พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. อุปปฏิกสูตร อินทรีย์ ๕ มีนิมิต มีเหตุ มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย

 
บ้านธัมมะ
วันที่  11 ต.ค. 2564
หมายเลข  37950
อ่าน  375

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 55

๑๐. อุปปฏิกสูตร

อินทรีย์ ๕ มีนิมิต มีเหตุ มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 31]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 55

๑๐. อุปปฏิกสูตร

อินทรีย์ ๕ มีนิมิต มีเหตุ มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย

[๙๕๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ทุกขินทรีย์ ๑ โทมนัสสินทรีย์ ๑ สุขินทรีย์ ๑ โสมนัสสินทรีย์ ๑ อุเบกขินทรีย์ ๑.

[๙๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ทุกขินทรีย์เกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ทุกขินทรีย์นี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา และทุกขินทรีย์นั้นมีนิมิต มีเหตุ มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย แต่จะอนุมานเอาว่า ทุกขินทรีย์นั้นไม่ต้องมีนิมิต ไม่มีเหตุ ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ไม่มีปัจจัย จักเกิดขึ้นได้ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เธอย่อมรู้ชัดทุกขินทรีย์ เหตุเกิดแห่งทุกขินทรีย์ ความดับทุกขินทรีย์ และข้อปฏิบัติเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือ ในที่นี้ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้รู้แล้วซึ่งความดับแห่งทุกขินทรีย์ และน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 56

[๙๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว โทมนัสสินทรีย์เกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า โทมนัสสินทรีย์เกิดขึ้นแล้วแก่เรา และโทมนัสสินทรีย์นั้นมีนิมิต มีเหตุ มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย แต่จะอนุมานเอาว่า โทมนัสสินทรีย์นั้นไม่ต้องมีนิมิต ไม่มีเหตุ ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ไม่มีปัจจัย จักเกิดขึ้นได้ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เธอย่อมรู้ชัดโทมนัสสินทรีย์ เหตุเกิดแห่งโทมนัสสินทรีย์ ความดับแห่งโทมนัสสินทรีย์ และข้อปฏิบัติเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งโทมนัสสินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็โทมนัสสินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าทุติยฌาน อันมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ โทมนัสสินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่นี้ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้รู้แล้วซึ่งความดับแห่งโทมนัสสินทรีย์และน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น.

[๙๕๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ประมาท มีความเพียร มีความเด็ดเดี่ยว สุขินทรีย์เกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า สุขินทรีย์นี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา และสุขินทรีย์นั้นมีนิมิต มีเหตุ มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย แต่จะอนุมานเอาว่า สุขินทรีย์นั้นไม่ต้องมีนิมิต ไม่มีเหตุ ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ไม่มีปัจจัย จักเกิดขึ้นได้ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เธอย่อมรู้ชัดสุขินทรีย์ เหตุเกิดแห่งสุขินทรีย์ ความดับแห่งสุขินทรีย์ และข้อปฏิบัติเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งสุขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็สุขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป เข้าตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มี

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 57

อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข สุขินทรีย์เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่เหลือในที่นี้ ภิกษุนี้ เรากล่าวว่า ได้รู้แล้วซึ่งความดับแห่งสุขินทรีย์ และน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น.

[๙๖๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว โสมนัสสินทรีย์เกิดขึ้น เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า โสมนัสสินทรีย์นี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา และโสมนัสสินทรีย์นั้นมีนิมิต มีเหตุ มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย แต่จะอนุมานเอาว่า โสมนัสสินทรีย์นั้นไม่ต้องมีนิมิต ไม่มีเหตุ ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ไม่มีปัจจัย จักเกิดขึ้นได้ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เธอย่อมรู้ชัดโสมนัสสินทรีย์ เหตุเกิดแห่งโสมนัสสินทรีย์ ความดับแห่งโสมนัสสินทรีย์ และข้อปฏิบัติเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งโสมนัสสินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็โสมนัสสินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข และละทุกข์ละสุขและดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ โสมนัสสินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่นี้ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้รู้แล้วซึ่งความดับแห่งโสมนัสสินทรีย์ และน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น.

[๙๖๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว อุเบกขินทรีย์เกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า อุเบกขินทรีย์ นี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา และอุเบกขินทรีย์นั้นมีนิมิต มีเหตุ มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย แต่จะอนุมานเอาว่า อุเบกขินทรีย์นั้นไม่ต้องมีนิมิต ไม่มีเหตุ ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ไม่มีปัจจัย จักเกิดขึ้นได้ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เธอย่อมรู้ชัดอุเบกขินทรีย์ เหตุเกิดแห่งอุเบกขินทรีย์ ความดับแห่งอุเบกขินทรีย์ และข้อปฏิบัติเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งอุเบกขินทรีย์ที่เกิดขึ้น

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 58

แล้ว ก็อุเบกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนโดยประการทั้งปวงแล้ว เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ อุเบกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่เหลือในที่นี้ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้รู้แล้วซึ่งความดับแห่งอุเบกขินทรีย์ และน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น.

