ตรงต่อความจริง_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ตรงความจริง"
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๔
ดอกบัว ที่มศพ. - ๒ ตุลาคม ๒๕๖๔
~ เพียงเข้าใจนิดหน่อย นิดเดียว แค่นี้ ยังมีประโยชน์อย่างนี้ ถ้ามีความเข้าใจมากกว่านี้ ประโยชน์ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์
~ ฟังธรรมด้วยความเคารพ ไม่ใช่รีบร้อน แต่รู้ว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง
~ เข้าใจธรรม เป็นหนทางเดียวที่ทำให้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เพิ่มขึ้น
~ จะรู้ว่าเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยแค่ไหน ก็เมื่อเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น
~ เวลาที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเข้าใจ จะรู้ว่า ตลอดเวลาแสนโกฏิกัปป์เหมือนคนที่หลับสนิท ไม่เคยตื่นขึ้นมารู้เลยว่าความจริงคืออะไร เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับคนที่นอนหลับแล้วลุกขึ้นฟังสิ่งที่ได้ยิน จากหลับตื่นขึ้นได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ฟังธรรมเพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล แต่เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จึงรู้ว่าอะไรเป็นอริยสัจจะ (ความจริงที่ทำให้ผู้รู้แจ้งถึงความเป็นพระอริยะ,ความจริงของพระอริยะ)
~ เดี๋ยวนี้ มีจริงไหม? เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีธรรมดา เป็นอริยสัจจะ ผู้ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จะมีอะไรเป็นอริยสัจจะได้? เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงทุกวันซึ่งไม่เคยรู้เลย จึงไม่ใช่อริยะ ยังไม่ถึงการที่จะประเสริฐที่รู้ความจริง แต่รู้ว่า รู้ความจริง ไม่ใช่รู้อื่นเลย แต่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ก็จะรู้ว่าความจริงนี้ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้
~ ไม่ต้องไปหาอริยสัจจะ ไม่ต้องไปหาความจริงอื่นเลย เพราะเดี๋ยวนี้เองเป็นสัจจะ และเป็นอริยสัจจะแน่นอนเมื่อเข้าใจขึ้น
~ ถ้าไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ไม่มีทางที่จะพบอริยสัจจะเลย เพราะไม่รู้ว่าอริยสัจจะคือเดี๋ยวนี้
~ ต้องมั่นคง สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทั้งหมดแต่ละหนึ่งๆ ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย วันนี้ เมื่อวานนี้ พรุ่งนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงที่เป็นอริยสัจจะเมื่อรู้
~ ถ้าไม่รู้ พยายามหา ก็ไม่เจออริยสัจจะ
~ มั่นใจหรือยังว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีสิ่งอื่นจริงนอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏนี่แหละ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นอริยสัจจะ
~ เห็นเดี๋ยวนี้จริงๆ ได้ยินเดี๋ยวนี้จริงๆ แข็งเดี๋ยวนี้จริงๆ จำเดี๋ยวนี้จริงๆ ทุกอย่างที่มีจริง ทุกขณะที่มีจริง เป็นอริยสัจจธรรม
~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผินไม่ได้เลย ต้องไตร่ตรองละเอียด
~ ใครเป็นคนบอกว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้เกิดแล้วดับ? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, เพราะฉะนั้น เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่กำลังปรากฏว่าสิ่งนั้นเกิดดับ และทรงแสดงหนทางที่จะให้รู้อย่างนั้นได้ ถ้ารู้ไม่ได้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีประโยชน์ไหม? เพราะฉะนั้น ทางที่จะรู้ได้ คือ อะไร? ฟังให้เข้าใจ, ไม่มีหนทางอื่นใช่ไหม ไปสำนักปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างที่เขาปฏิบัติ จะทำให้รู้อย่างนี้ได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ นี่คือ สัจจบารมี
~ คนที่รู้ว่าสำนักปฏิบัติไม่ได้ทำให้เข้าใจธรรม เป็นผู้ที่เข้าใจตรง จึงเป็นสัจจบารมี ไม่เปลี่ยนเลย ไม่ว่าทุกชาติ มั่นคง
~ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เห็นจริงๆ เดี๋ยวนี้เกิดดับ จำเดี๋ยวนี้จริงๆ เกิดดับ ทุกอย่างที่มีจริงๆ เกิดดับ ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
~ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเท่านั้น จนกว่าจะรู้ความจริง
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเริ่มต้นตามลำดับ
~ ปริยัติ หมายความว่า เป็นความรอบรู้ความจริงที่มั่นคงว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
~ ความเข้าใจถูก ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย แต่เริ่มรู้ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แหละ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ และจะต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น จึงเป็นความเห็นที่ถูกต้อง
