๘. กิงสุกสูตร ว่าด้วยเหตุเกิดและความดับแห่งผัสสายตนะ ๖
[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 462
๘. กิงสุกสูตร
ว่าด้วยเหตุเกิดและความดับแห่งผัสสายตนะ ๖
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 28]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 462
๘. กิงสุกสูตร
ว่าด้วยเหตุเกิดและความดับแห่งผัสสายตนะ ๖
[๓๓๙] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล. ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งผัสสายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง ทีนั้นแล ภิกษุนั้นไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุอีกรูปหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล. ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง ทีนั้นแล ภิกษุนั้นไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุอีกรูปหนึ่ง แล้วได้ถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 463
ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล. ภิกษุนั้นกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งมหาภูตรูป ๔ ตามความเป็นจริง ทีนั้นแล ภิกษุนั้นไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุอีกรูปหนึ่งแล้วได้ถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอัน หมดจดดีด้วยเหตุเพียงไรหนอแล. ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัด ตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา.
[๓๔๐] ทีนั้นแล ภิกษุไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่แล้วได้ถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ถามอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งผัสสายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง ทีนั้นแล ข้าพระองค์ไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่แล้วได้ถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไร เมื่อข้าพระองค์ถามอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 464
ข้าพระองค์ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง ทีนั้นแล ข้าพระองค์ไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่แล้วได้ถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไร เมื่อข้าพระองค์ถามอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งมหาภูตรูป ๔ ตามความเป็นจริง ทีนั้นแล ข้าพระองค์ไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่แล้วได้ถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไร เมื่อข้าพระองค์ถามอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ทีนั้นแล ข้าพระองค์ไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้ามาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ขอทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล.
[๓๔๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บุรุษยังไม่เคยเห็นต้นทองกวาว บุรุษนั้นพึงเข้าไปหาบุรุษคนใดคนหนึ่งผู้เคยเห็นต้นทองกวาวถึงที่อยู่ แล้วถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวเป็นเช่นไร. บุรุษนั้นพึงตอบว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวดำเหมือน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 465
ตอไฟไหม้ ก็สมัยนั้นแล ต้นทองกวาวเป็นดังที่บุรุษนั้นเห็น ทีนั้นแล บุรุษนั้นไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของบุรุษนั้น พึงเข้าไปหาบุรุษคนหนึ่งผู้เคยเห็นต้นทองกวาวถึงที่อยู่ แล้วถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวเป็นเช่นไร. บุรุษนั้นพึงตอบว่า ต้นทองกวาวแดงเหมือนชิ้นเนื้อ ก็สมัยนั้น ต้นทองกวาวเป็นดังที่บุรุษนั้นเห็น ทีนั้นแล บุรุษนั้นไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาของบุรุษนั้น พึงเข้าไปหาบุรุษคนหนึ่งผู้เคยเห็นต้นทองกวาวถึงที่อยู่ แล้วถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวเป็นเช่นไร. บุรุษนั้นพึงตอบอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวที่เกิดนานมีฝักเหมือนต้นซึก ก็สมัยนั้นแล ต้นทองกวาว เป็นดังที่บุรุษนั้นเห็น ทีนั้นแล บุรุษนั้นไม่พอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของบุรุษนั้น พึงเข้าไปหาบุรุษคนหนึ่งผู้เคยเห็นต้นทองกวาวถึงที่อยู่ แล้วถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวเป็นเช่นไร. บุรุษนั้นพึงตอบว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวมีใบแก่และใบอ่อนหนาแน่น มีร่มทึบเหมือนต้นไทร ก็สมัยนั้น ต้นทองกวาวเป็นดังที่บุรุษนั้นเห็น แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุ ทัศนะของสัตบุรุษเหล่านั้น ผู้น้อมไปแล้ว เป็นอันหมดจดดีด้วยประการใดๆ เป็นอันสัตบุรุษทั้งหลายผู้ฉลาด พยากรณ์แล้วด้วยประการนั้นๆ ฉันนั้นแล.
[๓๔๒] ดูก่อนภิกษุ เหมือนอย่างว่า เมืองชายแดนของพระราชา เป็นเมืองที่มั่นคง มีกำแพงและเชิงเทิน มีประตู ๖ ประตู นายประตูเมืองนั้นเป็นคนฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา คอยห้ามคนที่ตนไม่รู้จัก อนุญาตให้คนที่ตนรู้จักเข้าไปในเมืองนั้น ราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 466
มาแต่ทิศบูรพา พึงถามนายประตูนั้นว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เจ้าเมืองนี้อยู่ที่ไหน. นายประตูนั้นตอบว่า แน่ะท่านผู้เจริญ นั่นเจ้าเมืองนั่งอยู่ ณ ทางสามแพร่งกลางเมือง ทีนั้นแล ราชทูตคู่นั้นมอบถ้อยคำตามความเป็นจริงแก่เจ้าเมืองแล้ว พึงดำเนินกลับไปตามทางที่มาแล้ว ราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วนมาแต่ทิศปัจจิม ราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วนมาแต่ทิศอุดร ราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วนมาแต่ทิศทักษิณ แล้วถามนายประตูนั้นอย่างนี้ว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เจ้าเมืองนี้อยู่ที่ไหน. นายประตูนั้นพึงตอบว่า แน่ะท่านผู้เจริญ นั่นเจ้าเมืองนั่งอยู่ ณ ทางสามแพร่งกลางเมือง ทีนั้นแล ราชทูตคู่หนึ่งนั้นมอบถ้อยคำตามความเป็นจริงแก่เจ้าเมืองแล้ว พึงดำเนินกลับไปทางตามที่มาแล้ว ดูก่อนภิกษุ อุปมานี้แล เรากระทำแล้วเพื่อจะให้เนื้อความแจ่มแจ้ง ก็ในอุปมานั้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้ คำว่าเมือง เป็นชื่อ ของกายนี้ ที่ประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ซึ่งมีมารดาและบิดาเป็นแดนเกิด เจริญขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด มีอันต้องอบ ต้องนวดฟั้นเป็นนิตย์ มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา คำว่าประตู ๖ ประตู เป็นชื่อของอายตนะภายใน ๖ คำว่านายประตู เป็นชื่อของสติ คำว่าราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วน เป็นชื่อของสมถะและวิปัสสนา คำว่าเจ้าเมือง เป็นชื่อของวิญญาณ คำว่าทางสามแพร่งกลางเมือง เป็นชื่อของมหาภูตรูป ๔ คือปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ คำว่าถ้อยคำตามความเป็นจริง เป็นชื่อของนิพพาน คำว่าทางตามที่มาแล้ว เป็นชื่อของอริยมรรคมีองค์ ๘ คือสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
จบ กิงสุกสูตรที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 467
อรรถกถากิงสุกสูตรที่ ๘
ในกิงสุกสูตรที่ ๘ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทสฺสนํ นั่นเป็นชื่อเรียก ปฐมมรรค (โสดาปัตติมรรค) เพราะว่า ปฐมมรรค (นั้น) ทำหน้าที่ คือการละกิเลสได้สำเร็จ เห็นพระนิพพานเป็นครั้งแรก ฉะนั้นจึงเรียกว่า ทัสสนะ.
