พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. วีณาสูตร ว่าด้วยทรงแสดงธรรมเปรียบด้วยพิณ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 ก.ย. 2564
หมายเลข  37379
อ่าน  515

[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 484

๙. วีณาสูตร

ว่าด้วยทรงแสดงธรรมเปรียบด้วยพิณ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 28]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 484

๙. วีณาสูตร

ว่าด้วยทรงแสดงธรรมเปรียบด้วยพิณ

[๓๔๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพอใจ ความกำหนัด ความขัดเคือง ความหลง หรือแม้ความคับแค้นใจในรูปอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุหรือแก่ภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ภิกษุหรือภิกษุณีพึงห้ามจิตเสียจากรูปอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยจักษุนั้น ด้วยมนสิการว่า หนทางนั้นมีภัย มีภัยตั้งอยู่เฉพาะหน้า มีหนาม มีรกชัฏ เป็นทางผิด เป็นทางอันบัณฑิตเกลียด และเป็นทางที่ไปลำบาก เป็นทางอันอสัตบุรุษ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 485

ดำเนินไป ไม่ใช่ทางที่สัตบุรุษดำเนินไป ท่านไม่ควรดำเนินทางนั้น ภิกษุหรือภิกษุณีพึงห้ามจิตเสียจากรูปอันบุคุคลพึงรู้แจ้งด้วยจักษุนั้น ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพอใจ ความกำหนัด ความขัดเคือง ความหลง หรือแม้ความคับแค้นใจในธรรมารมณ์อันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยใจ พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ภิกษุหรือภิกษุณีพึงห้ามจิตเสียจากธรรมารมณ์นั้น ด้วยมนสิการว่า หนทางนั้นมีภัย มีภัยตั้งอยู่เฉพาะหน้า มีหนาม มีรกชัฏ เป็นทางผิด เป็นทางอันบัณฑิตเกลียด และเป็นทางที่ไปลำบาก เป็นทางอันอสัตบุรุษดำเนินไป ไม่ใช่ทางที่สัตบุรุษดำเนินไป เธอย่อมไม่ควรดำเนินทางนั้น ภิกษุหรือภิกษุณีพึงห้ามจิตเสียจากธรรมารมณ์ อันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยใจนั้น.

[๓๔๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้าวกล้าถึงสมบูรณ์ แต่เจ้าของผู้รักษาข้าวกล้าเป็นผู้ประมาท และโคกินข้าวกล้าลงสู่ข้าวกล้าโน้น พึงถึงความเมา ความประมาทตามต้องการ แม้ฉันใด ปุถุชนผู้ไม่สดับแล้ว ไม่ทำความสำรวมในผัสสายตนะ ๖ ย่อมถึงความเมา ความประมาท ในกามคุณ ๕ ตามความต้องการ ฉันนั้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้าวกล้าสมบูรณ์แล้ว เจ้าของผู้รักษาข้าวกล้าเป็นผู้ไม่ประมาท และโคกินข้าวกล้าพึงลงสู่ข้าวกล้าโน้น เจ้าของผู้รักษาข้าวกล้า พึงจับโคนั้นสนสะพายแล้วผูกรวมไว้ที่ระหว่างเขาทั้งสอง ครั้นแล้วพึงตีกระหน่ำด้วยตะพดแล้วจึงปล่อยไป โคตัวกินข้าวกล้าพึงลงสู่ข้าวกล้าโน้น แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ แม้ครั้งที่ ๓ เจ้าของผู้รักษาข้าวกล้าพึงจับโคสนสะพายแล้วผูกรวมไว้ที่ระหว่างเขาทั้ง ๒ ครั้นแล้วจึงตีกระหน่ำด้วยตะพดแล้วจึงปล่อยไป โคกินข้าวกล้านั้น

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 486

อยู่ในบ้านก็ดี อยู่ในป่าก็ดี พึงเป็นสัตว์ยืนมากหรือนอนมาก ไม่พึงลงสู่ข้าวกล้านั้นอีก พลางระลึกถึงการถูกตีด้วยไม้ครั้งก่อนนั้นนั่นแหละ ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คราใด จิตอันภิกษุข่มขู่แล้ว ข่มไว้ดีแล้ว ในผัสสายตนะ ๖ คราวนั้น จิตย่อมดำรงอยู่ สงบนิ่งในภายใน มีธรรมเอกผุดขึ้น ย่อมตั้งมั่น ฉันนั้นเหมือนกันแล.

