พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. โคทัตตสูตร ว่าด้วยวิมุตติ ๔

 
บ้านธัมมะ
วันที่  30 ก.ย. 2564
หมายเลข  37530
อ่าน  401

[เล่มที่ 29] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 159

๗. โคทัตตสูตร

ว่าด้วยวิมุตติ ๔


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 29]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 159

๗. โคทัตตสูตร

ว่าด้วยวิมุตติ ๔

[๕๗๑] สมัยหนึ่ง ท่านพระโคทัตตะอยู่ที่อัมพาฏกวัน ใกล้ราวป่ามัจฉิกาสณฑ์ ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดีได้เข้าไปหาท่านพระโคทัตตะถึงที่อยู่ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วท่านพระโคทัตตะได้ถามจิตตคฤหบดีว่า ดูก่อนคฤหบดี ธรรมเหล่านี้ คือ อัปปมาณาเจโตวิมุตติ อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ สุญญตาเจโตวิมุตติ และอนิมิตตาเจโตวิมุตติ มีอรรถต่างกัน มีพยัญชนะต่างกัน หรือว่ามีอรรถเหมือนกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น. จิตตคฤหบดีตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ปริยายที่เป็นเหตุให้ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้ว เป็นธรรมมีอรรถต่างกัน มีพยัญชนะต่างกัน มีอยู่ และปริยายที่เป็นเหตุให้ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้ว เป็นธรรมมีอรรถเหมือนกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น มีอยู่.

[๕๗๒] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ปริยายที่เป็นเหตุให้ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้ว เป็นธรรมมีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกันเป็นไฉน. ข้าแต่ท่านผ้เจริญ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีจิตประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน โดยนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ มีใจประกอบด้วยกรุณา ... ประกอบด้วยมุทิตา ... ประกอบด้วยอุเบกขาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่ง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 160

อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน โดยนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นี้เรียกว่า อัปปมาณาเจโตวิมุตติ.

[๕๗๓] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ เป็นไฉน. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวงแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนฌานด้วยมนสิการว่า อะไรๆ หน่อยหนึ่งไม่มี ดังนี้อยู่ นี้เรียกว่า อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ.

[๕๗๔] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็สุญญตาเจโตวิมุตติเป็นไฉน. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ตาม อยู่โคนต้นไม้ก็ตาม อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ตาม ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า นี้ว่างเปล่าจากตน หรือจากสิ่งที่เนื่องในตน เรียกว่า สุญญตาเจโตวิมุตติ.

[๕๗๕] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็อนิมิตตาเจโตวิมุตติเป็นไฉน. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเข้าถึงอนิมิตตาเจโตสมาธิเพราะไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ นี้เรียกว่า อนิมิตตาเจโตวิมุตติ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นี้คือปริยายที่เป็นเหตุให้ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้ว มีอรรถต่างกันและมีพยัญชนะต่างกัน.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 161

[๕๗๖] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ปริยายที่เป็นเหตุให้ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้ว มีอรรถเป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้นเป็นไฉน. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ราคะ โทสะ โมหะ ชื่อว่ากิเลสตัวกระทำประมาณ กิเลสเหล่านั้นอันภิกษุผู้ขีณาสพละได้แล้ว ตัดมูลรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา อัปปมาณาเจโตวิมุตติอันไม่กำเริบมีประมาณเท่าใด เจโตวิมุตติบัณฑิตกล่าวว่า เป็นเลิศกว่าอัปปมาณาเจโตวิมุตติเหล่านั้น ก็เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบนั้น ว่างเปล่าจากราคะ โทสะ โมหะ. ราคะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าเป็นกิเลส เครื่องกังวล กิเลสเหล่านั้นอันภิกษุผู้ขีณาสพละได้แล้ว ตัดมูลรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา อากิญจัญญาเจโตวิมุตติอันไม่กำเริบมีประมาณเท่าใด เจโตวิมุตติบัณฑิตกล่าวว่า เป็นเลิศกว่าอากิญจัญญาเจโตวิมุตติเหล่านั้น ก็เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบนั้นว่างเปล่าจากราคะ โทสะ โมหะ. ราคะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าเป็นกิเลสเครื่องกระทำนิมิต (เครื่องหมาย) กิเลสเหล่านั้นอันภิกษุผู้ขีณาสพละได้แล้ว ตัดมูลรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา. อนิมิตตาเจโตวิมุตติอันไม่กำเริบมีประมาณเท่าใด เจโตวิมุตติบัณฑิตกล่าวว่า เป็นเลิศกว่าอนิมิตตาเจโตวิมุตติเหล่านั้น ก็เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบนั้นว่างเปล่าจากราคะ โทสะ โมหะ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ปริยายนี้เป็นเหตุให้ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้ว มีอรรถเป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ท่านพระโคทัตตะ กล่าวว่า ดูก่อนคฤหบดี การที่ปัญญาจักษุของท่านหยั่งทราบในพระพุทธพจน์ที่ลึกซึ้ง ชื่อว่าเป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว.