ถึงแม้ว่า โคตรภูญาณ จะเห็นพระนิพพานก่อนกว่ามรรคก็จริง ถึงกระนั้น ก็ไม่เรียกว่า ทัสสนะ เพราะได้แต่เห็น แต่ไม่มีการละกิเลส อันเป็นกิจที่จะต้องทำ.
อีกอย่างหนึ่ง มรรคทั้ง ๔ ก็ชื่อว่าทัสสนะเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นได้ฟังภิกษุทั้งหลายกล่าวอยู่อย่างนี้ว่า ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค ทัสสนะกำลังบริสุทธิ์ ในขณะแห่งผล (โสดาปัตติผล) บริสุทธิ์แล้ว ในขณะแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค ทัสสนะกำลังบริสุทธิ์ ส่วนในขณะแห่งผลบริสุทธิ์แล้ว จึงคิดว่า ถึงเราก็จักชำระทัสสนะให้บริสุทธิ์ แล้วดำรงอยู่ในอรหัตตผล คือจักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานที่มีทัสสนะอันบริสุทธิ์อยู่ ดังนี้แล้ว เข้าไปหาภิกษุนั้นแล้ว เริ่มถามอย่างนี้.
ภิกษุนั้นบำเพ็ญกัมมัฏฐาน มีผัสสายตนะเป็นอารมณ์ กำหนดรูปธรรมและอรูปธรรม ด้วยอำนาจผัสสายตนะ ๖ แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์.
ก็ในอายตนะ ๖ นี้ อายตนะ ๕ ประการแรกจัดเป็นรูป มนายตนะจัดเป็นอรูป เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นจึงพูดถึงเฉพาะมรรคที่ตนบรรลุแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 468
บทว่า อสนฺตุฏฺโ ความว่า ภิกษุนั้นไม่พอใจ เพราะท่านกล่าวยืนยันสังขารบางส่วน ได้ยินว่าภิกษุที่ถามนั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ท่านรูปนี้ได้กล่าวยืนยันสังขารบางส่วน ใครๆ จะสามารถยืนหยัดอยู่ในสังขารบางส่วน แล้วบรรลุนิพพานที่เป็นทัสสนวิสุทธิได้หรือหนอ.
แต่นั้นท่านจึงถามท่านรูปนั้นว่า ผู้มีอายุ ท่านองค์เดียวเท่านั้นหรือ ที่รู้จักพระนิพพาน ซึ่งเป็นทัสสนะอันบริสุทธิ์นี้ หรือว่า แม้ผู้อื่นที่รู้จัก ก็มีอยู่.
ครั้งนั้น ภิกษุที่ถูกถามนั้นได้กล่าวว่า ผู้มีอายุ ในวิหารแห่งโน้น มีพระเถระชื่อโน้นอยู่.
ภิกษุรูปที่ถามนั้น จึงเข้าไปถามพระเถระแม้นั้น ท่านเข้าไปถาม พระเถระรูปอื่นๆ โดยอุบายนี้แล.
อนึ่งในสูตรนี้ ภิกษุรูปที่ ๒ เจริญกัมมัฏฐานมีเบญจขันธ์เป็นอารมณ์ ได้กำหนดนามรูป คือกำหนดรูปด้วยอำนาจรูปขันธ์ กำหนดนามด้วยอำนาจขันธ์ที่เหลือแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ตามลำดับ เพราะฉะนั้น ภิกษุรูปที่ ๒ แม้นั้น จึงพูดถึงเฉพาะมรรคที่ตนบรรลุแล้ว.
ฝ่ายภิกษุรูปที่ถามนี้ ไม่พอใจด้วยคิดว่า คำพูดของภิกษุเหล่านี้ เข้ากันไม่ได้ (เพราะ) ภิกษุรูปที่ ๑ กล่าวยืนยันสังขารที่เป็นไปกับด้วยบางส่วน (ส่วน) ภิกษุรูปที่ ๒ นี้ กล่าวยืนยันสังขารที่ไม่มีส่วนเหลือ (ทั้งหมด) จึงถามภิกษุนั้นอย่างนั้น แล้วหลีกไป.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 469
ภิกษุรูปที่ ๓ เจริญกัมมัฏฐานมีมหาภูตรูปเป็นอารมณ์ กำหนดมหาภูตรูป ๔ ทั้งโดยย่อและโดยพิสดารแล้วสำเร็จอรหัตตผล. เพราะฉะนั้น ภิกษุรูปที่ ๓ แม้นี้ จึงพูดถึงเฉพาะมรรคที่ตนบรรลุแล้วเท่านั้น. แต่ภิกษุรูปที่ถามนี้ ก็ยังไม่พอใจด้วยคิดว่า คำพูดของภิกษุเหล่านี้เข้ากันไม่ได้ (เพราะ) ภิกษุรูปที่ ๑ กล่าวยืนยันสังขารที่เป็นไปกับด้วยบางส่วน ภิกษุรูปที่ ๒ กล่าวยืนยันสังขารที่ไม่มีส่วนเหลือ (ทั้งหมด) ภิกษุรูปที่ ๓ กล่าวยืนยันสังขารที่มีส่วนยิ่งใหญ่ (มหาภูตรูป) จึงถามภิกษุรูปที่ ๓ นั้นอย่างนั้น แล้วหลีกไป.