[๓๔๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์ ยังไม่เคยได้ฟังเสียงพิณ พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์ ฟังเสียงพิณแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่านผู้เจริญ นั่นเสียงอะไรหนอ น่าชอบใจ น่าใคร่ น่ามัวเมา น่าหมกมุ่น น่าพัวพันอย่างนี้ บุรุษนั้นกราบทูลว่า ขอเดชะ เสียงนั้นเป็นเสียงพิณ พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์พึงกล่าวว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจงไปนำพิณนั้นมาให้เรา ราชบุรุษทั้งหลายพึงนำพิณมาถวาย พึงกราบทูลว่า นี่คือพิณนั้น พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์นั้นพึงกล่าวว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ฉันไม่ต้องการพิณนั้น ท่านทั้งหลาย จงนำเสียงพิณนั้นมาให้แก่เราเถิด ราชบุรุษกราบทูลว่า ขอเดชะ ขึ้นชื่อว่าพิณนี้มีเครื่องประกอบหลายอย่าง มีเครื่องประกอบมาก นายช่างประกอบดีแล้วด้วยเครื่องประกอบหลายอย่าง คือธรรมดาว่าพิณนี้ อาศัยกระพอง อาศัยราง อาศัยลูกบิด อาศัยนม อาศัยสาย อาศัยคันชัก และอาศัยความพยายามของบุรุษซึ่งสมควรแก่พิณนั้น มีเครื่องประกอบหลายอย่าง มีเครื่องประกอบมาก นายช่างประกอบดีแล้วด้วยเครื่องประกอบหลายอย่าง จึงจะส่งเสียงได้ พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์ทรงผ่าพิณนั้น ๑๐ เสี่ยง หรือ ๑๐๐ เสี่ยง แล้วกระทำให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วพึงเผาไฟแล้ว

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 487

พึงกระทำให้เป็นเขม่า โปรยไปด้วยลมแรง หรือพึงลอยไปเสียในแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว ท้าวเธอตรัสอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า ชื่อว่าพิณนี้ ไม่ได้สติ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะเลวทรามกว่าพิณนี้ไม่มี เพราะพิณนี้ คนต้องมัวเมา ประมาทหลงใหลจนเกินขอบเขต ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นนั่นแล ย่อมแสวงหาคติแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย วิญญาณเท่าที่มีอยู่ เมื่อเธอแสวงหาคติแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเท่าที่มีอยู่ ความยึดถือโดยคติของภิกษุนั้นว่าเรา หรือว่าของเรา หรือว่าเป็นเรา แม้นั้นก็ไม่มีแก่เธอ.

จบ วีณาสูตรที่ ๙

อรรถกถาวีณาสูตรที่ ๙

ในวีโณปมสูตรที่ ๙ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

พระศาสดาทรงเริ่มคำว่า ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขเว ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา ดังนี้ไว้ เพื่อทรงแสดงว่า เปรียบเหมือนว่า มหากุฎุมพีทำกสิกรรมมาก เสร็จนาได้ข้าวกล้าแล้ว สร้างปะรำไว้ที่ประตูเรือน เริ่มถวายทานแด่สงฆ์ทั้งหลาย ถึงแม้เขาจะตั้งใจถวาย (๑) แด่พระสงฆ์ทั้งสองฝ่าย (เท่านั้น) ก็จริง ถึงกระนั้น เมื่อบริษัททั้งสองฝ่าย อิ่มหนำสำราญแล้ว แม้ชนที่เหลือก็พลอยอิ่มหนำสำราญไปด้วยฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงบำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขยเศษ ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ที่ควงโพธิพฤกษ์ ทรงแสดงธรรมจักรอันประเสริฐ


