จิตเป็นธัมมะไหมครับ
สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำว่า "จิต" ตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง สภาพรู้ อาการรู้ลักษณะรู้แจ้งอารมณ์ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ และคำว่า จิตนี้ยังมีชื่อที่ใช้แทนคำว่าจิตในบางแห่งอีกมาก เช่น ใจ มโน มานัส ปัณฑระ หทัย วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มนายตนะ เป็นต้น เป็นธรรม ครับ
จิต ไม่มีที่อยู่ แต่อาศัยที่เกิด จึงเกิดขึ้น เช่น จิตเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ก็อาศัย รูปเป็นที่เกิดที่เป็น ปสาทรูป ๕ และ จิตอื่นๆ ก็อาศัยรูป คือ หทยรูปเป็นที่เกิด จึงเกิดขึ้น เมื่อจิตเกิดแล้วก็ดับไป ไม่ได้ไปที่ไหน อยู่ที่ไหน ดั่งเช่น เมื่อแสงเทียน เปลวเทียนดับไป ก็ไม่ได้ไปอยู่ในสถานที่ ที่อยู่ไหนเลย ครับ ดับไปไม่เหลือเลย
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ -หน้าที่ 682
ชื่อว่าการมา โดยรวมเป็นกอง โดยความสะสม ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่เกิดขึ้น, ชื่อว่า การไปสู่ทิศน้อยใหญ่ ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับ ชื่อว่าการตั้งลงโดยรวมเป็นกอง โดยสะสม โดยเก็บไว้ในที่แห่งหนึ่ง ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับแล้ว. เหมือนนักดีดพิณ เมื่อเขาดีดพิณอยู่เสียงพิณก็เกิด มิใช่มีการสะสมไว้ก่อนเกิด เมื่อเกิดก็ไม่มีการ สะสม การไปสู่ทิศน้อยใหญ่ออกเสียงพิณที่ดับไปก็ไม่มี ดับแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ไม่สะสมตั้งไว้ ที่แท้แล้วพิณก็ดี นักดีดพิณก็ดีอาศัยความพยายามอันเกิดแต่ความพยายามของลูกผู้ชายไม่มีแล้วยังมีได้, ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ฉันใด, ธรรมมีรูปและไม่มีรูปแม้ทั้งหมดก็ฉันนั้นไม่มีแล้วยังมีได้ ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ พระโยคาวจร ย่อมเห็นด้วยประการฉะนี้แล.
จิตมีจริงเพียงชั่วคราว หมายถึง มีจริงทีละขณะ เกิดแล้วดับไป แล้วจิตดวงอื่นเกิดขึ้นสืบต่อเป็นขณะต่อไป พอจะถูกต้องหรือไม่คะ
ถูกต้องครับ จิตเกิดขึ้นและดับไปทีละขณะ ดำรงเพียวชั่วขณะจิต และเมื่อยังมี ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ จุติจิตของพระอรหันต์ ก็ยังมีเหตุปัจจัย เช่น อนันตรปัจจัย สมนันตร ปัจจัย เป็นปัจจัยให้จิตดวงอื่นเกิดสืบต่อ จากจิตดวงที่ดับไปแล้ว ครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 44
๓. อุปเนยยสูตร
[๗] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อน เข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไป แล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็น ภัยนี้ในมรณะ พึงทำบุญทั้งหลายที่นำ ความสุขมาให้.
[๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อน เข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไป แล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็น ภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่ง สันติเถิด
บัณฑิต พึงทราบ ความที่ชีวิตคือ อายุนั้นเป็นของน้อย โดยอาการ ๒ อย่าง คือ ชื่อว่าน้อย เพราะความที่ชีวิตนั้นเป็นไปกับด้วยรส คือ ความเสื่อมสิ้นไป และเพราะความที่ชีวิตนั้นประกอบด้วยขณะ คือ ครู่เดียว ก็เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ขณะแห่งชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยมาก (เกินเปรียบ) คือสักว่าเป็นไปเพียงจิตดวงเดียวเท่านั้น (ว่าโดยปรมัตถ์ ขณะมี ๓ คือ อุปาทขณะ ฐีติขณะ ภังคขณะ) จึงชื่อว่า น้อย เพราะความที่ชีวิตนามนั้นเป็นของเป็นไปกับด้วยขณะ อุปมาด้วยล้อแห่งรถ แม้เมื่อหมุนไป ย่อมหมุนไปโดยส่วนแห่งกงรถหนึ่งเท่านั้น แม้เมื่อหยุดอยู่ ก็ย่อมหยุดโดยส่วนแห่งกงรถหนึ่งนั่นแหละ ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปในขณะแห่งจิตดวงหนึ่ง
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเข้าใจมาก่อนจริงๆ ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พอได้เริ่มฟัง ก็ทำให้ได้เริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่ คำว่า จิต ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม ก็พูดคำนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่พอได้ฟัง ก็ทำให้เข้าใจได้ว่า ทุกขณะของชีวิต ก็คือ จิตแต่ละขณะๆ นั่นเอง ไม่เคยขาดจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว ซึ่งจิต เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ และเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ (อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้) จิตขณะหนึ่งดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที เป็นลำดับด้วยดี เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เป็นต้น นี้แหละคือ จิต ไม่มีใครปฏิเสธหรือคัดค้านได้เลย เพราะมีจริงๆ เมื่อมีจริงๆ จึงเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนๆ อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น และสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ก็เป็นอนัตตาด้วย คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...