ฟังเพื่อเข้าใจความจริง_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ฟังเพื่อเข้าใจความจริง"
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๔
ดอกบัวบานที่ มศพ. - ๒๕ กันยายน ๒๕๖๔
~ ต้องไม่ลืมว่า ธรรม เป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องยาว ไม่ใช่วันสองวัน ปีสองปี หรือชาติสองชาติ แต่เป็นเรื่องยาวไป นับไม่ถ้วน สิ่งที่ลึกซึ้งที่สุด ไม่ได้อยู่ไกลเลย อยู่เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่กำลังปรากฏ
~ ต้องเป็นคนตรงที่สุดต่อความจริงเดี๋ยวนี้ เพราะทุกขณะพิสูจน์ได้ว่า ไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ ความลึกซึ้งอยู่ที่ความรู้ต่างกับความไม่รู้
~ ต้องมั่นคงว่า ฟังเพื่อเข้าใจความจริงที่ยากที่จะรู้ได้ของเดี๋ยวนี้
~ ไม่รู้จักสิ่งที่กำลังเห็น แล้วก็ยึดถือว่าเป็นเราเห็นมานานเท่าไหร่นับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น จะรู้จักตัวเห็นได้จริงๆ ว่าเป็นธาตุหรือเป็นสภาพธรรมจริงๆ ต้องอาศัยกาลเวลานานเท่าไหร่ จะได้ไม่ประมาท
~ ต้องฟังทุกคำทีละคำด้วยความเคารพ จึงจะรู้พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงแสดงหนทางที่จะให้คนอื่นได้รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ด้วย
~ ถ้าฟังธรรม ศึกษาธรรม อ่านธรรม แต่ไม่สามารถที่จะรู้จักธรรมเดี๋ยวนี้ได้เลย มีประโยชน์ไหม นี่เป็นสิ่งที่จะต้องปลูกฝังมั่นคง มิฉะนั้น ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมจนรู้ธรรมได้
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจเลย ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟัง เพื่อเข้าใจความจริงของธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง
~ ต้องไม่ลืมว่าขณะนี้กำลังปลูกฝังความตรงต่อความจริงจนกระทั่งไม่เปลี่ยน ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ถ้าไม่ไตร่ตรองก็ไม่เข้าใจ จะเข้าใจได้ไหมถ้าไม่คิดไตร่ตรอง นี่คือความหมายที่บอกว่าลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ต้องฟังทุกคำ ไตร่ตรองทุกคำจนกว่าจะเข้าใจ
~ ความเข้าใจถูกเป็นบารมีที่จะทำให้รู้ความจริงที่จะดับกิเลส ถ้าไม่เข้าใจความจริงจะไม่ถึงการที่จะดับความไม่รู้ดับกิเลส ซึ่งนั่นคือ ความหมายของบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส)
~ ความเป็นผู้ตรงต่อความจริง นั่นคือ สัจจบารมี ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงอย่างนี้ ไม่เปลี่ยน ก็เป็นอธิษฐานบารมี
~ ทุกคำที่ฟัง เข้าใจขึ้นๆ ไม่ผ่าน แม้แต่บารมีไม่ใช่เป็นการไปจำจำนวน จำคำ แต่ว่าไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นบารมี
~ ขณะที่ให้ ต้องมีประโยชน์แน่นอน ประโยชน์สำหรับผู้รับที่กำลังมีความทุกข์ที่ต้องการความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็เป็นการช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นจากความทุกข์ และช่วยตัวเองจากการติดข้องในสิ่งที่จะให้ด้วย
~ ที่สำคัญที่สุดต้องรู้ว่า ทุกอย่างที่มีจริง ของทุกคน ทุกขณะ เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งมีการสะสมสืบต่อมา ทุกครั้งที่กระทำอะไร เมื่อได้กระทำแล้วก็ยังสะสมเป็นอุปนิสสยปัจจัย (ที่อาศัยที่มีกำลัง) ที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นอีก
~ ไม่มีใครฝืนความเป็นธรรมได้ ขณะให้ เป็นธรรม ขณะไม่ให้ เป็นธรรม ขณะเข้าใจ เป็นธรรม ขณะไม่เข้าใจ เป็นธรรม
~ ความเป็นไปของแต่ละคนในแต่ละวัน แสดงถึงความเป็นจริงของการสะสมของแต่ละหนึ่งต่างๆ กัน เป็นธรรมทั้งหมด ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ มีความเข้าใจอย่างนี้ จะมีความเข้าใจ จะมีความเห็นใจ จะมีความเป็นเพื่อนกับทุกคนมากขึ้นได้ไหม?