(๑) ปาฐะว่า ปติฏฺาปิตํ ฉบับพม่าเป็น ปฏฺิตํ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 488

ประทับนั่งที่พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อประทานธรรมบูชา แก่ภิกษุบริษัทและภิกษุณีบริษัท จึงทรงปรารภวีโณปมสูตร. ก็วีโณปมสูตรนี้นั้น ถึงจะทรงปรารภหมายเอาบริษัททั้งสอง (เท่านั้น) ก็จริง ถึงกระนั้น ก็มิได้ทรงห้ามบริษัทที่ ๔. เพราะฉะนั้น แม้บริษัททั้งมวล ก็ควรฟังได้ ทั้งมีศรัทธาได้ด้วย ทั้งบำเพ็ญให้บริบูรณ์แล้ว (๑) ก็จะได้ดื่มอรรถรสแห่งพระธรรมเทศนานั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า ฉนฺโท เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

ตัณหาที่มีกำลังอ่อนแรกเกิด ชื่อว่า ฉันทะ ฉันทะนั้นไม่สามารถเพื่อให้กำหนัดได้. แต่ตัณหาที่มีกำลัง เมื่อเกิดขึ้นบ่อยๆ จึงชื่อว่า ราคะ ราคะนั้นสามารถทำให้กำหนัดยินดีได้. ความโกรธที่มีกำลังน้อยแรกเกิด ไม่สามารถ (๒) เพื่อจะถือท่อนไม้เป็นต้นได้ ชื่อว่า โทสะ. ส่วนความโกรธที่มีกำลังมาก เกิดขึ้นติดต่อกันมา สามารถจะทำการเหล่านั้นได้ ชื่อว่า ปฏิฆะ. ส่วนความไม่รู้ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งความหลงและความงมงาย ชื่อว่า โมหะ. เมื่อเป็นเช่นนั้น ในสูตรนี้ เป็นอันท่านสงเคราะห์อกุศลมูล ๓ ไว้ด้วยบททั้ง ๕. เมื่อถือเอาอกุศลมูลเหล่านั้นแล้ว กิเลสที่มีอกุศลธรรมเหล่านั้นเป็นมูล ก็เป็นอันทรงหมายเอาแล้วแล.

อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบททั้ง ๒ ว่า ฉนฺโท ราโค นี้ เป็นอันทรงหมายเอาจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภจิต ๘ ดวง.


(๑) ปาฐะว่า ปริโยคาหิตฺวา ปสฺส ฉบับพม่าเป็น ปริโยคาหิตฺวา จสฺส แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า สมตฺโถ ฉบับพม่าเป็น อสมตฺโถ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 489

ด้วยบททั้ง ๒ ว่า โทโส ปฏิฆํ เป็นอันทรงหมายเอาจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัส ๒ ดวง.

ด้วยบทว่า โมหะ (๑) เป็นอันทรงหมายเอาจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและวิจิกิจฉา สองดวง ปราศจากโลภะและโทสะ. สรุปแล้วเป็นอันทรงแสดงจิตตุปบาท (ฝ่ายอกุศล) ๑๒ ดวง ทั้งหมดไว้แล้ว.

บทว่า สภโย ความว่า มีภัย เพราะเป็นสถานที่อยู่อาศัยของพวกโจร คือกิเลส.

บทว่า สปฺปฏิภโย ความว่า มีภัยเฉพาะหน้า เพราะเป็นเหตุแห่งการฆ่าและการจองจำเป็นต้น.

บทว่า สกณฺฏโก ความว่า มีหนาม เพราะมีหนามมีราคะ (๒) เป็นต้น.

บทว่า อุมฺมคฺโค ความว่า ไม่ใช่ทางสำหรับผู้จะดำเนินไปสู่เทวโลก มนุสสโลก หรือพระนิพพาน.

บทว่า กุมฺมคฺโค ความว่า ชื่อว่าทางชั่ว เพราะเป็นทางให้ถึงอบาย เหมือนทางเท้าที่ทอดไปสู่สถานที่ซึ่งน่ารังเกียจ สะอิดสะเอียน.

