พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. ติรัจฉานกถาสูตร ว่าด้วยการพูดติรัจฉานกถา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  14 ต.ค. 2564
หมายเลข  38152
อ่าน  333

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 415

๑๐. ติรัจฉานกถาสูตร

ว่าด้วยการพูดติรัจฉานกถา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 31]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 415

๑๐. ติรัจฉานกถาสูตร

ว่าด้วยการพูดติรัจฉานกถา

[๑๖๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าพูดติรัจฉานกถา ซึ่งมีหลายอย่าง คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะถ้อยคำที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย... นิพพาน ก็เมื่อเธอทั้งหลายจะพูด พึงพูดว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะถ้อยคำนี้ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย... นิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

จบติรัจฉานกถาสูตรที่ ๑๐

จบสมาธิวรรคที่ ๑

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 416

อรรถกถาติรัจฉานกถาสูตร

พึงทราบอธิบายในติรัจฉานกถาสูตรที่ ๑๐.

บทว่า อเนกวิหิตํ ได้แก่ มีหลายอย่าง.

คำว่า ติรัจฉานกถา คือ ถ้อยคำที่เป็นเดรัจฉาน นอกทางสวรรค์และนิพพาน เพราะไม่เป็นการนำออกจากทุกข์.

ในคำว่า เรื่องพระราชา ดังนี้เป็นต้น ถ้อยคำที่ปรารภพระราชาแล้ว เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า พระเจ้ามหาสมมต พระเจ้ามันธาตา พระเจ้าธรรมาโศก มีอานุภาพมากอย่างนี้ ชื่อว่า เรื่องพระราชา.

แม้ในเรื่องโจรเป็นต้นก็นัยนี้.

ก็เรื่องความรักอาศัยเรือนโดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาพระราชาเหล่านั้น พระราชาพระองค์นั้น มีรูปงาม น่าดู ชื่อว่า ติรัจฉานกถา.

ก็ถ้อยคำที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้ผู้มีชื่อนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ได้ถึงความสิ้นไป เสื่อมไปแล้ว ตั้งอยู่ในความเป็นกรรมฐาน แม้ในหมู่โจร การกล่าวคำแสดงความรักอาศัยเรือนว่า คำเหล่านั้น ได้มีแล้ว เพราะอาศัยกรรมของพวกโจรนั้นว่า มูลเทพเป็นผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้ ชื่อว่า ติรัจฉานกถา.

ในการรบ ถ้อยคำด้วยอำนาจความใคร่และความยินดีว่า คนโน้น ถูกคนโน้น แทงในการรบเป็นต้นอย่างนี้ว่า ถูกฆ่าแล้วอย่างนี้นั่นเทียว ชื่อว่า ติรัจฉานกถา.

ก็ถ้อยคำที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า แม้พวกนั้นก็ถึงความสิ้นไปจัดเป็นกรรมฐานในที่ทุกแห่งนั่นเทียว.

อีกอย่างหนึ่ง แม้ในเรื่องข้าวเป็นต้น การกล่าวด้วยอำนาจความใคร่และความยินดีว่า พวกเราจะเคี้ยว บริโภค ดื่มข้าวเป็นต้นที่มีสีมีกลิ่น ถึงพร้อมด้วยรสและผัสสะ ย่อมไม่ควร.

ส่วนการกล่าว

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 417

เรื่องที่มีประโยชน์ก่อนว่า พวกเราได้ถวายข้าว น้ำดื่ม ผ้า ยาน ที่นอน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ที่ถึงพร้อมด้วยสีเป็นต้น แก่ผู้มีศีลทั้งหลาย พวกเราได้ทำการบูชาที่เจดีย์ ดังนี้ ก็ควร.

แม้ในพวกญาติเป็นต้น การกล่าวด้วยอำนาจความยินดีว่า ญาติทั้งหลายของพวกเรา เป็นผู้แกล้วกล้าสามารถ หรือว่า พวกเราเที่ยวด้วยยานอันงดงามอย่างนี้ในกาลก่อน ดังนี้ ย่อมไม่ควร.

ก็ควรกล่าวถ้อยคำว่า ญาติทั้งหลายของพวกเราแม้เหล่านั้น ทำสิ่งมีประโยชน์แล้วถึงความสิ้นไป หรือว่า ครั้งก่อนพวกเราได้ถวายยานเห็นปานนี้แก่พระสงฆ์.

แม้ในเรื่องบ้านเป็นต้น การกล่าวด้วยอำนาจบ้านที่อยู่แล้วดี อยู่ไม่ดีและหาอาหารง่ายยากเป็นต้น หรือด้วยความยินดีอย่างนี้ว่า ผู้ที่อยู่บ้านโน้นแกล้วกล้าสามารถ ดังนี้ ไม่ควร.

ก็การกล่าวถึงเรื่องบ้านนั้นว่า คนทั้งหลาย ทำสิ่งให้ประโยชน์ มีศรัทธา เลื่อมใสแล้ว หรือว่า คนเหล่านั้นถึงความสิ้นไปเสื่อมไป ดังนี้ ไม่ควร.

แม้ในการกล่าวเรื่องอำเภอ นครและชนบท ก็นัยนี้.

