ตอนหลับ โลกอะไรปรากฎ

 
chatchai.k
วันที่  15 ต.ค. 2564
หมายเลข  38262
อ่าน  111

เราไม่ได้เคยรู้เลยว่า ชั่วหนึ่งขณะที่สภาพธรรมปรากฏ มีอะไรบ้าง เกินวิสัยที่จะรู้ได้ แต่ก็เป็นอย่างนั้น เช่นในขณะนี้ มีโลกเห็น แน่ๆ โลกหนึ่งเกิดแล้ว เห็นอะไร เห็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นเอง แค่นี้ก็ไม่รู้ความจริง


ก็พบกันอีกตอนบ่าย โลกตอนเช้าหายไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่ เหลือโลกแต่ละขณะตอนนี้ ถ้าใครกำลังหลับอยู่ ก็คนละโลกแล้ว ใช่ไหม คือไม่มีโลกทางตาปรากฎ ไม่มีโลกทางหู ไม่มีโลกทางจมูก ไม่มีโลกทางลิ้น ไม่มีโลกทางกาย ไม่มีโลกทางใจปรากฎ แต่ยังไม่ตาย เพราะฉะนั้นโลกนั้นก็เป็นโลกที่เกิดดับ โดยไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า คือธรรมต้องรู้ว่าเป็นชีวิตจริงๆ แต่ละขณะเพียงแต่ว่า เราไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีเลย เราก็บอกว่าเราหลับ และตอนหลับ โลกอะไรปรากฎ มีไหม ไม่มี แต่ยังไม่ตาย

โลกนั้น แม้มีก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ว่าในขณะนี้ ความละเอียดก็คือว่า เราไม่ได้เคยรู้เลยว่า ชั่วหนึ่งขณะที่สภาพธรรมปรากฏ มีอะไรบ้าง เกินวิสัยที่จะรู้ได้ แต่ก็เป็นอย่างนั้น เช่นในขณะนี้ มีโลกเห็น แน่ๆ โลกหนึ่งเกิดแล้ว เห็นอะไร เห็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นเอง แค่นี้ก็ไม่รู้ความจริง กลายเป็นเห็นแล้วก็คิดนึกทันที โดยที่ไม่แยกว่าโลกทางตาเป็นโลกหนึ่ง ซึ่งต่างกับโลกทางใจ ซึ่งต่อกัน เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะมีเห็น ก็จะต้องมีคิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็จำว่าเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เวลาที่ได้ยินชั่วขณะนิดเดียว ดับแล้ว ก็ยังจำเป็นเรื่องเป็นราวสนทนากันเยอะแยะเลย

เมื่อสักครู่นี้กี่โลก นับโลกไม่ถ้วน เห็นมั้ย แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นแต่ละโลกด้วย เหมือนกับว่าเป็นเรื่องเดียวเลย ตั้งแต่เวลานั้นถึงเวลานี้ คุยกันเรื่องอะไรบ้าง แต่ถ้านับหนึ่งขณะจิต และในหนึ่งขณะจิต มีอะไรบ้าง อย่างขณะนี้ มีเห็น เมื่อสักครู่ก็มีเห็น และก็ฟังเรื่องเดียวกันหรือเปล่า เมื่อสักครู่นี้คุยกัน เรื่องนี้หรือเปล่า ก็เป็นเสียงใช่ไหม แต่พอคิด คนละโลก โลกเมื่อสักครู่นี้ เป็นโลกของตัวตน เป็นโลกของเรื่องราว เป็นเรื่องของการที่จะไม่ฟังให้เข้าใจความจริงว่า แม้เมื่อสักครู่นี้ก็มีเสียงปรากฏ แล้วก็มีคิดนึก แต่คนละเรื่อง เดี๋ยวนี้ก็มีเสียง แล้วก็มีได้ยิน แล้วก็มีคิดนึก แต่คนละเรื่อง

เพราะฉะนั้นเรื่องแต่ละเรื่อง ตามความคิดนึก ไม่เคยรู้ความจริงอย่างละเอียดเลย แต่ถ้ารู้ก็ดีกว่าไม่รู้มากมาย เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ ว่าโลกยังต่างกันตามความคิด โลกของพระอริยเจ้า กับโลกของผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย ไกลกันมาก แล้วทำไมเราต้องเข้าใจอย่างนี้ คนที่รู้ความจริง มีปัญญา มีความเข้าใจถูก หรือว่าไม่มีปัญญา ไม่เข้าใจถูก เห็นไหม อยู่ในโลกของความมืด ของความงมงาย ของความไม่รู้ความจริง กลับค่อยๆ ออกจากโลกมืด มาสู่โลกที่สว่าง แต่สว่างจนกระทั่งสามารถจะเห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏนี้หรือยัง ว่าเป็นโลกหนึ่งๆ ๆ แต่ละขณะก็เป็นแต่ละโลกๆ ๆ และโลกที่เกิดก็ดับไปๆ

เพราะฉะนั้นถ้าจะใช้คำว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง พระพุทธเจ้ายังทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงของธรรมว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นที่ว่าโลกมี ก็เมื่อมีสิ่งที่เกิด และดับ ถ้าไม่มีสิ่งที่เกิดแล้วดับจะมีโลกหรือไม่ คือเราอาจจะพูดตามพระธรรมได้หมดทุกอย่าง แต่ถ้าเราไตร่ตรองมากขึ้น ความเข้าใจของเราก็ค่อยๆ เป็นแสงสว่าง ทีละน้อยๆ ที่จะเห็นว่าแม้พระธรรมที่ทรงแสดง เป็นคำธรรมดา แต่ว่าความจริงของสิ่งนั้นมากมายมหาศาล และก็แสดงให้เห็นว่า การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมได้จริงๆ จนกระทั่งเป็นแสงสว่าง เป็นที่พึ่ง จะช้าหรือจะเร็ว จะมากหรือจะน้อย แม้แต่เพียงโลกทางตาโลกเดียว

รับฟัง และ อ่านเพิ่มเติม

สนทนาธรรมที่อุทยานแห่งชาติเขาเขียว


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