บทว่า ทุหิติโก มีอรรถวิเคราะห์ว่า ชื่อว่า อิริยนา เพราะเป็นที่ดำเนินไป. ทางชื่อว่า ทุหิติโก เพราะเป็นที่ไปลำบาก.

เพราะว่าทางใด ไม่มีของขบเคี้ยว มีมูลผลาหารเป็นต้น หรือของลิ้ม ทางนั้นมีการไปลำบาก. คนเดินไปทางนั้นแล้ว ไม่สามารถจะถึงที่มุ่งหมายได้ (ฉันใด) คนดำเนินไปแม้สู่ทางคือกิเลส ก็ไม่อาจถึงสัมปัตติภพ


(๑) โมหมานโทสรหิตา ฉบับพม่า โมหปเทน โลภโทสรหิตา แปลตามฉบับพม่า

(๒) ปาฐะว่า ราคาทีหิ กณฺฏโก ฉบับพม่าเป็น ราคาทีหิ กณฺฏเกหิ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 490

ได้ (ฉันนั้น) เพราะฉะนั้น ทางคือกิเลส พระองค์จึงตรัสว่า ทุหิติโก (เป็นทางที่ไปลำบาก). ปาฐะว่า ทฺวีหิติโก ก็มี. ความหมายก็แนวเดียวกันนั่นแหละ.

บทว่า อสปฺปุริสเสวิโต ความว่า เป็นทางที่อสัตบุรุษ มีพระโกกาลิกะเป็นต้น เดินไปแล้ว.

บทว่า ตโต จิตฺตํ นิวารเย ความว่า พึงห้ามจิตนั้นที่เป็นไปแล้วด้วยอำนาจแห่งฉันทะเป็นต้น จากรูปเหล่านั้น ที่จะพึงรู้แจ้งได้ทางจักษุ ด้วยอุบาย มีการระลึกถึงอสุภารมณ์เป็นต้น อธิบายว่า เมื่อความกำหนัด ในเพราะอิฏฐารมณ์ เกิดขึ้นในจักษุทวาร จิตของผู้ระลึกถึง (มัน) โดยความเป็นอสุภะ จะหมุนกลับ. เมื่อความขัดเคือง ในเพราะอนิฏฐารมณ์ เกิดขึ้น จิตของผู้ระลึกถึงมัน โดยเมตตา จะหมุนกลับ. เมื่อความหลง ในเพราะมัชฌัตตารมณ์ เกิดขึ้น จิตของผู้ระลึกถึงการสอบถามอุทเทส การอยู่กับครู จะหมุนกลับ. แต่บุคคลเมื่อไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ ควรระลึกถึง ความที่พระศาสดาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ความที่พระธรรมเป็นสวากขาตธรรม และความปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ (๑). เพราะว่าเมื่อภิกษุพิจารณา ความที่พระศาสดาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ดี ความที่พระธรรมเป็นสวากขาตธรรมก็ดี พิจารณาการปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ก็ดี จิตจะหมุนกลับ. ด้วยเหตุนั้น จึงได้กล่าวไว้ว่า อสุภาวชฺชนาทีหิ อุปาเยหิ นิวารเย.

บทว่า กิฏฺํ ได้แก่ หัวคล้าที่เกิดขึ้นในที่ๆ แออัด. บทว่า สมฺปนฺนํ ได้แก่ บริบูรณ์แล้ว คืองอกงามดีแล้ว. บทว่า กิฏฺาโต ได้แก่ เคี้ยวกินข้าวกล้า.