ภิกษุรูปที่ ๔ เจริญกัมมัฏฐานที่เป็นไปในภูมิ ๓. ได้ยินว่า ธาตุของท่านเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เรือนร่างสวยงามแข็งแรง แม้กัมมัฏฐานทุกข้อก็เป็นสัปปายะสำหรับท่าน สังขารไม่ว่าจะเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นกามาวจร รูปาวจร หรืออรูปาวจร ทั้งหมดล้วนเป็นสัปปายะ (สำหรับท่าน) ทั้งนั้น ชื่อว่า กัมมัฏฐานที่ไม่เป็นสัปปายะไม่มี.
แม้ในกาลทั้งหลาย จะเป็นเวลาก่อนอาหาร หลังอาหาร หรือปฐมยามเป็นต้น ก็ตาม (เป็นสัปปายะทั้งนั้น) กาลที่ไม่เป็นสัปปายะ ไม่มีเลย.
เปรียบเหมือนช้างใหญ่ ก้าวลงสู่ภูมิภาคอันเป็นที่เที่ยวหากิน ต้นไม้ที่ต้องใช้งวงจับ ก็ใช้งวงนั่นเองถอนมาจับไว้ ต้นไม้ที่ต้องใช้เท้ากระชุ้น ก็ใช้เท้านั้นเองกระชุ้นแล้วจับไว้ฉันใด ภิกษุรูปที่ ๔ นั้น ก็ฉันนั้นเหมือน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 470
กัน คือกำหนดธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด ด้วยการกำหนดกลาปะ (๑) แล้วพิจารณา จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ภิกษุรูปที่ ๔ แม้นั้น จึงบอกเฉพาะมรรคที่ตนบรรลุแล้ว.
ฝ่ายภิกษุรูปที่ถามนี้ ก็ยิ่งไม่พอใจด้วยคิดว่า คำพูดของภิกษุเหล่านี้ เข้ากันไม่ได้ (เพราะ) ภิกษุรูปที่ ๑ ดำรงอยู่ในสปเทสสังขารกล่าว ภิกษุรูปที่ ๒ ดำรงอยู่ในนิปปเทสสังขารกล่าว ภิกษุรูปที่ ๓ ก็เหมือนเดิม คือดำรงอยู่ในสปเทสสังขารกล่าว (ฝ่าย) ภิกษุรูปที่ ๔ ก็ดำรงอยู่ในนิปปเทสสังขารเช่นกันกล่าว จึงได้เรียนถามภิกษุนั้นว่า ผู้มีอายุ นิพพานซึ่งมีทัสสนะอันบริสุทธิ์นี้ ท่านรู้ได้ตามธรรมดาของตน หรือว่าใครบอกท่าน. ภิกษุนั้นก็ตอบว่า ผู้มีอายุ พวกผมจะรู้อะไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่ในโลกกับทั้งเทวโลก พวกผมอาศัยพระองค์จึงรู้พระนิพพานนั้น.
ภิกษุรูปที่ถามนั้น คิดว่า ภิกษุเหล่านี้ ไม่สามารถบอกให้ถูกอัธยาศัย ของเราได้ เราเองจะไปทูลถามพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะหมดความ สงสัย ดังนี้แล้ว เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่ประทับ.
(๑) ปาฐะว่า ยถา นาม ปาริภูมิโอติณฺโณ มหาหตฺถี หตฺเถน คเหตพฺพํ หตฺเถเนว มุญฺจิตวา คณฺหาติ ปาเทหิ ปหริตฺวา คเหตพฺพํ ปหริตฺวา คณฺหาติ เอวเมว สกลเตภูมิกธมฺเม กลาปคหเณ ฯลฯ ฉบับพม่าเป็น ยถานาม จาริภูมิํ โอติณฺโณ มหาหตฺถี หตฺเถน คเหตพฺพํ หตฺเถเนว ลุญฺจิตฺวา คณฺหาติ ปาเทหิ ปหริตฺวา คเหตพฺพํ ปาเทหิ ปหริตฺวา คณฺหาติ เอวเมว สกเล เตภูมิกธมฺเม กลาปคฺคาเหน ฯลฯ แปลตามฉบับพม่า.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 471
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับคำของภิกษุนั้นแล้ว ก็หาได้ทำให้เธอลำบากใจอย่างนี้ไม่ว่า ภิกษุที่กล่าวแก้ปัญหาแก่เธอทั้ง ๔ รูปนั้น เป็นพระขีณาสพ ภิกษุเหล่านั้น กล่าวแก้ดีแล้ว (๑) แต่เธอเองต่างหาก กำหนดปัญหานั้นไม่ได้ เพราะตนเองเป็นคนโง่ทึบ.
แต่เพราะทรงทราบว่า ภิกษุรูปที่ถามปัญหานั้นเป็นการกบุคคล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพระดำริว่า ภิกษุนี้เป็นผู้แสวงหาประโยชน์ (คือพระนิพพาน) เราจักสอนเธอให้ตรัสรู้ ด้วยพระธรรมเทศนา (๒) นั้นแล ดังนี้แล้ว จึงทรงนำกิงสุโกปมสูตร มา (แสดง) ควรหยิบยกเอาเรื่องที่ปรากฏอยู่ในกิงสุโกปมสูตรนั้น มาอธิบายขยายความให้แจ่มแจ้งดังต่อไปนี้.
มีเรื่องเล่าว่า แพทย์พราหมณ์คนหนึ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคทุกชนิด เป็นบัณฑิต อาศัยอยู่ในนครใหญ่แห่งหนึ่ง. ต่อมา คนเป็นวัณโรคคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่ทางประตูเมืองด้านทิศปราจีน ได้ไปหาแพทย์นั้น ไหว้เขาแล้วยืนอยู่. แพทย์ผู้เป็นบัณฑิต สนทนาปราศรัยกับเขาแล้ว ได้ถามว่า พ่อมหาจำเริญ พ่อมาด้วยประสงค์อะไร.
