อรรถกถาสูตรที่ ๗ ประวัติพระโสณโกฬวิสเถระ
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 367
อรรถกถาสูตรที่ ๗
ประวัติพระโสณโกฬวิสเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 367
อรรถกถาสูตรที่ ๗
ประวัติพระโสณโกฬวิสเถระ
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้.
บทว่า อารทฺธวิริยานํ ความว่า ผู้ตั้งความเพียรแล้ว ผู้มีความเพียรบริบูรณ์แล้ว. คำว่า โสโณ โกฬวิโส เป็นชื่อของพระเถระนั้น. คำว่า โกฬวิโส เป็นโคตร. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ชื่อว่า โกฬเวโส อธิบายว่า เด็กแห่งตระกูลแพศย์ ผู้ถึงที่สุดด้วยความมีอิสสระ ก็
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 368
เพราะเหตุที่ ธรรมดาว่า ความเพียรของภิกษุเหล่าอื่น ย่อมต้องทำให้เจริญ แต่ของพระเถระ พึงอบรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระเถระนี้ ชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะพึงกล่าวตามลำดับ ดังต่อไปนี้
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระเถระนี้บังเกิดในตระกูลเศรษฐี พวกญาติขนานนามของท่านว่า สิริวัฑฒกุมาร ท่านเจริญวัยแล้วไปวิหารโดยนัยก่อนนั้น แลยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท เห็นพระศาสดา ทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว จึงคิดว่า แม่เราก็ควรเป็นอย่างภิกษุนี้ในอนาคต จบเทศนา จึงนิมนต์พระทศพล ถวายมหาทาน ๗ วัน ได้กระทำความปรารถนา โดยนัยที่กล่าวแล้ว นั้นแล พระศาสดาทรงเห็นว่า ความปรารถนาของท่านสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์โดยนัยก่อน นั่นแล เสด็จกลับพระวิหาร ฝ่ายสิริวัฑฒเศรษฐีนั้น กระทำกุศลตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดา และมนุษย์ล่วงไปแสนกัป เมื่อพระกัสสปทศพลปรินิพพานแล้วในกัปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรายังไม่ทรงบังเกิด ก็มาถือปฏิสนธิในครอบครัวกรุงพาราณสี ท่านไปเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา พร้อมกับหมู่สหายของตน ครั้งนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีจีวรเก่า เข้าอาศัยกรุงพาราณสีสร้างบรรณศาลาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ตั้งใจว่าจะเข้าจำพรรษา จึงไปดึงท่อนไม้และเถาวัลย์ที่ถูกน้ำพัดมาติดอยู่ออก กุมารนี้กับสหาย เดินไปยืนอภิวาทอยู่ถามว่า ทำอะไรเจ้าข้า ป. พ่อเด็กจวน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 369
เข้าพรรษาแล้ว ธรรมดาบรรพชิตควรได้ที่อยู่ กุมารกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า วันนี้ ขอพระคุณเจ้ารอสักวันหนึ่งก่อน, พรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจะกระทำที่อยู่ถวายพระคุณเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้ายับยั้งอยู่ เพราะเป็นผู้มาแล้วด้วยตั้งใจว่า จักกระทำความสงเคราะห์กุมารนี้เหมือนกัน กุมารนั้นทราบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ารับนิมนต์แล้ว วันรุ่งขึ้นจึงจัดแจงเครื่องสักการะสัมมานะ ไปยืนคอยพระปัจเจกพุทธเจ้ามา ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงรำลึกว่า วันนี้เราจักเที่ยวหาอาหารที่ไหนหนอ จึงไปยังประตูเรือนของกุมารนั้น กุมารเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็นึกรัก รับบาตรถวายอาหาร นิมนต์ว่า ตลอดภายในพรรษานี้ ขอได้โปรดมายังประตูเรือนของข้าพเจ้าเท่านั้น พระปัจเจกพุทธเจ้ารับคำฉันเสร็จแล้ว ก็หลีกไป, จึงไปกับสหายของตน ช่วยกันสร้างบรรณศาลาที่อยู่ ที่จงกรม และที่พักกลางวัน และกลางคืน ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเสร็จในวันเดียว กุมารนั้นคิดว่า เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าบรรณศาลา เปือกตมบนพื้นดินที่ฉาบด้วยของเขียวสด อย่าได้ติดที่เท้า จึงลาดผ้ากัมพลแดงมีค่าพันหนึ่ง อันเป็นผ้าห่มของตนปิดพื้น เห็นรัศมีมีสรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นเช่นเดียวกับสีของผ้ากัมพล ก็เลื่อมใสอย่างยิ่ง กล่าวว่าจำเดิมแต่เวลา ที่พระคุณเจ้าเหยียบแล้ว ประกายแห่งผ้ากัมพลนี้แวววาวอย่างยิ่ง ฉันใด แม้วรรณะแห่งมือ และเท้าของข้าพเจ้า ก็จงมีสีเหมือนดอกหงอนไก่ ในที่ที่ข้าพเจ้าเกิดแล้วเกิดอีก ฉะนั้น ขอให้ผัสสะจงเป็นเช่นกับผัสสะแห่งผ้าฝ้าย ที่เขายีแล้วถึง ๗ ครั้งเทียว กุมารนั้นบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าตลอดไตรมาส ได้ถวายไตรจีวร เมื่อเวลาปวารณาแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้ามีบาตร และจีวรบริบูรณ์แล้ว
