ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๒๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๒๖ * *
~ พระธรรมแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมเดช คือ มีกำลังสามารถที่จะเผาความไม่รู้ให้หมดไปได้ จากความไม่รู้เลยแล้วได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังด้วยดี ด้วยความเคารพ สามารถที่จะเกิดปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้องซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน
~ ผู้ที่เห็นคุณของพระธรรมแต่ละคำ เห็นคุณค่าสูงสุด ว่า ถ้าไม่มีการฟัง จะไม่มีปัญญา จะไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้เลย จึงไม่ละเว้นที่จะฟัง เพื่อสะสมความเข้าใจจากการฟัง
~ ไม่มีสักขณะเดียวที่ไม่ใช่ธรรมหรือว่าพ้นจากธรรม กว่าจะถึงความเข้าใจธรรม ก็จะต้องเป็นผู้ที่อดทน เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่มั่นคง ว่า ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำเหล่านี้ ไม่มีวันในสังสารวัฏฏ์ที่จะรู้ความจริงได้ ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม
~ ธรรมเดี๋ยวนี้ คืออะไร ธรรมไม่ใช่อยู่ในหนังสือ ไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ขณะที่ได้ยิน ก็เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เกิดขึ้นให้รู้ว่ามีจริง
~ เมื่อมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ก็จะเพิ่มความลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าใครฟังธรรมแล้วรู้สึกว่า ง่าย คนนั้นก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าคำที่ได้ยินมีค่ามากในสังสารวัฏฏ์ เพราะทำให้จากที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ มีการฟังพระธรรมบ้าง แค่ฟังบ้าง แต่เทียบกับขณะที่ไม่ได้ฟัง การฟัง น้อยมาก เพราะฉะนั้น ขณะที่ไม่ได้ฟัง ความไม่รู้มากแค่ไหน เพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่
~ สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย จะย้อนกลับไปชาติก่อนสักหนึ่งชาติก็ไม่ได้ แม้แต่ชั่วขณะจิตเมื่อกี้นี้ที่ดับไป จะย้อนกลับไปให้เป็นอย่างนั้นอีก ก็ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดใหม่แล้วตามเหตุตามปัจจัย ใหม่ทุกขณะ
~ ถ้าผู้ใดสามารถที่จะมีความเข้าใจพระธรรม ชีวิตก็จะมีประโยชน์ยิ่งขึ้น จนกว่าจะถึงวันที่จะจากโลกนี้ไป
~ ขณะที่อกุศลธรรมทั้งหลายเกิด ไม่สามารถทำให้เข้าใจธรรมได้ แต่ก็อย่าประมาทปัญญา เพราะว่า ขณะนี้กำลังเกิดปัญญา ท่ามกลางอกุศล อกุศลมากกว่าเยอะ แต่ปัญญาก็ยังเกิด เพราะฉะนั้น ปัญญาก็จะค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เจริญขึ้น ไม่ใช่เราไปทำเลย เพราะฉะนั้น ขาดปัญญาไม่ได้ และปัญญาก็เกิดเองไม่ได้ นอกจากฟังพระธรรมและไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ ขณะที่เข้าใจ ก็ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ไม่ต้องไปหวังหรือต้องการอะไร เพราะเหตุว่าไม่สามารถเป็นไปได้ด้วยความหวังหรือความต้องการ แต่ว่าขณะใดที่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเกิดขึ้น ความไม่รู้ ความติดข้อง และความเข้าใจผิดก็จะลดน้อยลง
~ ถ้าเขายังไม่เข้าใจธรรมตราบใด เขาก็ยังทำผิด คิดผิดตลอดไป จนกว่าจะเข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครที่เข้าใจถูกแล้วจะทำอะไรมากน้อยแค่ไหน ตามกำลังของความมั่นคงของการเห็นประโยชน์ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราจะเปลี่ยนโลกเราเปลี่ยนไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ได้ทำประโยชน์ให้คนได้เข้าใจถูกต้อง