จบอุปปฏิกสูตรที่ ๑๐

จบสุขินทริยวรรคที่ ๔

อรรถกถาอุปปฏิกสูตร

อุปปฏิกสูตรที่ ๑๐.

ยถาธรรมเทศนาที่ไม่จำเป็นต้องแสดงพึงทราบว่า ชื่อว่าเป็นสูตรที่นอกเหนือไปจากลำดับ (ไม่เข้าลำดับ) เหมือนอย่างสูตรที่เหลือในอินทริยวิภังค์แม้ที่กล่าวแล้วตามลำดับนี้.

ในสูตรที่ ๑๐ นั้น คำทั้งหมดเป็นต้นว่า นิมิต เป็นคำใช้แทนปัจจัยนั่นเอง.

คำว่า และย่อมรู้ชัดทุกขินทรีย์ คือ ย่อมรู้ด้วยอำนาจทุกขสัจนั่นเอง.

คำว่า ทุกฺขินฺทริยสมุทยํ คือ วิญญาณที่สหรคตด้วยทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ถูกหนามตำเอา ถูกเรือดกัด หรือถูกรอยย่นที่ปูนอนกระทบ ย่อมรู้ชัดสิ่งนั้นว่าเป็นเหตุให้เกิดขึ้นพร้อมของทุกขินทรีย์นั้น.

พึงทราบสมุทัย ด้วยอำนาจเหตุแห่งอินทรีย์เหล่านั้นแม้ในบทเป็นต้นว่า โทมนสฺสินฺทริยสมุทยํ ข้างหน้า.

โทมนัสสินทรีย์ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจความฉิบหายแห่งสังขารข้างนอกมีบาตรและจีวรเป็นต้น หรือแห่งเหล่าสัตว์มีสัทธิวิหาริกเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้ ย่อมรู้ชัดความฉิบหายแห่งสังขารและสัตว์

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 59

เหล่านั้นว่าเป็นสมุทัยแห่งโทมนัสสินทรีย์นั้น.

ผู้ที่กินอาหารอย่างดีแล้ว นอนบนที่นอนอย่างประเสริฐ ย่อมเกิดสุขินทรีย์ขึ้นด้วยการสัมผัสมีการนวดมือและเท้าและลมที่เกิดจากพัดใบตาลเป็นต้น ย่อมรู้ชัดผัสสะนั้นว่าเป็นเหตุของสุขินทรีย์นั้น.

ส่วนโสมนัสสินทรีย์ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจการได้เฉพาะสัตว์และสังขารที่น่าชื่นใจมีประการที่กล่าวมาแล้ว ย่อมรู้ชัดการได้เฉพาะนั้น ว่าเป็นเหตุแห่งโสมนัสสินทรีย์นั้น.

ส่วนอุเบกขินทรีย์ย่อมเกิดขึ้นด้วยอาการที่เป็นกลางๆ ย่อมรู้ชัดอาการที่เป็นกลางๆ ในสัตว์และสังขารนั้นว่าเป็นเหตุแห่งอุเบกขินทรีย์นั้น.

ก็แหละคำชี้ขาดไปพร้อมๆ กันในคำว่า ทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับสิ้นไปโดยไม่มีเหลือในที่ใด ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดแล้วจากกามทั้งหลายเป็นต้น ดังต่อไปนี้.

แท้จริง ทุกขินทรีย์ย่อมดับสิ้นไปในขณะอุปจาระแห่งฌานที่ ๑ ทีเดียว ทุกขินทรีย์ย่อมเป็นอันละได้แล้ว. โทมนัสเป็นต้นย่อมดับสิ้นไปในอุปจารขณะแห่งฌานที่ ๒ เป็นต้น.

แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ความดับสิ้นไปในฌานทั้งหลายนั่นเองนี้แล (ก็ย่อมมี) เพราะความที่โทมนัสเป็นต้นเหล่านั้นดับสิ้นไปเป็นอย่างยิ่ง.

จริงอยู่ ความดับสิ้นไปเป็นอย่างยิ่งแห่งโทมนัสเป็นต้นเหล่านั้น ก็คือความดับสิ้นไปในฌานที่ ๑ เป็นต้นนั่นเอง.

ก็แหละความดับสิ้นไปนั่นเอง ก็คือความดับสิ้นไปอย่างยิ่งด้วยอุปจารขณะ.