~ คนที่ไม่เข้าใจธรรม มีเมตตาที่สะสมมา แต่ไม่กว้างและไม่มากพอเหมือนคนที่เข้าใจว่าไม่มีอะไรนอกจากธรรม
~ เพราะไม่เข้าใจ จึงไม่เมตตา เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจขึ้น รักษาจิต รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ขณะนั้นก็เป็นเมตตาบารมี มีความเข้าใจ มีความเป็นเพื่อน มีความหวังดี มีการช่วยเหลือ มีการแก้ไข ทำทุกอย่างที่ดี ถ้ามีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น จะมีเมตตาเพิ่มขึ้นไหม?
~ ปัญญา จะนำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์มาให้เท่านั้น ปัญญาเห็นโทษของอกุศลทั้งหมดแม้อกุศลเพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ปัญญาเห็นว่าขณะใดที่เป็นกุศลเท่านั้นที่ขณะนั้นจึงไม่เป็นอกุศล
~ เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้อง ก็มีความเมตตาเพิ่มขึ้น ก็มีทานมากขึ้น มีศีลมากขึ้น มีทุกอย่างมากขึ้นด้วยที่เป็นขณะที่จะช่วยให้รู้ว่าขณะนั้นเห็นโทษของอกุศล เพราะฉะนั้น เมื่อมีปัญญาแล้วปัญญาก็ทำให้บารมีอื่นๆ เกิดขึ้นด้วย ตามเหตุตามปัจจัย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมทุกอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้ปัญญาค่อยๆ เกิดขึ้น
~ ปลูกฝังความเข้าใจที่มั่นคงว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ไม่ว่าอะไรที่ปรากฏ เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย จึงไม่ใช่เราและไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ การฟังธรรมทั้งหมดทุกคำไร้ประโยชน์ ถ้าไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามที่ได้ฟัง
~ ต้องไม่ลืมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้จริงๆ ทรงแสดงหนทางที่จะให้รู้ความจริง จนกระทั่งคนอื่นสามารถจะรู้ความจริงได้ จึงเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีสิ่งอื่นใดเท่ากับพระรัตนตรัย
~ ทุกคำต้องสอดคล้องกัน เดี๋ยวนี้มีจริง ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ เกิดแล้วดับไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงหนทางให้คนอื่นสามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้
~ ชีวิต ก็คือ สภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ ๒ อย่าง คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) กับ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ สภาพที่ไม่รู้ อีกอย่างหนึ่ง คือ รูปธรรม ไม่มีเรา ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป ซึ่งจะต้องค่อยๆ เข้าใจจนกว่าจะรู้แจ้งประจักษ์ความจริงนี้ได้
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ที่สำคัญที่สุดต้องรู้ว่า ทุกอย่างที่มีจริง ของทุกคน ทุกขณะ เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งมีการสะสมสืบต่อมา ทุกครั้งที่กระทำอะไร เมื่อได้กระทำแล้วก็ยังสะสมเป็นอุปนิสสยปัจจัย (ที่อาศัยที่มีกำลัง) ที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นอีก
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
น้อมกราบ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ในกุศลจิตสื่อ เผยแพร่ แบ่งปัน สะกิดชี้ ให้ไตร่ตรอง ไม่ประมาทการดำเนินชีวิตงามประเสริฐ ด้วยความ ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เข้าถึง ค่อยๆ ประจักษ์แจ้ง สภาวธรรมนั้นๆ ขั้นการฟังสะสมจิต เป็นเสบียงกุศลที่งามประเสริฐด้วยครับผม น้อมกราบขอบพระคุณ ท่าน อาจารย์ สุจินต์ บริการวนเขตต์ ท่าน วิทยากรพหูสูตบ้านธัมมะ ที่มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และ เสียสละอย่างใหญ่หลวงในการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่นานแสนนานด้วยคนครับผม !!!