(๑) ปาฐะว่า สุปฏิปตฺติํ ฉบับพม่าเป็น สุปฏิปตฺติ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 491

ในบทว่า เอวเมว โข นี้ พึงเห็นเบญจกามคุณเหมือนข้าวกล้าที่สมบูรณ์แล้ว. จิตโกง พึงเห็นเหมือนโคที่กินข้าวกล้าในที่แออัด. เวลาที่ภิกษุละทิ้งสติ (ปล่อยใจ) เที่ยวไปในทวารทั้ง ๖ เหมือนกับในเวลาที่ผู้เฝ้าข้าวกล้าประมาท ฉะนั้น. ภาวะที่ภิกษุไม่ได้บรรลุสามัญญผล เพราะธรรมฝ่ายกุศลเสื่อมไป ในเมื่อจิตอาศัยการอยู่ปราศจากสติ มีหน้าที่รักษาทวาร ๖ ชอบใจเบญจกามคุณ พึงทราบว่าเหมือนเจ้าของข้าวกล้าไม่ได้รับผลแห่งข้าวกล้า เพราะข้าวกล้าที่กำลังท้อง ถูกโคกิน โดยอาศัยความประมาทของผู้รักษาข้าวกล้า ฉะนั้น.

บทว่า อุปริฆฏาย (๑) ได้แก่ ในระหว่างเขาทั้งสอง. บทว่า สุนิคฺคหิตํ นิคฺคณฺเหยฺย ความว่า จับให้มั่นที่เชือกสนสะพายที่พาดอยู่เหนือเขา. บทว่า ทณฺเฑน ความว่า ด้วยตะพดมีลักษณะคล้ายค้อน.

บทว่า เอวํ หิ โส ภิกฺขเว โคโณ ความว่า โคนั้นอาศัยความเผลอของคนเฝ้าข้าวกล้าอย่างนี้แล้ว ในขณะที่อยากจะกินข้าวกล้า จะถูกเจ้าของปราบให้หมดพยศ โดยการกำหราบ ตี แล้วปล่อยไปอย่างนี้.

บทว่า เอวเมว โข ความว่า แม้ในพระสูตร (๒) นี้ กามคุณทั้ง ๕ พึงเห็นเป็นเหมือนข้าวกล้าที่สมบูรณ์. จิตโกง พึ่งเห็นเป็นเหมือนโคที่ชอบกินข้าวกล้า. การไม่ปล่อยสติไปในทวารทั้ง ๖ ของภิกษุนี้ พึงเห็นเป็นเหมือนความไม่เผลอของผู้เฝ้าข้าวกล้า. พระสูตร (๓) เปรียบเหมือนไม้


(๑) ปาฐะว่า ฆาตานํ ฉบับพม่าเป็น ฆฏายํ แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า อิทานิปิ ฉบับพม่าเป็น อิธาปิ แปลตามฉบับพม่า.

(๓) ปาฐะว่า สุตฺตโต ฉบับพม่าเป็น สุตฺตนฺโต แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 492

ตะพด. การระลึกถึงพระสูตรนั้นๆ ในบรรดาพระสูตรทั้งหลายมี อนมตคฺคิยสูตร เทวทูตสูตร อาทิตตสูตร อาสีวิสูปมสูตร อนาคตภยสูตร เป็นต้น ในเวลาที่จิตมุ่งหน้าสู่อารมณ์หยาบในภายนอก (๑) แล้วหักห้ามจิตตุปบาทไว้จากอารมณ์ที่หยาบ แล้วหยั่งลงในมูลกัมมัฏฐาน พึงทราบว่า เป็นเหมือนการตีโคด้วยไม้ตะพด ในเวลาที่มันบ่ายหน้าลงสู่ข้าวกล้า (๒)

ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงได้กล่าวไว้ว่า.

เพราะได้ฟังพระสูตรที่ตรัสดีแล้ว ใจจึงผ่อง สงบ และจิตนั้นจะประสบปีติและสุข ในเวลานั้น ใจของเธอจะดำรงอยู่ในอารมณ์ (แห่งกัมมัฏฐาน) เหมือนโคที่กินข้าวกล้า ถูกหวดด้วยตะพด ฉะนั้น.

