หิริกับโอตัปปะเกิดร่วมกันเสมอหรือไม่
.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หิริ (ความละอายต่ออกุศล) และโอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่ออกุศล) ต่างก็เป็นสภาพธรรมฝ่ายดีด้วยกันทั้งคู่ คือ เป็นโสภณสาธารณเจตสิก ที่เกิดร่วมกับจิตฝ่ายดีทุกประเภท และเกิดพร้อมกันทุกครั้ง เป็นความละอาย และความเกรงกลัวต่ออกุศล กลัวต่อผลของบาปอกุศลที่จะเกิดขึ้น เพราะบาปอกุศลนำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนในภายหลัง กุศลจิต มีหลายขั้น
เพราะฉะนั้น หิริ โอตตัปปะ จึงมีหลายระดับ ตามระดับขั้นของจิต ด้วย เริ่มตั้งแต่เกิดร่วมกับกุศลจิตในชีวิตประจำวันจนกระทั่งสูงสุด คือ ขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้น ทำกิจประหารกิเลส หิริ โอตตัปปะ ก็เกิดร่วมกับมรรคจิต ซึ่งเป็นโลกุตตรกุศล
หิริ และโอตตัปปะ เป็นธรรมฝ่ายดี เมื่อเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตน อกุศลจิตย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้ และที่สำคัญธรรม ๒ ประการนี้ เป็นธรรมคุ้มครองโลก เป็นเครื่องเกื้อกูลให้สัตว์โลกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สงบร่มเย็น ปราศจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ดีทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ
อีกประการหนึ่ง เพราะมีความละอายและมีความเกรงกลัวต่ออกุศล กลัวต่อภัยคือการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์นานาประการ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แต่ละบุคคลได้มีวิริยะอุตสาหะที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นปกติในชีวิตประจำวันบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อวันหนึ่งข้างหน้าจะเป็นผู้ที่สามารถดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์
ที่สำคัญต้องเข้าใจว่า ธรรม เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แม้แต่สภาพธรรมฝ่ายดี ก็เช่นเดียวกัน เพราะเคยสะสมกุศล เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม พร้อมทั้งเห็นโทษของอกุศลธรรมในชีวิตประจำวัน กุศลธรรม มี หิริ และ โอตตัปปะ เป็นต้น จึงเกิดขึ้น โดยไม่มีตัวตนที่บังคับหรือทำขึ้นมาได้ แต่เกิดขึ้นเป็นไปแล้วตามเหตุตามปัจจัย ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
หิริ และ โอตตัปปะ [ธรรมสังคณีปกรณ์]
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...