~ ถ้าเข้าใจผิด ไม่รู้ความจริง ไม่มีทางที่จะละคลายกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้กระทำชั่วได้เลย ความชั่ว ทุจริตทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะลดน้อยลงไปได้หรือดับหมดไปได้ ถ้าไม่ได้เข้าใจความจริงว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ
~ พอใจแล้วก็แสวงหา เหนื่อยยากปานใดก็แล้วแต่ ไม่รู้เลยว่าเดือดร้อนแค่ไหน พอได้มาแล้วก็มีความติดข้องในสิ่งนั้น แต่ก็ต้องจากพลัดพรากสิ่งนั้นไป เพราะฉะนั้น ประโยชน์อะไร จากความที่ไม่ได้ติดข้องแล้วก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นให้ติดข้อง และเพียงให้ติดข้องเกิดขึ้นปรากฏว่ามีแล้วก็ดับไป แต่ความติดข้องนั้นยังอยู่สะสมอยู่ในจิต พอที่จะทำให้เกิดความติดข้องในสิ่งอื่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ
~ ถ้าเราเป็นมิตรกับเขา เขาโกรธเรา ไม่เกี่ยวกับเราเลย จะไม่ให้เราเป็นมิตรกับเขา ก็ไม่ได้ จะให้เราไปโกรธเขา ก็ไม่ถูกต้อง เพราะความโกรธ ไม่ใช่สิ่งที่สมควร เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมากที่จะต้องรู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์จริงๆ และอะไรไม่เป็นประโยชน์
~ มั่นคงในความถูกต้อง และมีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ใครบอก แต่เพราะได้เข้าใจจริงๆ
~ ถ้ารักตนจริงๆ ก็จะต้องละความผิด แล้วก็ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง
~ ความเห็นที่ถูกต้อง ไม่พาไปในทางผิดเลย ไม่พาไปในทางทุจริต แต่ว่าสิ่งใดที่ผิด ความเห็นถูกต้องละสิ่งนั้น ตามกำลังของความเข้าใจถูกต้อง ใครจะช่วยใครได้ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง สำหรับใคร สำหรับตัวเองที่จะขัดเกลากิเลส
~ เข้าใจว่าไม่มีเรา จึงทำดีและศึกษาพระธรรม ทำดีไม่ใช่เราทำ แต่มีปัจจัยเพราะได้เข้าใจถูกต้องว่าอะไรดี
~ ถ้าขณะใดที่จิตที่ดี สภาพที่ดีไม่เกิด ก็ต้องเป็นสภาพที่ไม่ดี
~ วันนี้ ดีอะไรบ้าง ดีตรงไหนบ้าง แล้วรู้คุณประโยชน์ของความดีไหมว่า ถ้าปล่อยให้ไม่ดีไปอย่างนี้ ไม่รู้ไปอย่างนี้ ยึดมั่นเข้าใจผิดไปอย่างนี้แล้ววันไหนจะรู้ความจริงได้
~ ทำไม่ดีเพราะอะไร เพราะไม่รู้ว่าไม่ดี เพราะฉะนั้น เมื่อยังคงไม่รู้แล้วทำไม่ดีต่อไป จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ไหม
~ พุทธบริษัทผู้รู้ผู้เข้าใจถูกผู้เห็นถูก ก็ทำหน้าที่ดำรงรักษาคำสอน กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นทุกคำตรงตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะฟังไหม นี่เป็นคำถามแรกที่สุดของพุทธบริษัท ถ้าจะเข้าใจว่าตัวเองนับถือพุทธ จะฟังพระธรรมไหม?
~ หน้าที่ของพุทธบริษัท คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จึงจะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้ วิธีดำรงรักษา ก็คือ ต้องเข้าใจคำสอน เมื่อเข้าใจแล้วก็เผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทำอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๒๕
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพื่อขัดเกลากิเลส อนุโมทนาค่ะ
พระธรรมแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมเดช คือ มีกำลังสามารถที่จะเผาความไม่รู้ให้หมดไปได้ จากความไม่รู้เลยแล้วได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังด้วยดี ด้วยความเคารพ สามารถที่จะเกิดปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้องซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