พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. โมคคัลลานสูตร พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์

 
บ้านธัมมะ
วันที่  12 ต.ค. 2564
หมายเลข  37998
อ่าน  452

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 148

๔. โมคคัลลานสูตร

พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 31]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 148

๔. โมคคัลลานสูตร

พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์

[๑๑๕๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมารดา ในบุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุมากรูปที่อยู่ภายใต้ปราสาทของมิคารมารดา เป็นผู้ฟุ้งซ่าน อวดตัว มีจิตกวัดแกว่ง ปากกล้า พูดจาอื้อฉาว ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น คิดจะสึก ไม่สำรวมอินทรีย์.

[๑๑๕๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านพระมหาโมคคัลลานะมาตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ สพรหมจารีเหล่านี้ ที่อาศัยอยู่ภายใต้ปราสาทของมิคารมารดา เป็นผู้ฟุ้งซ่าน อวดตัว มีจิตกวัดแกว่ง ปากกล้า พูดจาอื้อฉาว ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น คิดจะสึก ไม่สำรวมอินทรีย์ ไปเถิดโมคคัลลานะ เธอจงยังภิกษุเหล่านั้นให้สังเวช. ท่านพระมหาโมคคัลลานะทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว แสดงอิทธาภิสังขาร ให้ปราสาทของมิคารมารดาสะเทือนสะท้านหวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 149

[๑๑๕๖] ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นเกิดความสลดใจ ขนพองสยองเกล้า ได้ไปยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วพูดกันว่า น่าอัศจรรย์หนอท่าน ไม่เคยมีมาแล้ว ลมก็ไม่มี ทั้งปราสาทของมิคารมารดานี้ ก็มีรากลึก ฝังไว้ดีแล้ว จะโยกคลอนไม่ได้ ก็แหละเมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ปราสาทนี้สะเทือนสะท้านหวั่นไหว.

[๑๑๕๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังที่ซึ่งภิกษุเหล่านั้นยืนอยู่แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเกิดความสลดใจ ขนพองสยองเกล้า ไปยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง เพราะเหตุอะไร ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ลมก็ไม่มี ทั้งปราสาทของมิคารมารดานี้ ก็มีรากลึก ฝังไว้ดีแล้ว จะโยกคลอนไม่ได้ ก็แหละเมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ปราสาทนี้สะเทือนสะท้านหวั่นไหว.

[๑๑๕๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุโมคคัลลานะประสงค์จะให้เธอทั้งหลายสังเวช จึงทำปราสาทของมิคารมารดาให้สะเทือนสะท้านหวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะได้เจริญธรรมเหล่าไหน เพราะได้กระทำให้มากซึ่งธรรมเหล่าไหน.

ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอประทานพระวโรกาส ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแล้ว จักทรงจำไว้.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 150

[๑๑๕๙] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงฟังเถิด ภิกษุโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ เป็นไฉน ภิกษุโมคคัลลานะย่อมเจริญอิทธิบาทประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร... วิริยสมาธิ... จิตตสมาธิ... วิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ว่า วิมังสาของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีจิตเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่ ภิกษุโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล.

[๑๑๖๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้ ภิกษุโมคคัลลานะย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง ฯลฯ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้.

[๑๑๖๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้ ภิกษุโมคคัลลานะย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.

จบโมคคัลลานสูตรที่ ๔

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 151

อรรถกถาโมคคัลลานสูตร

โมคคัลลานสูตรที่ ๔.

ผู้ฟุ้งเป็นปกติ คือ ผู้มีจิตหวั่นไหว ชื่อว่าเป็น ผู้ฟุ้งซ่าน.

จริงอยู่ จิตย่อมหวั่นไหวในอารมณ์อย่างหนึ่งด้วยอุทธัจจะเหมือนชายธงถูกลมพัดฉะนั้น.

คำว่า อวดตัว คือ ลำพอง. มีคำอธิบายว่า มักถือตัวอันหาสาระมิได้.

คำว่า มีจิตกวัดแกว่ง คือ ประกอบด้วยความกวัดแกว่งในบาตรจีวรและเครื่องประดับเป็นต้น.

คำว่า ปากกล้า คือ ปากจัด มีคำอธิบายว่า มีคำพูดกล้าแข็ง.

คำว่า พูดจาอื้อฉาว คือ ไม่ยั้งปากคอ ได้แก่ พูดตลอดวันบ้าง พูดคำที่ไร้ประโยชน์บ้าง.

คำว่า ลืมสติ คือ ลืมความระลึกได้.

คำว่า ไม่มีสัมปชัญญะ คือ เว้นจากปัญญา.

คำว่า มีจิตไม่ตั้งมั่น คือ เว้นจากอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ.

คำว่า วิพฺภนฺตจิตฺตา คือ มีจิตหมุนผิดด้วยความฟุ้งซ่านที่ได้โอกาสเพราะเว้นจากสมาธิ.

คำว่า ปากตินฺทฺริยา คือ ไม่สำรวมอินทรีย์.

คำว่า แสดงฤทธิ์ คือ เข้าอาโปกสิณออกแล้ว อธิษฐานส่วนแห่งแผ่นดินที่ตั้งปราสาทว่าจงเป็นน้ำ เหาะขึ้นฟ้าซึ่งมีปราสาทตั้งอยู่บนหลังน้ำ แล้วเอานิ้วฟาดลงไป.

คำว่า มีรากลึก คือ หลุมลึก หมายความว่า ฝังเข้าไปสู่ส่วนแผ่นดินที่ลึก.

คำว่า ฝังไว้ดีแล้ว คือ ที่ฝังมิดลงไปอย่างดี คือตอกเข็มตั้งไว้อย่างดี.

ในสูตรนี้ ทรงแสดงฤทธิ์ที่มีอภิญญาเป็นบาท.

จบอรรถกถาโมคคัลลานสูตรที่ ๔