จบ โคทัตตสูตรที่ ๗

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 162

อรรถกถาโคทัตตสูตรที่ ๗

พึงทราบวินิจฉัยในโคทัตตสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้.

บทว่า นานตฺถา เจว นานาพฺยญฺชนา จ คือแม้พยัญชนะแห่งธรรมเหล่านั้นต่างกัน แม้อรรถก็ต่างกัน. บรรดาบทเหล่านั้นธรรมชื่อว่าปรากฏ เพราะพยัญชนะต่างกัน. ส่วนอรรถ อัปปมาณาเจโตวิมุตติ โดยภูมิ เป็นมหัคคตะ เป็นรูปาวจร โดยอารมณ์มีสัตวบัญญัติ เป็นอารมณ์ อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ โดยภูมิเป็นมหัคคตะ เป็นอรูปาวจร โดยอารมณ์ มีอารมณ์ไม่พึงกล่าว (คือบัญญัติ) สุญญตาเจโตวิมุตติโดยภูมิเป็นกามาวจร โดยอารมณ์มีสังขารเป็นอารมณ์. ส่วนวิปัสสนา ท่านประสงค์ว่า สุญญตา ในที่นี้. อนิมิตตาเจโตวิมุตติ โดยภูมิ เป็นโลกุตตระ โดยอารมณ์ มีนิพพานเป็นอารมณ์.

ในบทเป็นอาทิว่า ราโค โข ภนฺเต ปมาณกรโณ ชื่อว่าน้ำในเกวียนมีใบไม้เน่ามีสีดำอยู่ที่เชิงเขา เมื่อมองดูย่อมปรากฏ เหมือนน้ำลึกร้อยวา เมื่อถือเอาไม้หรือเชือกวัด น้ำเพียงท่วมหลังเท้าก็ไม่ได้ฉันใด. ตลอดเวลาที่ราคะเป็นต้นยังไม่เกิดขึ้นใครๆ ย่อมไม่สามารถจะรู้จักบุคคลได้ เขาย่อมปรากฏ คล้ายโสดาบัน คล้ายสกทาคามี คล้ายอนาคามี แต่เมื่อใด ราคะเป็นต้นเกิดขึ้นแก่เขา เมื่อนั้น เขาปรากฏว่า กำหนัด ขัดเคือง ลุ่มหลง ฉันนั้นเหมือนกัน. ชื่อว่าการทำประมาณเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า เมื่อแสดงประมาณแก่บุคคลว่า บุคคลนี้มีประมาณเท่านี้ ย่อมเกิดขึ้น. บทว่า ยาวตา โข ภนฺเต อปฺปมาณา เจโตวิมุตติโย ความว่าอัปปมาณาเจโตวิมุตติ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 163