เขาตอบว่า พ่อหมอ ข้าพเจ้าถูกโรคคุกคาม ขอพ่อหมอช่วยบอกยาให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด. หมอแนะนำว่า พ่อมหาจำเริญ ถ้าอย่างนั้นเชิญ
(๑) ปาฐะว่า สุกถิตา เต ฉบับพม่าเป็น สุกถิตํ เตหิ แปลตามฉบับพม่า.
(๒) ปาฐะว่า อตถคเวสโก เอส ธมฺมเทสนาย เอส ธมฺมเทสนาย เอวํ นํ พุชฺฌาเปสฺสามิ ฉบับพม่าเป็น อตฺตคเวสโก เอส ธมฺมเทสนาย เอว นํ พุชฺฌาเปสฺสามีติ แปลตามฉบับพม่า.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 472
พ่อไปตัดต้นทองกวาว เอามาตากแดดให้แห้ง เผาแล้ว เอาน้ำด่างของต้นทองกวาวนั้น มาปรุงเข้ากับยาชนิดนี้ๆ ทำให้เป็นยาดอง แล้วดื่มเถิด ท่านจักสบาย.
คนที่เป็นโรคนั้น ทำตามหมอบอกแล้วก็หายโรค กลับเป็นคนแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส.
ต่อมา คนอีกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ทางประตูเมืองด้านทิศใต้ กระสับกระส่ายด้วยโรคเดียวกันนั้น ได้สดับว่า ข่าวว่าคนโน้น ทำยา (ดื่ม) แล้วกลับหายโรค จึงเข้าไปหาคนนั้น แล้วถามว่า สหาย ท่านหายป่วยเพราะอะไร. คนที่ถูกถามนั้นก็ตอบว่า เพราะยาดองทองกวาว เชิญท่านไปทำดูบ้างเถิด ฝ่ายคนที่เป็นโรคนั้น ก็ไปทำตามนั้น แล้วกลับหายโรคเหมือนอย่างนั้น.
อยู่มา คนอีกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ทางประตูเมืองด้านทิศตะวันตก ฯลฯ คนอีกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ทางประตูเมืองด้านทิศเหนือ กระสับกระส่ายด้วยโรคชนิดเดียวกันนั้น ได้สดับว่า ได้ยินว่า คนโน้นทำยา (ดื่ม) แล้วกลับทายโรค จึงเข้าไปหาแล้วถามว่า สหาย ท่านหายป่วยเพราะอะไร. คนที่ถูกถามก็ตอบว่า เพราะยาดองทองกวาว เชิญท่านไปทำดูบ้างเถิด. ฝ่ายคนที่ถามนั้น ก็ไปทำตามนั้น แล้วกลับทายโรคเหมือนอย่างนั้น.
ต่อมา ชายอีกคนหนึ่งเป็นคนบ้านนอก ไม่เคยเห็นต้นทองกวาว ทุรนทุรายด้วยโรคเดียวกันนั้น ทำยา (แก้โรค) เหล่านั้น (รักษาตัว) อยู่นาน เมื่อโรคยังไม่หาย ได้ฟังว่า ข่าวว่า คนที่อยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งตั้ง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 473
อยู่ทางประตูเมืองด้านทิศปราจีน ทำยา (ดื่ม) แล้วหายโรค จึงคิดว่า เราจะถามดูบ้าง จักได้ทำยาอย่างที่เขาทำ ดังนี้แล้ว เอาไม้เท้ายันเดินทางไปหาเขา ตามลำดับ (ถึงแล้ว) ได้ถามว่า สหาย ท่านหายป่วยเพราะอะไร. คนที่ถูกถามก็ตอบว่า เพราะยาดองทองกวาวนะเพื่อน.
เขาถามต่อไปว่า พ่อมหาจำเริญ ก็ไม้ทองกวาวเป็นเช่นไร คนที่ถูกถามก็ตอบว่า เป็นเหมือนเสาไฟไหม้ ตั้งตระหง่านอยู่ในบ้านที่ถูกไฟไหม้.
ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้ เป็นอันบุรุษนั้น บอก (ลักษณะ) ตันทองกวาวตามอาการที่ตนได้เห็นมาอย่างเดียว. เพราะว่าในเวลาที่เขาเห็นต้นทองกวาวสลัดใบแล้ว (๑) จึงได้เป็นเช่นนั้น เพราะเขามาเห็นในเวลาเป็นตอ ก็ชายคนที่พูดว่า ต้นทองกวาวนี้เป็นเหมือนเสาที่ถูกไฟไหม้ในบ้านที่ถูกไฟไหม้ เพราะเขาเป็นบุคคลประเภท สุตมังคลิกะ (เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแล้วว่าเป็นมงคล) (แต่) เรื่องนี้ไม่เป็นมงคล. เขาไม่พอใจ คำบอกเล่าของคนคนนั้น ด้วยคิดว่า ความจริงเมื่อเราได้ปรุงยาขนานหนึ่งแล้ว โรคก็ไม่หาย จึงถามชายคนนั้นต่อไปว่า พ่อคุณ พ่อคนเดียวเท่านั้น ที่รู้จักต้นทองกวาว หรือว่าคนอื่น (ที่รู้) ก็ยังมี.
