อรรถกถาสูตรที่ ๔ ประวัติพระสุภูติเถระ
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 353
อรรถกถาสูตรที่ ๔
ประวัติพระสุภูติเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 353
อรรถกถาสูตรที่ ๔
ประวัติพระสุภูติเถระ
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้.
บทว่า ทกฺขิเณยฺยานํ แปลว่า ผู้ควรแก่ทักษิณา พระขีณาสพทั้งหลายเหล่าอื่น ก็ชื่อว่า พระทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ ในบทว่า ทกฺขิเณยฺยานํ นั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น พระเถระกำลังบิณฑบาตก็เข้าฌาน มีเมตตาเป็นอารมณ์ ออกจากสมาบัติแล้ว จึงรับภิกษาในเรือนทุกหลัง ด้วยทายกผู้ถวายภิกษาจักมีผลมาก เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ผู้ควรแก่ทักขิณา อัตตภาพของท่านงามดี รุ่งเรืองอย่างยิ่ง ดุจซุ้มประตูที่เขาประดับแล้ว และเหมือนแผ่นผ้าวิจิตร ฉะนั้น จึงเรียกว่า สุภูติ ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังต่อไปนี้ :-
เล่ากันว่า ท่านสุภูตินี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ยังไม่ทรงอุบัติขึ้น ได้บังเกิด ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในกรุงหงสวดี ญาติทั้งหลายขนานนามท่านว่า นันทมาณพ ท่านเจริญวัยแล้วเรียนไตรเพท ไม่เห็นสาระในไตรเพทนั้น พร้อมด้วยบริวารของตน มีมาณพประมาณ ๔๔,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นฤาษีอยู่ ณ เชิงบรรพต ทำอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดแล้ว ได้กระทำแม้อันเตวาสิกทั้งหลาย ให้ได้ฌานแล้ว. ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงบังเกิดในโลก ทรงอาศัยกรุงหงสวดีประทับอยู่ วันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูสัตวโลก
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 354
ทรงเห็นอรหัตตุปนิสัยของเหล่าชฏิลอันเตวาสิก ของนันทดาบส และความปรารถนาตำแหน่งสาวก ผู้ประกอบด้วยองค์ ๒ ของนันทดาบส จึงทรงปฏิบัติพระสรีระแต่เช้า ทรงถือบาตรและจีวรในเวลาเช้า เสด็จไปยังอาศรมของนันทดาบส โดยนัยที่ได้กล่าวแล้ว ในเรื่องของพระสารีบุตรเถระ ในที่นั้น พึงทราบการถวายผลไม้น้อยใหญ่ก็ดี การตกแต่งปุปผาสนะก็ดี การเข้านิโรธสมาบัติก็ดี โดยนัยที่กล่าวแล้ว.
ก็พระศาสดา ออกจากนิโรธสมาบัติ ทรงส่งพระสาวกองค์หนึ่ง ผู้ประกอบด้วยองค์ ๒ คือ อรณวิหารองค์ ๑ ทักขิไณยองค์ ๑ ว่า เธอจงการทำอนุโมทนาปุปผาสนะแก่คณะฤาษี ดังนี้ พระเถระนั้น อยู่ในวิสัยของตน พิจารณาพระไตรปิฎก กระทำอนุโมทนา เมื่อจบเทศนาของท่านแล้ว พระศาสดาจึงทรงแสดง (ธรรม) ด้วยพระองค์เอง เมื่อจบเทศนา ดาบสทั้ง ๔๔,๐๐๐ ได้บรรลุพระอรหัตทุกรูป ส่วนนันทดาบส ถือเอานิมิตแห่งภิกษุผู้อนุโมทนา ไม่อาจส่งญาณ ไปตามแนวแห่งเทศนาของพระศาสดาได้ พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ ไปยังภิกษุที่เหลือว่า เอถ ภิกฺขโว (จงเป็นภิกษุมาเถิด) ภิกษุทั้งหมดมีผมและหนวดอันตรธานแล้ว ครองบริขารอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ปรากฏดุจพระเถระ ๑๐๐ พรรษา
นันทดาบสถวายบังคมพระตถาคตแล้ว ยืนเฉพาะพระพักตร์ กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ภิกษุผู้กระทำอนุโมทนาปุปผาสนะ แก่คณะฤาษี มีนามว่าอะไร ในศาสนาของพระองค์ ตรัสว่า ภิกษุนี้เป็นเอตทัคคะ ด้วยองค์คือความมีปกติอยู่โดยไม่มีกิเลส ๑ ด้วยองค์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 355
ของภิกษุผู้ควรทักษิณา ๑ นันทดาบสได้ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยกรรมคือกุศลอันยิ่งที่ได้ทำมา ๗ วันนี้ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาสมบัติอื่น แต่ข้าพระองค์พึงเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๒ เหมือนอย่างพระเถระนี้ ในศาสนาของพระทศพลองค์หนึ่งในอนาคต. พระศาสดาทรงเห็นความไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์แล้ว เสด็จกลับไป. ฝ่ายนันทดาบสฟังธรรม ในสำนักพระทศพลตามสมควรแก่กาล ไม่เสื่อมจากฌานแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก. อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์มิได้กล่าวถึง กัลยาณกรรมของดาบสนี้ ในระหว่างไว้ ล่วงไปแสนกัป ท่านมาบังเกิดในเรือนแห่งสุมนเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี พวกญาติได้ขนานนามท่านว่า สุภูติ
ต่อมา พระศาสดาของพวกเรา ทรงบังเกิดในโลก อาศัยกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกเศรษฐี นำสินค้าที่ผลิตในกรุงสาวัตถี ไปยังเรือนของราชคฤห์เศรษฐีสหายของตน ทราบว่าพระศาสดาทรงอุบัติแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ซึ่งประทับอยู่ ณ สีตวัน ด้วยการเฝ้าครั้งแรกนั่นเอง ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทูลอาราธนาพระศาสดา ให้เสด็จมายังกรุงสาวัตถี ให้สร้างวิหาร ด้วยการบริจาคทรัพย์แสนหนึ่งๆ ทุกๆ โยชน์ตลอดทาง ๔๕ โยชน์ ซื้อที่อุทยานของพระราชกุมารนามว่า เชต ประมาณ ๑๘ กรีส ด้วยเครื่องนับของหลวง ในกรุงสาวัตถี โดยเรียงทรัพย์โกฏิหนึ่ง สร้างวิหารในที่ที่ซื้อนั้น ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ในวันฉลองวิหาร สุภูติกุฏุมพี ก็ได้ไปฟังธรรมกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ศรัทธาจึงบวช ท่านอุปสมบทแล้ว กระทำมาติกา ๒ บทให้แคล่ว-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 356
คล่อง ให้บอกกัมมัฏฐาน ให้บำเพ็ญสมณธรรมในป่า เจริญวิปัสสนา กระทำเมตตาฌานให้เป็นบาท บรรลุอรหัตแล้ว เมื่อแสดงธรรม ก็กล่าวธรรมโดยนัยที่กล่าวแล้ว นั่นแล เมื่อเที่ยวบิณฑบาต ออกจากเมตตาฌานแล้ว จึงรับภิกษา โดยนัยที่กล่าวแล้วเช่นกัน ครั้งนั้น พระศาสดาทรงอาศัยเหตุ ๒ อย่างนี้ จึงสถาปนาท่านไว้ ในภิกษุผู้ควรแก่ทักษิณา แลตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้มีปกติอยู่โดยไม่มีกิเลส.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๔