บทว่า อุทุชิตํ แปลว่า จิตอันภิกษุข่มแล้ว. บทว่า สุทุชิตํ แปลว่า กลายเป็นจิตอันภิกษุข่มไว้ดีแล้ว. อธิบายว่า อันเธอชนะแล้วด้วยดีบ้าง. บทว่า อุทุ สุทุ (๓) นี้ เป็นเพียงนิบาตเท่านั้น. บทว่า อชฺฌตฺตํ แปลว่า มีอารมณ์เป็นภายใน. ในบทว่า สนฺติฏฺติ เป็นต้น มีอธิบายว่า สงบอยู่ด้วยอำนาจแห่งปฐมฌาน สงบนิ่ง ด้วยอำนาจแห่งทุติยฌาน เป็นจิตมีธรรมอย่างเอกผุดขึ้น ด้วยอำนาจแห่งตติยฌาน ตั้งมั่นด้วยอำนาจแห่ง


(๑) ปาฐะว่า ปุถุตฺตารมมณาภิมุขกาโล อมนตคฆิย ฉบับพม่าเป็น ปุถุตารมฺมณา ภิมุขกาเล อนมตคฺคิย แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า กิฏฺาภิมุขกาโล ทณฺเฑน ฉบับพม่าเป็น กิฏฺาภิมุขกาเล ทณฺเฑน แปลตามฉบับพม่า.

(๓) ปาฐะว่า อุรุ สุรุติ ฉบับพม่าเป็น อุทุ สุทุ และตรงตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 493

จตุตถฌาน อีกอย่างหนึ่ง คำทั้งหมดนี้ พึงทราบด้วยอำนาจปฐมฌาน. จริงอยู่ ธรรมดาอินทริยสังวรสีล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เป็นการอนุรักษ์สมถะ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.

บทว่า รญฺโ วา หมายถึงเจ้าเมืองชายแดนลางองค์นั่นเอง.

บทว่า สทฺทํ สุเณยฺยํ ความว่า ตื่นบรรทมในเวลาเช้า พึงได้สดับเสียงพิณอันไพเราะ ที่นักพิณผู้ชำนาญดีดอยู่.

ในบทว่า รชนีโย เป็นต้น มีอธิบายว่า ชื่อว่า รชนีโย เพราะให้จิตยินดี. ชื่อว่า กมนีโย เพราะชอบให้ใคร่. ชื่อว่า มทนีโย เพราะ (ทำให้) จิตมัวเมา ชื่อว่า มุจฺฉนีโย เพราะหลงโดยเป็นเหมือนทำจิตให้ลุ่มหลง. ชื่อว่า พนฺธนีโย เพราะผูกพันไว้โดยยึดถือเหมือนผูกมัดไว้.

บทว่า อลํ เม โภ ความว่า เมื่อเห็นสัณฐานของพิณแล้วไม่ปรารถนา จึงกล่าวอย่างนี้.

บทว่า อุปธารเณ ได้แก่ ลูกบิด (สำหรับขึ้นสาย).

บทว่า โกณํ ได้แก่ ไม้แก่น ๔ เหลี่ยม.

บทว่า โส ตํ วีณํ ความว่า พระราชานั้นรับสั่งว่า ท่านทั้งหลาย จงนำพิณนั้นมา เราจะดูเสียงของมัน แล้วทรงจับพิณนั้น.

ในบทว่า ทสธา วา เป็นต้น มีอธิบายว่า พึงผ่าออกเป็น ๑๐ เสี่ยงก่อน. ครั้นพระองค์ไม่เห็นเสียงของมัน จึงทรงผ่าออกเป็น ๑๐๐ เสี่ยง (๑) เมื่อไม่ทรงเห็นอย่างนั้น จึงทรงสับเป็นชิ้นๆ เมื่อไม่ทรงเห็นอย่างนั้น


(๑) ปาฐะ สตฺตธา แต่ในบาลี และฉบับพม่าเป็น สตธา จึงแปลตามนั้น.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 494

จึงทรงพระดำริว่า จักเผาชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนเสียงจะหนีออกไป คราวนั้นเราจักเห็นมัน ดังนี้แล้ว จึงใช้ไฟเผา เมื่อไม่ทรงเห็นอย่างนั้น จึงทรงพระดำริว่า ละอองเขม่าที่เบาๆ จักปลิวไปตามลม ส่วนเสียงจักออกไป ตกลงใกล้เท้าเหมือนข้าวสารข้าวเปลือก เมื่อนั้นเราจักเห็นมัน แล้วทรงโปรยไปที่ลมแรงๆ แม้อย่างนั้นก็ไม่ทรงเห็น จึงทรงพระดำริว่า ละอองเขม่าจักลอยไปตามน้ำ ส่วนเสียงจักข้ามออกไป เหมือนคน (ข้าม) ไปสู่ฝั่ง (๑) เมื่อนั้นเราจักเห็นมัน จึงทรงลอยมันไปตามแม่น้ำที่มีกระแสเชี่ยว.