ยังมีอยู่ พ่อคุณ คนชื่อโน้น อยู่ที่บ้านใกล้ประตูทิศทักษิณ เขาได้เข้าไปถามชายคนนั้น ชายคนนั้นบอกว่า ต้นทองกวาวมีสีแดง โดยอนุรูปแก่ต้นทองกวาวที่ตนเห็น เพราะตนเห็นในเวลาที่ต้นทองกวาว
(๑) ปาฐะว่า ปติตมตฺโต ขารกชเลน ทิฏตฺตา ฉบับพม่าเป็น ปติตปตฺโต ขาณุกกาเล ทิฏฺตฺตา แปลตามฉบับพม่า.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 474
บาน. เขาไม่พอใจคำบอกเล่า แม้ของชายคนนั้น ด้วยคิดว่า ชายผู้นี้บอกว่าต้นทองกวาวแดง ผิดจากคนก่อนที่บอกว่าดำ เพราะเห็นใกล้มากและเห็นไกลมาก (ต่างกัน) จึงถามว่า พ่อคุณ ยังมีอยู่ไหม ใครคนอื่นที่เคยเห็นดอกทองกวาว. เมื่อเขาตอบว่า มีคนชื่อโน้น อยู่ที่บ้านใกล้ประตูพระนครด้านทิศตะวันตก จึงเข้าไปถามชายผู้นั้น. ชายคนนั้นตอบว่า ทองกวาวมีดอกทนทาน เหมือนฝักดาบที่ยังดีๆ (ยังไม่ชำรุด) ตามแนวที่ตนเห็น เพราะเขาเห็นในเวลาทองกวาวมีดอก. จริงอยู่ ทองกวาวในเวลามีดอกบาน เหมือนจะห้อยอยู่นาน และเหมือนฝักดาบที่ถือห้อยลงมา จะมีฝักห้อยลงมาเหมือนต้นซึก. เขา (ได้ฟังแล้ว) ไม่พอใจคำบอกของคนนั้น ด้วยคิดว่า คนผู้นี้พูดผิดจากคนก่อน เราไม่อาจเชื่อถือถ้อยคำของคนผู้นี้ได้ จึงถามว่า พ่อคุณ ยังมีไหมใครคนอื่นที่เคยเห็นดอกทองกวาว เมื่อเขาตอบว่า มีคนชื่อโน้น อยู่ในบ้านใกล้ประตูพระนครทิศอุดร จึงเข้าไปถามคนๆ นั้น. คนๆ นั้นบอกว่า ต้นทองกวาวมีใบดกหนา มีร่มเงาทึบ. ร่มเงาที่ชิดติดกันชื่อว่า ร่มเงาทึบ. เขาไม่พอใจคำตอบของคนๆ นั้น ด้วยคิดว่าคนผู้นี้ พูดผิดจากคนก่อน เราไม่อาจเชื่อถือถ้อยคำของคนนี้ได้ จึงถามเขาว่า พ่อคุณ พวกท่านรู้จักทองกวาว ตามธรรมดาของตน หรือว่าใครบอกท่าน. พวกเขาตอบว่า พ่อคุณ พวกเราจะรู้ได้อย่างไร แต่เราทั้งหลาย มีอาจารย์ที่เป็นแพทย์บัณฑิต อยู่ท่ามกลางมหานคร พวกเราอาศัยท่านแล้วจึงรู้ได้. ชายคนนั้นคิดว่า ถึงเราก็จะเข้าไปหาอาจารย์นั้น จะได้สิ้นข้อกังขา แล้วเข้าไปยังสำนักอาจารย์ ไหว้แล้ว นั่งอยู่. แพทย์บัณฑิตทักทายกับเขาพอเกิดความบันเทิง แล้วถามว่า พ่อมหา
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 475
จำเริญ เธอมาโดยมีประสงค์อันใด เขาตอบว่า ผมนี้ถูกโรคคุกคาม ขออาจารย์จงบอกยาสักขนานหนึ่ง. แพทย์บัณฑิตจึงบอกว่า พ่อคุณ ถ้ากระนั้น เธอจงไปตัดเอาต้นทองกวาวมาตากให้แห้ง เผาแล้ว เอาน้ำด่างของมันมาปรุงกับยาอย่างนี้ อย่างนี้ ดองแล้วดื่ม เธอจะถึงความสบายด้วยยาขนานนี้ เขาทำอย่างนั้นแล้ว หายโรค กลับเป็นผู้มีกำลังวังชา ผุดผ่อง.
ในข้ออุปมานั้น พระนคร คือพระนิพพาน พึงเห็นว่า เหมือนมหานคร. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนแพทย์บัณฑิต.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนสุนักขัตตะ คำว่า ภิสโก (อายุรแพทย์) สลฺลถตฺโต (ศัลยแพทย์) นี้เป็นชื่อของตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. พระขีณาสพผู้บรรลุทัสสนวิสุทธิ ๔ ประเภท เหมือนลูกมือของแพทย์ ๔ คน ผู้อยู่ในบ้านใกล้ประตูพระนครทั้ง ๔. ภิกษุผู้ทูลถามปัญหา เหมือนบุรุษชาวปัจจันตชนบทคนแรก. เวลาเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถามปัญหาของภิกษุนี้ ผู้ไม่พอใจด้วยถ้อยคำของพระขีณาสพ ๔ ประเภท ผู้บรรลุทัสสนวิสุทธิ เหมือนการเข้าไปหาอาจารย์แล้วถาม ของชาวปัจจันตชนบทผู้ไม่พอใจด้วยถ้อยคำ ของลูกมือแพทย์ทั้ง ๔ คน ฉะนั้น.
บทว่า ยถา ยถา อธิมุตฺตานํ ความว่า น้อมไปแล้ว โดย อาการใด.
บทว่า ทสฺสนํ สุวิสุทฺธํ ความว่า การเห็นพระนิพพานเป็นทัสสนะที่บริสุทธิ์ด้วยดี.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 476
บทว่า ตถา ตถา เฉเกหิ สปฺปุริเสหิ พฺยากตํ ความว่า สัตบุรุษ (ผู้ฉลาดทั้งหลาย) เหล่านั้น ได้บอกแล้วแก่เธอ โดยอาการนั้นๆ แล. (๑)
อุปมาเหมือนหนึ่งว่า บุคคลเมื่อบอกว่า ทองกวาวดำ ก็จะไม่บอกอย่างอื่น คงบอกทองกวาวนั่นแหละ ตามนัยที่ตนได้เห็น ฉันใด แม้พระขีณาสพผู้ได้บรรลุทัสสนวิสุทธิ ด้วยอำนาจแห่งผัสสายตนะ ๖ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อจะตอนปัญหานี้ ก็ไม่บอกอย่างอื่น บอกนิพพานนั่นแหละ ที่เป็นทัสสนวิสุทธิ ตามมรรคที่ตนได้บรรลุ.
