การพูดถึงเห็น ได้ยิน นำไปสู่ความเข้าใจเพื่อดับกิเลสอย่างไร?
คำถามจาก คุณสงบ
การพูดถึงการเห็นบ้างได้ยินบ้าง เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีก จะเชื่อมไปสู่เรื่องการดับทุกข์ที่เกิดจากการยึดติด ติดข้องในเวทนาจนเกิดเป็นตัณหาคือเหตุของกิเลสทั้งปวง จะมาถึงความเข้าใจดับตัณหานี้ได้อย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เห็น ได้ยิน เป็นต้น เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม ที่ไม่เคยรู้มาเลยว่าเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เมื่อไม่เข้าใจ ก็มีแต่หลงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อกุศลธรรมก็ตามมาอีกมากมายเพราะการไม่ได้เข้าใจความจริงนั่นเอง ดังนั้น การได้ฟังเรื่อง เห็น ได้ยิน เป็นต้น ก็เป็นการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ค่อยๆ ปลูกฝังความเข้าใจมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมยิ่งขึ้น ซึ่งจะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายความไม่รู้ไปตามลำดับ จนถึงการสามารถที่จะดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ในที่สุด สำคัญ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น จึงต้องอาศัยพระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วเป็นที่พึ่ง ที่ศึกษาด้วยความเคารพ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
มีดังนี้
"ถ้าศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถา จะไม่พ้นจากเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริง ลักษณะที่แท้จริงของธรรมต่างๆ เหล่านี้ไว้โดยละเอียดที่จะให้พิสูจน์ความจริง จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรมและดับกิเลสได้เป็นลำดับขั้น
การที่จะดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นนั้น ในขั้นแรกจะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียง สภาพธรรมแต่ละอย่างเท่านั้นเอง
นี่เป็นขั้นต้นของการที่จะศึกษา พระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก แต่เรื่องของพระธรรม ที่ได้ทรงแสดงไว้นั้นมีมากมายตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว แม้เป็นเวลาที่ยังเช้าอยู่ ยังไม่ควรแก่การเสด็จบิณฑบาต ก็ได้ทรงพิจารณาถึงบุคคล ที่ควรแก่การที่จะรับฟังพระธรรม และได้เสด็จไปแสดงธรรม หรือสนทนาธรรมกับบุคคลนั้น เมื่อเสด็จบิณฑบาต เสวยภัตตาหารแล้ว มีเวลาว่างที่จะทรงพักผ่อนเพียงเล็กน้อย และก็ได้ทรงแสดงธรรมกับผู้ที่ไปเฝ้าในตอนบ่าย ในตอนเย็น ในตอนค่ำ และแม้ตอนก่อนที่จะบรรทมพักผ่อน
เพราะฉะนั้น พระมหากรุณาคุณ มีมากเหลือเกินที่ทรงแสดงเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าเป็นเรื่องที่มีจริง ปรากฏจริงตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ถ้าผู้ใดไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียด แม้มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ไม่รู้ความจริงในลักษณะของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าจะศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เพียงแต่ศึกษาเฉพาะในตัวหนังสือ ในคัมภีร์ต่างๆ ในตำราต่างๆ แต่ต้องฟังและพิจารณาเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในขณะนี้ประกอบด้วยว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นความจริงอย่างไร"
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...