มีประมาณเท่าใด. ถามว่า ก็อัปปมาณาเจโตวิมุตติเหล่านั้นมีเท่าไร. ตอบว่า มี ๑๒ คือพรหมวิหาร ๔ มรรค ๔ ผล ๔. ใน ๑๒ อย่างนั้น พรหมวิหาร ชื่อว่า อัปปมาณา เพราะแผ่ไปหาประมาณมิได้. ธรรมที่เหลือ (มรรค และผล) พึงทราบดังนี้ แม้นิพพานก็ชื่อว่า อัปปมาณา เหมือนกัน เพราะความที่แห่งกิเลสทั้งหลายตัวทำประมาณไม่มี. แต่ไม่ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะฉะนั้น จึงไม่ถือเอา บทว่า อกุปฺปา คืออรหัตตผลเจโตวิมุตติ. ก็อรหัตตผลเจโตวิมุตตินั้น เป็นหัวหน้าธรรมทั้งหมดแห่งอัปปมาณาเจโตวิมุตติเหล่านั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า อคฺคมกฺขายติ. บทว่าราโค โข ภนฺเต กิญฺจนํ ความว่า ราคะเกิดขึ้นแล้ว ย่อมกังวลย่ำยี ย่อมผูกพันบุคคลไว้ เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า กิญฺจนํ กิเลสเครื่องกังวล. ได้ยินว่า พวกมนุษย์ให้โคทั้งหลายย่ำเหยียบลานจะพูดว่า แดงวนไป ดำวนไป. พึงทราบว่าราคะมีอรรถว่าย่ำยี มีอรรถว่ากังวล. แม้ในโทสะและโมหะก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ธรรม ๙ คืออกิญจัญญายตนะ ๑ มรรค ๔ ผล ๔ ชื่อว่าอกิญจัญญาเจโตวิมุตติ. ในธรรมเหล่านั้น อากิญจัญญายตนะ ชื่อว่า อากิญจัญญะ เพราะไม่มีกิเลสเครื่องกังวลเป็นอารมณ์. มรรคและผล ชื่อว่า อากิญจัญญะ เพราะกิเลสเครื่องกังวลคือกิเลสเป็นเครื่องย่ำยีและเป็นเครื่องผูกไม่มี นิพพานก็เป็น อากิญจัญญะ แต่ไม่ใช่เจโตวิมุตติ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ถือเอาบทเป็นอาทิว่า ราโค โข ภนฺเต นิมิตฺตกรโณ ความว่า สองตระกูล มีลูกโคสองคู่เหมือนๆ กัน บุคคลย่อมไม่สามารถจะรู้ได้ว่า นี้ลูกโคของตระกูลโน้น นี้ลูกโคของตระกูลโน้น ตลอดเวลาที่เขายังไม่ทำเครื่องหมายไว้ที่ลูกโคเหล่านั้น แต่เมื่อใดเขาทำเครื่องหมาย

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 164

อย่างใดอย่างหนึ่งมีหลาว ๓ แฉกเป็นต้น ที่ลูกโคเหล่านั้น เมื่อนั้นบุคคลย่อมสามารถรู้ได้ฉันใด ตลอดเวลาที่ราคะยังไม่เกิดขึ้นแก่บุคคล บุคคลย่อมไม่สามารถเพื่อจะรู้ได้ว่า เขาเป็นพระอริยะ หรือปุถุชน ต่อเมื่อราคะเกิดขึ้นแก่เขา ย่อมเกิดขึ้นเหมือนทำเครื่องหมายอันให้รู้ได้ว่า บุคคลนี้ชื่อว่ายังมีราคะอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวราคะว่าเป็นตัวทำนิมิต. แม้ในโทสะและโมหะก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ธรรม ๑๓ คือวิปัสสนา ๑ อรูป ๔ มรรค ๔ ผล ๔ ชื่อว่า อนิมิตตาเจโตวิมุตติ. ในธรรม ๑๓ นั้น วิปัสสนา ชื่อว่า อนิมิตตะ เพราะอรรถว่าเพิกถอนนิมิตว่าเที่ยงเป็นสุข เป็นตนเสียได้ อรูป ๔ ชื่อว่า อนิมิต เพราะไม่มีรูปนิมิต. มรรคและผล ชื่อว่า อนิมิต เพราะไม่มีกิเลสเป็นตัวกระทำนิมิต. แม้นิพพานก็เป็นอนิมิตเท่านั้น. แต่ท่านไม่ถือเอานิพพานนั้น เพราะไม่ใช่เจโตวิมุตติ. ถามว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ถือเอาสุญญตาเจโตวิมุตติ. ตอบว่า สุญญาตาเจโตวิมุตตินั้น ไม่จัดเข้าในธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น ท่านแยกไว้ไม่ถือเอา เพราะบาลีว่า สุญฺา ราเคน เป็นอาทิ. บทว่า เอกตฺถา ความว่า มีอรรถอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถแห่งอารมณ์. ก็บทเหล่านั้น คือ อัปปมาณะ อากิญจัญญะ สุญญตะ อนิมิตตะ ทั้งหมด เป็นชื่อของนิพพานนั่นเอง. โดยปริยายอย่างนี้ จึงมีอรรถเป็นอันเดียวกัน. แต่พยัญชนะต่างกัน โดยปริยายนี้ว่า ก็ในที่แห่งหนึ่งเป็นอัปปมาณา ในที่แห่งหนึ่งเป็นอากิญจัญญา ในที่แห่งหนึ่งเป็นสุญญตา ในที่แห่งหนึ่งเป็นอนิมิตตา.

จบ อรรถกถาโคทัตตสูตรที่ ๗