และบุคคลแม้เมื่อจะบอกว่า ทองกวาวแดง เกิดมานานแล้ว มีใบดกหนา จะไม่บอกอย่างอื่น. คงบอกดอกทองกวาวนั่นแหละ ตามนัยที่ตนได้เห็นแล้ว ฉันใด พระขีณาสพผู้ได้บรรลุทัสสนวิสุทธิ ด้วยสามารถแห่งอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ด้วยสามารถแห่งมหาภูตรูป ๔ หรือด้วยสามารถแห่งธรรมเป็นไปในภูมิ ๓ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. เมื่อจะตอบปัญหานี้ ก็จะไม่ตอบอย่างอื่น คงตอบนิพพานนั่นเอง ที่เป็นทัสสนวิสุทธิ์ ตามมรรคที่ตนได้บรรลุแล้ว.
บรรดาคนเหล่านั้น ผู้เห็นทองกวาว ในเวลาทองกวาวดำ การเห็นนั้น เป็นเรื่องจริง เป็นของแท้ ไม่ใช่เขาเห็นอย่างอื่น เห็นทองกวาวนั่นแหละ ฉันใด พระขีณาสพแม้ผู้ได้บรรลุทัสสนวิสุทธิ ด้วยอำนาจแห่งผัสสายตนะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทัสสนะเป็นของจริง เป็นของแท้ ไม่ใช่
(๑) ปาฐะว่า เตน เตน อากาเรน วา ฉบับพม่าเป็น เตน เตเนวากาเรน แปลตามฉบับพม่า.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 477
ท่านบอกอย่างอื่น บอกพระนิพพานนั่นแหละ ที่เป็นทัสสนวิสุทธิ ตามมรรคที่ตนได้บรรลุแล้ว. อนึ่งแม้ผู้เห็นทองกวาว ในเวลามันมีสีแดง เกิดมานาน มีใบดกหนา การเห็นนั้น ก็เป็นของจริง เป็นของแท้ ไม่ใช่เห็นอย่างอื่น เห็นทองกวาวนั่นแหละ ฉันใด พระขีณาสพแม้ผู้ได้บรรลุทัสสนวิสุทธิ ด้วยอำนาจอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ด้วยอำนาจมหาภูตรูป ๔ (หรือ) ด้วยอำนาจธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทัสสนะเป็นของจริง เป็นของแท้ ท่านไม่ได้บอกสิ่งอื่น บอกนิพพานนั่นแหละ ที่เป็นทัสสนวิสุทธิ ตามมรรคที่ตนได้บรรลุ.
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเริ่มคำนี้ไว้ว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขุ รญฺโ ปจฺจนฺติมํ นครํ.
ตอบว่า เพราะถ้าภิกษุนั้น เข้าใจคำนั้นได้แล้ว ต่อนั้น (๑) พระผู้มีพระภาคเจ้า จะได้เริ่มพระธรรมเทศนา ถ้าไม่เข้าใจ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ทรงเริ่มเพื่อต้องการจะแสดง คือเพื่อต้องการขยายความนั้นแล (๒) แก่ภิกษุนั้น ด้วยข้ออุปมา ด้วยนครนี้.
ในข้ออุปมานั้น เพราะเหตุที่นครในมัชฌิมประเทศ (๓) สิ่งล้อมรอบทั้งหลายมีกำแพงเป็นต้น มั่นคงบ้าง ไม่มั่นคงบ้าง (๔) หรือว่าไม่มั่นคงโดยประการทั้งปวง ความหวาดระแวงโจรย่อมไม่มี. ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปจฺจนฺติมํ นครํ ดังนี้ โดยมิได้มุ่งหมายเอานครในมัชฌิมประเทศนั้น.
(๑) ปาฐะว่า อตฺถสฺส ฉบับพม่าเป็น อถลฺส แปลตามฉบับพม่า
(๒) ปาฐะว่า ตสฺเสว วตฺถุสฺส ฉบับพม่าเป็น ตสฺเสวตฺถสฺส แปลตามฉบับพม่า.
(๓) ปาฐะว่า มชฺฌิมปเทเสน ฉบับพม่าเป็น มชฺฌิมปเทเส แปลตามฉบับพม่า.
(๔) ปาฐะว่า โหนฺติ ฉบับพม่าเป็น โหนฺตุ แปลตามฉบับพม่า.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 478
บทว่า ทฬฺหํ แปลว่า มั่นคง.
บทว่า ปาการโตรณํ ได้แก่ กำแพงที่มั่นคง และเสาค่ายที่มั่นคง.
อันธรรมดาว่า เสาค่ายสูง ๑ ช่วงคน เขาสร้างไว้เพื่อเป็นเครื่องประดับนคร ทั้งเป็นสถานที่สำหรับป้องกันโจรได้เหมือนกัน.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า โตรณํ นั่นเป็นชื่อของบานประตู (๑) หมายความว่า มีบานประตูแข็งแรง.
บทว่า ฉทฺวารํ ความว่า ธรรมดาว่าประตูเมือง ย่อมมีประตูเดียวบ้าง ๒ ประตูบ้าง ๑๐๐ ประตูบ้าง ๑๐๐๐ ประตูบ้าง. แต่ในที่นี้ พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงนครมี ๖ ประตู จึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า ปณฺฑิโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้ฉลาด.
บทว่า พฺยตฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้เฉียบแหลม คือมีญาณอันผ่องใส.
บทว่า เมธาวี ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยปัญญา กล่าวคือปัญญาสำหรับวินิจฉัยเหตุที่เกิดขึ้น.
พึงทำเนื้อความในคำว่า ปุรตฺถิมาย ทิสาย เป็นต้น ให้แจ่มแจ้ง แล้วทราบความหมายอย่างนี้ (ดังต่อไปนี้) เถิด.
ได้ยินว่า ในมหานครอันมั่งคั่ง พระราชาผู้ประกอบด้วยรตนะทั้ง ๗ ประการ ทรงครองจักรพรรดิราชสมบัติ (แต่ว่า) ปัจจันตนครนั่นของพระองค์ กลับขาดผู้ปฏิบัติราชการแทนพระองค์ (๒) ครานั้นราชบุรุษทั้งหลาย
(๑) ปาฐะว่า ปีสงฺฆาตสฺเสตํ ฉบับพม่าเป็น ปิฏฺสงฺฆาตสฺเสตํ แปลตามฉบับพม่า.
