การเจริญปัญญาในขั้นการฟัง
ตามความเข้าใจของกระผม การเจริญปัญญาในขั้นการฟังที่สำคัญ มีดังนี้
๑. ตั้งใจฟัง และพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และพิจารณาตามเพื่อให้เป็นความเข้าใจของตนเอง เพราะการฟัง ท่านอ.สุจินต์ฯ หรือวิทยากร อธิบายคือ การที่เรากำลังฟังความเข้าใจของเขา ดังนั้น จึงต้องพิจารณาตาม เพื่อให้เกิดเป็นความเข้าใจของเราเองสะสมไป
๒. ไม่ควรนำความเห็นที่เราสะสมมานาน มาปะปนในการพิจารณาธรรม ที่ได้ยินได้ฟังเพราะจะทำให้สับสน และเข้าใจได้ยากขึ้น
๓. ไม่ควรศึกษาแต่เรื่องราว หรือชื่อของธรรม เพราะมีสภาพธรรมปรากฏ ให้พิจารณาตลอดเวลาทาง ๖ ทวาร เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ในสภาพธรรมในขณะนี้
๔. ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เป็นเรื่องของความเข้าใจพระธรรม ที่ทรงแสดงจริงๆ ไม่มีการที่จะไปปฏิบัติ หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น เป็นเรื่องของปัญญาเจตสิก ทำหน้าที่เข้าใจสภาพธรรม ที่ปรากฏจริงๆ และไม่มีเราที่เข้าใจธรรม
๕. ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เสมือนที่ขณะนี้เราเข้าใจว่า เห็น คน สัตว์ สิ่งของ ในสิ่งที่ปรากฏทางตา โดยไม่ต้องคิดเป็นคำๆ เลย
๖. สภาพธรรมเกิดดับเร็วจนเห็นเหมือนเกิดพร้อมๆ กัน เกิดเพราะมีเหตุมีปัจจัย ดังนั้นขณะต่อๆ ไป สภาพธรรมใดจะเกิด ไม่สามารถรู้ได้เลย จนกว่าสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ด้วยความเข้าใจที่มั่นคง ในการเกิดดับของสภาพธรรม
ฟังเพื่อเข้าใจในสิ่งที่ฟังเท่านั้น ธรรมย่อมทำหน้าที่ของเขาเอง ไม่มีใครไปจัดการได้เลยและเป็นการละโลภะ ที่ต้องการผลจากการฟังด้วยครับ ขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ ธรรมรักษา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนาด้วยความจริงใจ
ขอโอกาส ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็นสักเล็กน้อย
ข้อ ๑ และข้อ ๔ เมื่อไม่มีเราที่เข้าใจธรรม ก็ไม่ควรจะมีความเข้าใจของเราหรือของใคร เพราะเป็นเพียงสภาวธรรมอย่างหนึ่ง คือปัญญาเจตสิก ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตามการสะสมในแต่ละภพ แต่ละชาติ ข้อ ๒ เป็นการยาก ที่จะไม่ให้ความเห็นผิด หรืออัตตสัญญา ที่สะสมมาเกิดขึ้นแทรก จึงต้องอาศัยกาลเวลา ในการอบรมเจริญปัญญา สะสมความเห็นถูกไปเรื่อยๆ จนมีกำลังเพิ่มขึ้น ข้อ ๖ เห็นความเป็นอนัตตา ของสภาพธรรม ในขั้นแรก คือ การประจักษ์ ในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมจริงๆ จนขาดการยึดถือว่าเป็นเรา ก่อนจะเห็นการเกิดดับซึ่งเป็นวิปัสสนาญานขั้นที่ ๓ และ ๔ ถ้าข้ามขั้นก็เป็นแต่เพียงความคิดนึก
ข้อ ๓ - ๕ ขออนุโมทนาในคำตอบ