บทว่า เอวํ วเทยฺย ความว่า พระราชาเมื่อไม่ทรงเห็นด้วยอุบายวิธีเหล่านี้ แม้ทุกอย่าง จึงตรัสกับคนเหล่านั้นอย่างนี้.

บทว่า อสติ กิรายํ ความว่า ได้ยินว่า พิณนี้ไม่ได้สติ. อธิบายว่า เป็นพิณชั้นเลว. บทว่า อสติ นี้ เป็นคำเรียกถึงสิ่งที่ลามก.

สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

อสา โลกิตฺถิโย นาม เวลา ตาสํ น วิชฺชติ สารตฺตา จ ปคพฺภา จ สิขี สพฺพฆโส ยถา

ขึ้นชื่อว่าหญิงประโลมโลก ลามก (๒) ทั้งร่าน ทั้งคะนอง ไม่มีขอบเขต เหมือนไฟที่กินไม่เลือก (๓) ฉะนั้น.

บทว่า ยเถวํ ยงฺกิญฺจิ วีณา นาม มีอธิบายว่า ไม่ใช่พิณอย่างเดียวเท่านั้นที่เลว ถึงสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีทุกชนิดก็เลวเหมือนพิณนั่นแหละ. (๔)


(๑) ปาฐะว่า จารํ คจฺฉนฺโต ปุริโส วิย นิกฺขมิตฺวา ปติสฺสติ ฉบับพม่าเป็น ปารํ คจฺฉนฺโต ปุริโส วิย นิกฺขมิตฺวา ตริสฺสติ แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า อสฺสา ฉบับพม่าเป็น อสา แปลตามฉบับพม่า.

(๓) ปาฐะว่า สพฺพโส ฉบับพม่าเป็น สพฺพฆโส แปลตามฉบับพม่า.

(๔) ปาฐะว่า ยเถว ปน อยํ วีณาเยว ลามิกา ยเถวสฺส อยํ วีณา นาม, เอวํ ยงฺกิญฺจิ อญฺมฺปิ ตนฺติพทฺธํ สพพํ ลามกเมวาติ อตฺโถ. ฉบับพม่าเป็น ยเถว ปน อยํ วีณา นาม, เอวํ ยงฺกิญฺจิ อญฺมฺปิ ตนฺติพทฺธํ สพฺพํ ตํ ลามกเมวาติ อตฺโถ. แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 495

พึงทราบวินิจฉัย ในบทว่า เอวเมว โข นี้ ดังต่อไปนี้. เบญจขันธ์ พึงทราบว่า เหมือนพิณ. พระโยคาวจร พึงทราบว่า เหมือนพระราชา พระราชานั้น จำเดิมแต่ทรงผ่าพิณนั้นออกเป็น ๑๐ เสี่ยง แล้วทรงใคร่ครวญดู ก็ไม่ทรงเห็นเสียง จึงไม่มีประสงค์พิณฉันใด พระโยคาวจร ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อพิจารณาเบญจขันธ์ ไม่เห็นอะไรที่จะพึงถือเอาว่า เรา หรือของเรา ก็ไม่มีความประสงค์ด้วยขันธ์. ด้วยเหตุนั้น เมื่อจะทรงแสดงการพิจารณาขันธ์นั้นแก่ภิกษุนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า รูปํ สมนฺเนสติ ยาวตา รูปสฺส คติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมนฺเนสติ ได้แก่ ปริเยสติ (แปลว่า แสวงหา).

บทว่า ยาวตา รูปสฺส คติ ความว่า คติของรูปมีประมาณเท่าใด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คติ ได้แก่ คติ ๕ (๑) อย่าง คือ คติคติ ๑ สัญชาติคติ ๑ สลักขณคติ ๑ วิภวคติ ๑ เภทคติ๑.