(๒) ปาฐะว่า ตสฺเสตํ น ปจจนฺตนครํ ราชายุตฺตวิรหิตํ ฉบับพม่าเป็น ตสฺเสตํ ปจฺจนฺตนครํ ราชายุตฺตวิรหิตํ แปลตามฉบับพม่า.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 479
จึงพากันกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ในนครของพวกข้าพระองค์ ไม่มีผู้ปฏิบัติราชการแทนพระองค์ (๑) ขอพระองค์ได้โปรดประทานผู้ปฏิบัติราชการแทนพระองค์ ให้พวกข้าพระองค์สักคนหนึ่งเถิด.
พระราชาพระราชทาน พระราชโอรสพระองค์หนึ่ง แล้วตรัสว่า ไปเถิด จงพาเอาราชบุตรนั่นไปอภิเษกไว้ในเมืองนั้น ให้รับตำแหน่งมีตำแหน่งวินิจฉัยเป็นต้น แล้วอยู่เถิด. ราชบุรุษเหล่านั้น ได้ทำตามกระแสพระราชดำรัส.
เพราะคลุกคลีอยู่กับมิตรที่เลว ล่วงไปได้ ๒ - ๓ วัน ราชโอรสก็กลายเป็นนักเลงสุรา ละเลยตำแหน่งทุกอย่างมีตำแหน่งวินิจฉัยเป็นต้น อันเหล่านักเลงแวดล้อมดื่มสุรา ปล่อยวันและคืนให้ล่วงไปด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินกับการฟ้อนรำขับร้องเป็นต้น อยู่ท่ามกลางนคร.
ต่อมา ราชบุรุษทั้งหลาย ได้กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ. พระราชาทรงสั่งบังคับอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตคนหนึ่งว่า เจ้าจงไปตักเตือนพระกุมารให้รับผิดชอบต่อตำแหน่งมีการวินิจฉัยคดีเป็นต้น อภิเษกใหม่ แล้วค่อยกลับมา.
อำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระองค์ไม่สามารถจะตักเตือนพระกุมารได้หรอก พระกุมารเป็นคนดุร้าย (บางที) จะพึงฆ่าข้าพระองค์ก็ได้.
(๑) ปาฐะว่า อมฺหากํ เทวนคเร อายุตฺตโก เทหิ ฉบับพม่าเป็น อมฺหากํ เทว นคเร อายุตฺตโก นตฺถิ แปลตามฉบับพม่า.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 480
ครานั้น พระราชาจึงสั่งบังคับนายทหารผู้สมบูรณ์ด้วยพลังคนหนึ่งว่า เจ้าจงไปกับอำมาตย์นี้ ถ้าพระกุมารนั้นไม่ยอมอยู่ในโอวาท ก็จงตัดศีรษะเขาเสีย.
ด้วยพระบรมราชโองการนี้ ราชทูตด่วนทั้งคู่ คืออำมาตย์และ (๑) นายทหารผู้นั้น ก็พากันไปในเมืองนั้น แล้วถามนายทวารบาลว่า พ่อมหาจำเริญ พระกุมารผู้ว่าการพระนครอยู่ที่ไหน. นายทวารบาลตอบว่า (ขณะนี้) พระองค์อันเหล่านักเลงห้อมล้อม ประทับนั่งเสวยน้ำจัณฑ์ทรงเกษมสำราญอยู่กับการขับร้องเป็นต้น อยู่ที่ทางสามแยกกลางนคร.
ทันใดนั้น ราชทูตทั้งคู่นั้น จึงเข้าไปเฝ้าแล้วทูลว่า มีพระบรมราชโองการให้อำมาตย์ยังเป็นใหญ่ (รักษาการ) ในเมืองนี้ไปก่อน ขอพระองค์จงรับสั่งให้เขารับผิดชอบตำแหน่งวินิจฉัยเป็นต้น แล้วจงปกครองบ้านเมืองให้ดี.
พระกุมารประทับนั่ง เป็นเหมือนไม่ทรงได้ยิน. เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ทูตฝ่ายทหารก็จับพระเศียรของพระกุมารนั้น แล้วชักพระขรรค์ออกพร้อมทั้งทูลว่า ถ้าพระองค์จะทำตามพระราชอาญาก็จงทำเสียเถิด หากไม่ทำ หม่อมฉันจักบั่นพระเศียร (ของพระองค์) ให้หลุดหล่นลงเสียในที่นี้แหละ. เหล่านักเลงผู้คอยบำรุงบำเรอก็หนีกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางในทันใดนั้นเอง. พระกุมารตกพระทัยกลัว ยอมรับพระราชสาสน์.
(๑) ปาฐะว่า โยโธ วา ฉบับพม่าเป็น โยโธ จ (แปลตามฉบับพม่า).
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 481
ครั้นแล้ว ราชทูตทั้งคู่นั้น ก็ทำการอภิเษกแก่พระกุมารนั้น ในที่นั้นนั่นแล แล้วให้ยกเศวตฉัตรขึ้น มอบพระบรมราชโองการที่มีพระดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมไว้ว่า เจ้าจงปกครองบ้านเมืองโดยชอบเถิด ดังนี้แล้ว เดินทางกลับไปตามทางที่มาแล้วนั่นแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงทำเนื้อความนี้ให้แจ่มแจ้งจึงตรัส คำว่า ปุรตฺถิมาย ทิสาย เป็นต้น.
ในสูตรนั้น มีข้ออุปมาเปรียบเทียบ ดังต่อไปนี้.
