดไปกับการทำงาน ก็ต้องถามว่าอะไรทำงาน เราหรือสภาพธัมมะที่ทำงานทำกิจหน้าที่ ซึ่งเป็นเพียง จิต เจตสิก รูป ขณะนี้กำลังทำงานไหม จิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทำกิจหน้าที่ของเขาตลอดเวลา เช่น การเห็น ก็เป็นจิต ขณะที่คิดนึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องงาน ก็เป็นจิตที่ทำหน้าที่คิดนึก ดังนั้น จิตและสภาพธัมมะต่างหากที่ทำงาน เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ดังนั้น ขณะที่ทำงานจึงไม่ปราศจากธรรมเลย และธรรมที่ทำงาน ไม่ใช่เราทำงาน ซึ่งถ้ามีความเข้าใจพระธรรมแล้ว กุศลก็สามารถเกิดขณะทำงาน มีเมตตากับเพื่อนร่วมงาน หรือระลึกสภาพธัมมะขณะนั้น ดังนั้น คำว่าประโยชน์จึงหมายถึงขณะที่เป็นกุศลจิต ซึ่งไม่เลือกเกิดเลยแม้ขณะทำงานครับ
ทำในสิ่งที่ดีมีคุณประโยชน์มากที่สุด ณ ปัจจุบัน ก็เพียงพอครับ
ชีวิตที่มีค่า คือการเกิดมาได้ฟังธรรม และได้คบกับพระธรรม ได้อบรมปัญญา ได้สะสมความดี ได้ทำสิ่งที่เป็นประโชยน์กับคนอื่น และได้ช่วยเหลือคนที่มีความเห็นผิดให้เห็นถูกตามกำลังความสามารถและความเข้าใจเท่าที่ทำได้ค่ะ
ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมการฟังพระธรรมให้เข้าใจ พิจารณาไตร่ตรองพระธรรมที่ฟังและอย่าลืมว่า การเข้าใจพระธรรมคือ สาระสำคัญที่สุดของชีวิต
ชีวิตของเราเหลือน้อย เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยลมหายใจทิ้งไปเปล่าๆ โดยที่ยังไม่ได้อบรมปัญญา เพราะชีวิตที่มีค่าคือ การสะสมปัญญาความเห็นถูก และการสะสมความดี ทำประโยชน์ให้กับสังคม