แม้การกล่าวเรื่องผู้หญิงอาศัยผิวและทรวดทรงเป็นต้นแล้ว ไม่ควรเพื่อจะกล่าวด้วยอำนาจความยินดีเป็นต้น.

การกล่าวอย่างนี้ว่า คนพวกนี้มีศรัทธาเลื่อมใสแล้วถึงความสิ้นไป ดังนี้เทียว ก็ควร.

แม้การกล่าวเรื่องคนกล้า ไม่ควรเพื่อจะกล่าว ด้วยอำนาจความยินดีว่า นักรบชื่อว่า นันทมิตเป็นผู้แกล้วกล้า.

การกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นผู้มีศรัทธา เลื่อมใสแล้วถึงความสิ้นไป ดังนี้เทียว ก็ควร.

ปาฐะว่าสูรกถา ดังนี้บ้าง การกล่าวถึงผู้กล้าหาญแม้นั้นย่อมไม่ควรด้วยอำนาจความยินดีว่า ขึ้นชื่อว่า หญิงเห็นปานนี้ เป็นผู้มีบิดา ชื่อว่า สูระ มีมารดาชื่อว่า ฤดี ดังนี้นั่นเทียว.

ส่วนการกล่าวด้วย

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 418

อำนาจโทษนั่นแหละ ย่อมควรโดยนัย เป็นต้นว่า ผู้ประพฤติวัตรของผู้เป็นบ้า.

แม้การกล่าวเรื่องตรอก ย่อมไม่ควรเพื่อจะกล่าว ด้วยอำนาจความยินดีว่า ตรอกโน้น สร้างไว้ดีแล้ว หรือว่า พวกตนที่อยู่ตรอกโน้นแกล้วกล้า มีความสามารถดังนี้.

การกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเขาเป็นผู้มีศรัทธา เลื่อมใสแล้วถึงความสิ้นไป ดังนี้ ก็ควร.

ถ้อยคำว่าด้วยเรื่องที่ตั้งหม้อ ถ้อยคำว่าด้วยเรื่องท่าน้ำ ท่านเรียกว่า เรื่องท่าน้ำ.

หรือว่าด้วยเรื่องนางทาสีตักน้ำด้วยหม้อ.

การกล่าวด้วยอำนาจความยินดีว่า แม้นางเป็นผู้น่าเลื่อมใส ฉลาดที่จะฟ้อนขับ ดังนี้ ไม่ควร.

การกล่าวโดยนัยเป็นต้นว่า มีศรัทธา เลื่อมใสแล้ว ดังนี้เทียว ก็ควร.

คำว่า เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว ได้แก่ เรื่องญาติที่ล่วงลับไปแล้ว.

การวินิจฉัยในเรื่องญาติที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ก็เหมือนกับเรื่องญาติที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละ.

คำว่า เรื่องเบ็ดเตล็ด ได้แก่ เรื่องที่หาประโยชน์มิได้ พ้นจากเรื่องเกิดก่อนและหลัง ที่เหลือมีสภาพต่างๆ.

คำว่า กล่าวเรื่องโลก คือ การกล่าวเล่นๆ ว่าด้วยเรื่องโลกเป็นต้นอย่างนี้ว่า โลกนี้ใครสร้าง คนชื่อโน้นสร้าง กาขาว เพราะมีกระดูกขาว นกตะกรุมแดง เพราะมีโลหิตแดง.

การกล่าวเรื่องทะเลอันไม่มีประโยชน์เป็นต้นอย่างนี้ว่า เพราะเหตุไร ทะเลจึงชื่อว่า สาคร ชื่อว่า สมุทร เพราะรู้ได้ด้วยปลายมือว่า ชื่อว่าสาครที่เราขุดแล้ว เพราะสาครเทพขุดแล้ว ชื่อว่า กล่าวเรื่องทะเล.

การกล่าวเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ทั่วๆ ไปว่า เจริญ เสื่อม แล้วกล่าวเรื่องที่เป็นไป ชื่อว่า กล่าวเรื่องความเจริญและความเสื่อม.

ก็ในเรื่องกล่าวความเจริญและความเสื่อมนี้ ความเที่ยงชื่อว่า ความเจริญ ความขาดสูญชื่อว่า ความเสื่อม

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 419

ความก้าวหน้าชื่อว่า ความเจริญ ความหายนะชื่อว่า ความเสื่อม กามสุขชื่อว่า ความเจริญ การทำตนให้ลำบาก ชื่อว่า ความเสื่อม.

รวมกับความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ ๖ อย่างเหล่านี้ จึงเป็นการกล่าวเรื่องเดรัจฉาน ๓๒ ด้วยประการฉะนี้.

คำที่เหลือในบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้นแล.

จบอรรถกถาติรัจฉานกถาสูตรที่ ๑๐

จบสมาธิวรรควรรณนาที่ ๑

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. สมาธิสูตร

๒. ปฏิสัลลานสูตร

๓. ปฐมกุลปุตตสูตร

๔. ทุติยกุลปุตตสูตร

๕. ปฐมสมณพราหมณสูตร

๖. ทุติยสมณพราหมณสูตร

๗. วิตักกสูตร

๘. จินตสูตร

๙. วิคคาหิกกถาสูตร

๑๐. ติรัจฉานกถาสูตร และอรรถกถา.