ก็พระนครคือนิพพาน พึงเห็นเหมือนมหานครที่มั่งคั่ง. พระธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยโพชฌงค์รตนะ ๗ ประการ พึงเห็นเหมือนพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ประกอบด้วยรตนะ ๗ ประการ. นครคือกายของตน พึงเห็นเหมือนนครชายแดน. จิตตุปบาทที่โกงของภิกษุนี้ พึงเห็นเหมือนราชบุตรโกง (ทรราช) ในนครนั้น เวลาที่ภิกษุนี้พรั่งพร้อมด้วยนิวรณ์ ๕ พึงเห็นเหมือนเวลาที่ราชบุตร (ทรราช) อันเหล่านักเลงแวดล้อม. สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน พึงเห็นเหมือนราชทูตเร็วทั้งคู่. เวลาที่จิตถูกสมาธิในปฐมฌานเกิดขึ้น ตรึงไว้มิให้หวั่นไหว พึงเห็นเหมือนเวลาที่ราชบุตรทรราชถูกทหารใหญ่จับพระเศียร. ภาวะที่เมื่อปฐมฌาน พอเกิดขึ้นแล้ว นิวรณ์ ๕ ก็อยู่ห่างไกล พึงเห็นเหมือนภาวะที่เมื่อราชบุตรทรราช พอถูกทหารใหญ่จับพระเศียร เหล่านักเลงทั้งหลายก็หนีกระจัดกระจายไปไกลคนละทิศละทาง. เวลาที่ภิกษุนั้นออกจากฌาน พึงเห็นเหมือนเวลาที่ทหารใหญ่ พอราชบุตรทรราชรับรองว่า จักทำตามพระบรมราชโองการ ก็ปล่อยพระราชกุมาร.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 482
เวลาที่ภิกษุนั้นทำจิตให้ควรแก่การงานด้วยสมาธิแล้ว เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน พึงเห็นเหมือนเวลาที่อำมาตย์ทูลให้ทราบกระแสพระบรมราชโองการ (แก่ราชบุตร).
การที่ภิกษุผู้อาศัยสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ยกเศวตฉัตรคือวิมุตติขึ้น พึงทราบเหมือนการที่ราชบุตรนั้น อันราชทูตทั้งคู่นั้นทำการอภิเษก แล้วยกเศวตฉัตรขึ้นถวายในเมืองนั้นนั่นแล.
ส่วนเนื้อความของบททั้งหลาย มีอาทิว่า จาตุมฺมหาภูติกสฺส ในคำมีอาทิว่า นครนฺติ โข ภิกฺขุ อิมสฺเสตํ จาตุมฺมหาภูติกสฺส กายสฺส อธิวจนํ ได้อธิบายไว้อย่างพิสดารแล้วในตอนต้น.
ก็ในสูตรนี้ กาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า นคร เพราะเป็นที่ประทับอยู่ของราชบุตร คือวิญญาณอย่างเดียว.
อายตนะ ๖ ตรัสเรียกว่า ทวาร เพราะเป็นประตู (ทางออก) ของราชบุตร คือวิญญาณนั้นนั่นแล.
สติ ตรัสเรียกว่า นายทวารบาล (คนเฝ้าประตู) เพราะเฝ้าประจำอยู่ในทวารทั้ง ๖ นั้น.
ในบทนี้ว่า สมถะ และ วิปัสสนา เป็นราชทูตด่วน สมถะ พึงทราบว่า เหมือนทหารใหญ่ วิปัสสนา พึงทราบว่า เหมือนอำมาตย์ผู้ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต เพราะถูกพระธรรมราชาผู้ตรัสบอกกัมมัฏฐาน ทรงส่งไปแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 483
บทว่า มชฺเฌ สิํฆาฏโก ความว่า ทางสามแยกกลางนคร.
บทว่า มหาภูตานํ ได้แก่ มหาภูตรูปอันเป็นที่อาศัยของหทยวัตถุ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสศัพท์ว่า มหาภูตรูป ๔ ไว้ ก็เพื่อแสดง (นิสสย) ปัจจัยของวัตถุรูปนั่นเอง.
พระราชบุตร คือวิปัสสนาจิต ประทับนั่งอยู่ที่ทางสามแยก คือหทยรูป ในท่ามกลาง (นครคือ) กาย อันเหล่าราชทูต คือสมถะและวิปัสสนา พึงอภิเษกต้องการอภิเษกเป็นพระอรหันต์ พึงเห็นเหมือนพระราชกุมารนั้น (ประทับนั่ง) อยู่กลางนคร.
ส่วนพระนิพพานตรัสเรียกว่า ยถาภูตพจน์ เพราะขยายสภาพตามเป็นจริง มิได้หวั่นไหว.
ก็อริยมรรค ตรัสเรียกว่า ยถาคตมรรค เพราะอธิบายว่าวิปัสสนามรรคแม้นี้ ก็เป็นเช่นกับวิปัสสนามรรค อันเป็นส่วนเบื้องต้นนั่นเอง เพราะประกอบดีแล้วด้วยองค์ ๘.
ข้อเปรียบเทียบ (ดังจะกล่าวต่อไปนี้) เป็นข้อเปรียบเทียบ ในฝ่ายที่นำมา เพื่อทำความนั้นเองให้ปรากฏชัด.
อธิบายว่า ในสูตรนี้ อุปมาด้วยทวาร ๖ (พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยก) มาเพื่อแสดงถึงพระขีณาสพ ผู้บรรลุทัสสนวิสุทธิ ด้วยอำนาจผัสสายตนะ ๖.
อุปมาด้วยเจ้านคร (พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยก) มาเพื่อแสดงถึงพระขีณาสพ ผู้บรรลุทัสสนวิสุทธิ ด้วยอำนาจเบญจขันธ์
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 484
อุปมาด้วยทางแยก (พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยก) มาเพื่อแสดงถึงพระขีณาสพ ผู้บรรลุทัสสนวิสุทธิ ด้วยอำนาจแห่งมหาภูตรูป ๔.
อุปมาด้วยนคร (พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยก) มาเพื่อแสดงถึงพระขีณาสพ ผู้บรรลุทัสสนวิสุทธิ ด้วยอำนาจแห่งเตภูมิกธรรม.
แต่ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสัจจะทั้ง ๔ นั่นแหละไว้โดยย่อ.
แท้จริง ทุกขสัจนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วด้วยองค์ประกอบของเมืองทั้งหมด. นิโรธสัจ ตรัสไว้แล้วด้วยยถาภูตวจนะ มัคคสัจตรัสไว้แล้วด้วยยถาคตมรรค ส่วนตัณหาที่เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด คือสมุทยสัจ.
ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ภิกษุผู้ถามปัญหาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล.
จบ อรรถกถากิงสุกลสูตรที่ ๘