จริงอย่างนั้น ความเกิดขึ้นแห่งทุกขินทรีย์ แม้ที่ดับสิ้นไปแล้วในอุปจาระแห่งฌานที่ ๑ ซึ่งมีอาวัชชนจิตต่างๆ ด้วยสัมผัสแห่งเหลือบยุงและลมเป็นต้น ด้วยความอบอ้าวที่ไม่คงที่ หรือด้วยมีดพร้า หรือว่าทุกขินทรีย์ที่ดับสิ้นไปแล้วในอุปจาระในภายในอัปปนาก็ไม่ใช่ และทุกขินทรีย์นั้นก็ไม่ใช่ดับหมดไปอย่างดีด้วย.

แต่กายย่อมเป็นสุข น่าใคร่อย่างทั่วถึงด้วยการแผ่ปีติไปภายในอัปปนา เพราะไม่ถูกสิ่งที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกำจัดได้ ชื่อว่าเป็นสุขแม้เพราะความเป็นของที่น่าใคร่ ทุกขินทรีย์ จึงชื่อว่าย่อมดับลงไปอย่างดี

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 60

เพราะถูกฝ่ายตรงกันข้ามกำจัดไป.

และเพราะเมื่อโทมนัสสินทรีย์ถูกละในอุปจาระแห่งฌานที่ ๒ ซึ่งมีอาวัชชนจิตแตกต่างกันนั่นแหละ ฉะนั้น โทมนัสสินทรีย์นั้น เมื่อมีความลำบากกาย และใจถูกเบียดเบียนเพราะความตรึกตรองเป็นปัจจัย ก็เกิดขึ้น เพราะไม่มีความตรึกตรองนั่นแหละ สุขินทรีย์จึงเกิดขึ้น ก็และเกิดขึ้นในที่ใด ในที่นั้น ก็เป็นอัปปนาเพราะไม่มีความตรึกตรอง.

ก็ความตรึกตรองย่อมเกิดขึ้นในอุปจาระแห่งฌานที่ ๒ อย่างนี้.

หากจะพึงมีการเกิดขึ้นแห่งสุขินทรีย์นั้นในอุปจาระแห่งฌานที่ ๒ ก็ไม่ใช่เกิดในฌานที่สองเลยเพราะละปัจจัยได้แล้ว แม้เมื่อสุขินทรีย์ถูกละในอุปจาระแห่งฌานที่ ๓ ก็อย่างนั้น พึงมีการเกิดขึ้นแห่งกายที่รูปอันประณีตซึ่งมีปีติเป็นสมุฏฐานถูกต้องแล้ว แต่หาใช่เกิดขึ้นในฌานที่ ๓ ไม่.

เพราะปีติอันเป็นปัจจัยแห่งสุขดับไปหมดแล้วด้วยฌานที่สาม ในอุปจาระแห่งฌานที่ ๔ ก็เหมือนกัน เพราะยังไม่มีอุเบกขาที่ถึงอัปปนา เหตุว่าอยู่ใกล้โสมนัสสินทรีย์ที่แม้จะละได้แล้ว ก็อาจจะมีการเกิดขึ้นได้ เพราะยังก้าวล่วงไม่ได้อย่างถูกต้อง แต่ก็ไม่ใช่เกิดขึ้นในฌานที่ ๔ เลย เพราะฉะนั้น ในฌานที่ ๔ นี้ ทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้วจึงดับไปโดยไม่เหลือ.

การถือเอาโดยไม่เหลือในฌานนั้นๆ ท่านได้ทำแล้วดังที่ว่ามานี้.

ก็คำใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในที่นี้ว่า ย่อมน้อมจิตไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น ในคำนั้นพึงทราบใจความอย่างนี้ว่า บุคคลเป็นผู้ที่ยังไม่ได้ ย่อมน้อมจิตไป เพื่อประโยชน์การเกิดขึ้น ฉะนั้น บุคคลเป็นผู้ได้ ก็ย่อมน้อมจิตไปเพื่อประโยชน์การเข้าถึง.

ก็แลวาระการพิจารณาในสองสูตรนี้ พระองค์ได้ตรัสไว้ดังที่กล่าวมานี้.

จบอรรถกถาอุปปฏิกสูตรที่ ๑๐

จบสุขินทริยวรรควรรณนาที่ ๔

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 61

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. สุทธกสูตร

๒. โสตาปันนสูตร

๓. อรหันตสูตร

๔. ปฐมสมณพราหมณสูตร

๕. ทุติยสมณพราหมณสูตร

๖. ปฐมวิภังคสูตร

๗. ทุติยวิภังคสูตร

๘. ตติยวิภังคสูตร

๙. อรหันตสูตร

๑๐. อุปปฏิกสูตร และอรรถกถา.