~ ค่อยๆ ปลูกฝังความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา สิ่งที่มีเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป นี่เป็นหนทางที่ละเอียดที่ลึกซึ้ง ที่จะต้องเข้าใจสิ่งที่มีตามปกติโดยความเป็นอนัตตา ไม่มีใครไปทำ เกิดแล้วทั้งหมด
~ เห็นเกิดแล้วดับ ได้ยินเกิดแล้วดับ ทุกอย่างเกิดแล้วดับเร็วมาก จนเหมือนไม่มีอะไรดับเลย
~ เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ นี่เป็นหนทางละคลายความไม่รู้และความติดข้องว่าสิ่งนั้น เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุต่างๆ
~ ต้องเข้าใจเห็น ต้องเข้าใจได้ยิน ต้องเข้าใจคิด ต้องเข้าใจชอบ ต้องเข้าใจโกรธ ทุกอย่างที่มีจริง เมื่อเข้าใจแล้วก็เริ่มคลายความติดข้องว่าสิ่งนั้น เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งต่างๆ ทีละเล็กทีละน้อย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของธรรมเท่าที่คนอื่นจะรู้ได้ พระองค์ทรงแสดงคำที่ทำให้คนอื่นเริ่มเข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย แต่มีสิ่งที่เป็นจริงแต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
~ ไม่มีคุณอาคิล ตั้งแต่เกิดจนตาย เกิดอีกก็ไม่ใช่ๆ แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นเห็นเกิด เป็นได้ยินเกิด เป็นคิดเกิด เป็นจำเกิด เป็นชอบเกิด เป็นไม่ชอบเกิด ทั้งหมดเป็นธรรมที่มีจริง
~ ต้องเป็นคนที่ตรงต่อความจริง จึงเป็นบารมีที่จะทำให้รู้ความจริงได้ว่า อะไรจริง อะไรถูก อะไรผิด
~ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ อย่างหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร รู้ไม่ได้ (คือ ไม่ใช่สภาพรู้) ต้องเริ่มอย่างนี้ จึงศึกษาธรรมต่อไปได้ เพราะว่า พอเข้าใจอย่างนี้ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ก็รู้ว่า หมายถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไม่เหมือนกับคำของใครที่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ความจริงต้องต่างกับคำของผู้อื่นทั้งหมดที่ไม่รู้ความจริง
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะเข้าใจได้จนประจักษ์แจ้งความจริงเช่นที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจังแล้ว
~ สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่า “ธมฺม” หมายความถึง สิ่งที่มีจริง ทุกอย่างมีจริง ใครเปลี่ยนไม่ได้ ถูกไหม?
~ ธัมมตา (ธรรมดา) หมายความถึง ความเป็นไปของธรรมนั้น เป็นอื่นไม่ได้ ไม่ใช่มีใครต้องบอกให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ธรรมทั้งหลายทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สั่งให้ธรรมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ได้ไหม? ไม่ได้
~ ความเห็นผิด เป็นธรรมหรือเปล่า ความไม่รู้ความไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เป็นธรรมหรือเปล่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติคำต่างๆ เพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงธรรมอะไร ทุกคำที่พระองค์ตรัส เพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งเป็นธรรม ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น
~ ไพเราะที่สุดคือคำที่กล่าวถึงความจริง ไม่มีอะไรที่จะไพเราะและงามเท่า เพราะว่า เป็นความจริงถึงที่สุด
~ ความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นๆ จะทำให้สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มี ตามที่ได้เข้าใจขึ้น
~ ไม่ว่าโลกไหน โลกนี้ เทวโลก หรือ ที่ไหนก็ตาม มีสภาพธรรม ๒ อย่าง ซึ่งต่างกัน ปะปนกันไม่ได้ เป็นอย่างเดียวกันไม่ได้ คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้นรู้ อีกสภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไรเลย คิดไม่ได้ ชอบไม่ได้ รู้สึกไม่ได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงบัญญัติคำให้หมายความถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรู้ ว่า “นามธรรม” มีธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะรู้ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติใช้คำว่า “รูป” หรือ “รูปธรรม”
~ ต้องไม่ลืมว่า ถ้าบอกว่าเป็นธรรม ต้องไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้นเท่านั้น แล้วก็ดับไป
~ โกรธ มีจริง ชอบมีจริง ไม่รู้มีจริง เห็นผิด มีจริง เป็นนามธรรม (ที่เป็นเจตสิก) ไม่ใช่จิต
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด เพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่มี ให้รู้ว่า ไม่มีเรา
~ ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ เป็นธรรม จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) อยู่ตรงนี้ ก็เข้าใจว่าเรียนเรื่องจิต เจตสิก เป็นเรื่อง เป็นคำ แต่ไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ จนกว่าจะรู้ว่า เรียนเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...