บรรดาคติทั้ง ๕ นั้น ขึ้นชื่อว่า รูปนี้ จะท่องเที่ยวหมุนเวียนไปในระหว่างนี้ เบื้องต่ำจดอเวจีนรก เบื้องบนจดพรหมโลกชั้นอกนิษฐ์ การท่องเที่ยวหมุนเวียนไปนี้ ชื่อว่า คติคติ ของรูปนั้น.

อนึ่งกายนี้ ไม่ใช่เกิดที่กลีบบัวหลวงเลย ไม่ใช่เกิดที่กลีบบัวเขียว และดอกบัวขาบเป็นต้น แต่เกิดที่ระหว่างท่ออาหารใหม่ และท่ออาหารเก่า คือในโอกาสที่มืดมนเหลือหลาย ที่เป็นที่ท่องเที่ยวไปในป่าที่มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียดอย่างยิ่ง เหมือนหนอนที่เกิดในปลาเน่าเป็นต้น นี้ชื่อว่า สญฺชาติคติ ของรูป.


(๑) ปาฐะว่า พหุวิธา ฉบับพม่าเป็น ปญฺจวิธา แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 496

ก็ลักษณะของรูป มีสองอย่าง คือปัจจัตตลักษณะ กล่าวคือ การย่อยยับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ารูป เพราะอรรถว่า ย่อยยับไป ๑ สามัญญลักษณะ คือความไม่เที่ยงเป็นต้น ๑ นี้ชื่อว่า สลักขณคติ ของรูปนั้น.

ความไม่มีแห่งรูป ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า.

ป่าใหญ่ เป็นคติของเนื้อทั้งหลาย

อากาศเป็นคติ ของปักษีทั้งหลาย

วิภพ (สภาวะที่ปราศจากภพ) เป็นคติของธรรมทั้งหลาย

พระนิพพาน เป็นคติของพระอรหันต์ ชื่อว่า วิภวคติ.

ก็ความแตกต่างแห่งรูปนั้น (๑) นี้ชื่อว่า เภทคติ. แม้ในเวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. แท้จริง ในที่นี้ พึงทราบคติว่า เป็นที่เกิดแห่งรูปเหล่านั้น (ว่าเกิดใน) เบื้องบนจนถึงภวัคคพรหมอย่างเดียว. แต่ในสลักขณคติ (๒) พึงทราบลักษณะเฉพาะอย่าง ด้วยสามารถแห่งการเสวย การจำได้ การปรุงแต่ง และการรู้แจ้ง.

บทว่า ตมฺปิ ตสฺส น โหติ ความว่า แม้การยึดถือ ๓ อย่าง ในรูปารมณ์เป็นต้น ด้วยอำนาจ ทิฏฐิ ตัณหา และ มานะ (๓) ที่ท่านแสดงไว้อย่างนี้ว่าเรา ว่าของเรา หรือว่าเราเป็นนั้น ก็ไม่มีแก่พระขีณาสพนั้น รวมความว่า พระสูตรชื่อว่าเป็นไปตามลำดับ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ ในมหาอัฏฐกถาว่า


(๑) ปาฐะว่า โสมมนสฺส ฉบับพม่าเป็น โส ปนสฺส แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า สลกฺขณคติ อยญฺจ ฉบับพม่าเป็น สลกฺขณคติยํ จ แปลตามฉบับพม่า.

(๓) ปาฐะว่า ทิฏฺิตณฺหามาน คาหตฺตยตํ ขีณาสวสฺส ฉบับพม่าเป็น ทิฏฺิตณฺหามานคฺคาหตฺตยํ ตมฺปิ ตสฺส แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 497

ศีลท่านกล่าวไว้ในเบื้องต้น สมาธิ และภาวนา ท่านกล่าวไว้แล้วในท่ามกลาง และนิพพานกล่าวไว้ในที่สุด ข้ออุปมาด้วยพิณนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ดังนี้.

จบ อรรถกถาวีณาสูตรที่ ๙