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 370
จึงไปยังภูเขาคันธมาทน์ตามเดิม
ฝ่ายกุลบุตรนั้น เวียนว่ายอยู่ในเทวดา และมนุษย์ มาถือปฏิสนธิในเรือนของ อุสภเศรษฐี ในเมืองกาลจัมปาก ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ตั้งแต่เวลาที่กุลบุตรนั้นถือปฏิสนธิ เครื่องบรรณาการหลายพัน มาในสกุลเศรษฐี ในวันที่เกิดนั่นเอง ทั่วพระนครได้มีเครื่องสักการะสัมมานะเป็นอันเดียวกัน ต่อมาในวันตั้งชื่อกุมารนั้น มารดาบิดาคิดว่า บุตรของเรารับชื่อของตนมาแล้ว รัศมีสรีระของเขาเหมือนรดด้วยทองมีสุกแดง เพราะฉะนั้น จึงตั้งชื่อของกุมารนั้นว่า โสณกุมาร ครั้งนั้น เศรษฐีให้พี่เลี้ยงนางนมบำรุงบุตรนั้น ให้เจริญด้วยความสุขประหนึ่งเทพกุมาร การจัดแจงอาหาร สำหรับกุมารนั้น ได้มีแล้วอย่างนี้ หว่านข้าวลงยังที่มีประมาณ ๖๐ กรีส เลี้ยงด้วยน้ำ ๓ อย่าง เอาตุ่มใส่น้ำนม และน้ำหอมหลายพันตุ่มรดลงในเหมืองน้ำที่ไหลเข้าไปในนาดอน เวลารวงข้าวสาลีเป็นน้ำนมก็ฝังหลักล้อมรอบๆ และในระหว่างๆ เพื่อป้องกันสัตว์ทั้งหลาย มีนกแก้วเป็นต้น กระทำเป็นเดน และเพื่อจะให้รวงข้าวมีความนุ่มนวล ลาดผ้าเนื้อละเอียดไว้บนหลัก เอาไม้พาดข้างบน ด้วยเสื่อลำแพน กั้นม่านโดยรอบ จัดอารักขาไว้ในที่รอบๆ ทุกส่วน เมื่อข้าวสุกขึ้นฉางก็ประพรมด้วยคันธชาติ ๔ อย่าง อบด้วยของหอมอย่างดีเลิศไว้ข้างบน หมู่คนหลายแสนลงแขกเกี่ยวขั้วรวงข้าวสาลีทำเป็นกำๆ มัดด้วยเชือก ตากให้แห้ง ต่อนั้นลาดของหอมที่พื้นล่างฉาง แผ่รวงข้าวไว้ข้างบน แผ่ไปให้มีระหว่างช่อง อย่างนี้จนเต็มฉางจึงปิดประตู เมื่อครบ ๓ ปี จึงค่อยเปิดฉางข้าว เวลาเปิดก็มีกลิ่นอบอวลไปทั่วพระนคร เมื่อฟาดข้าวสาลี พวกนักเลงก็พา
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 371
กันมาซื้อแกลบเอาไป ส่วนรำ จุลลปัฏฐากได้ไป เวลาซ้อมด้วยสากก็มาเลือกเก็บเอาข้าวสารไป คนเหล่านั้นใส่ข้าวนั้นไว้ในกระเช้าแฝกทอง จุ่มลงครั้งเดียวในชาติรส ใส่ข้าวไว้ในกระเช้าที่สานด้วยแฝกทอง ใส่ชาติรสน้ำผลจันทน์ที่ยังร้อน ซึ่งกรอง ๗ ครั้ง เอามาครั้งเดียวแล้วก็ยกขึ้น น้ำผลจันทน์ที่เดือดแล้ว ซึ่งเขากรอง๗ ครั้ง แล้วยกขึ้นกรองข้าวสาลีที่ยกขึ้นพ้นน้ำแล้ว ก็เหมือนดอกมะลิ ชนทั้งหลายจึงใส่โภชนะนั้นไว้ในถาดทอง เอาไว้บนถาดเงินที่เต็มด้วยข้าวมธุปายาส มีน้ำน้อยที่ยังร้อนอยู่ ถือไปวางไว้ข้างหน้าบุตรเศรษฐี. เศรษฐีบุตรนั้น บริโภคพอยังอัตตภาพให้เป็นไปสำหรับตน แล้วล้างปากด้วยน้ำที่อบด้วยของหอม แล้วล้างมือและเท้า ตอนนั้น จึงนำเครื่องอบปากมีประการต่างๆ มาให้แก่เศรษฐีบุตรนั้น ซึ่งได้ล้างมือและเท้าแล้ว ลาดเครื่องลาดอันวิจิตร ด้วยผ้าเปลือกไม้อย่างดี ในที่ที่เศรษฐีบุตรนั้นเหยียบ ฝ่ามือและฝ่าเท้าของเศรษฐีบุตรนั้น มีสีดุจสีดอกหงอนไก่ โลมาซึ่งมีวรรณะดุจสีแก้วมณีและแก้วกุณฑล เกิดที่ฝ่าเท้า ดุจสัมผัสของผ้าฝ้ายที่เขายีแล้วถึง ๗ ครั้ง เศรษฐีบุตรนั้นโกรธใครๆ จะพูดว่า จงรู้ไว้ ฉันจะเหยียบพื้นดิน เมื่อเธอเจริญวัยแล้วให้สร้างปราสาท ๓ หลัง ที่เหมาะแก่ฤดู ๓ แล้วให้นางฟ้อนบำรุงบำเรอเศรษฐีบุตรนั้น เสวยมหาสมบัติอาศัยอยู่ปานเทพเจ้า.
ต่อมาเมื่อพระศาสดาของเรา ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐแล้ว อาศัยกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ เศรษฐีบุตรนั้น อันพระเจ้ามคธตรัสเรียกมาเพื่อจะ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 372
ทอดพระเนตรขนที่เท้า แล้วส่งไปเฝ้าพระศาสดา พร้อมกับชาวบ้าน ๘๐,๐๐๐ ฟังพระธรรมเทศนาได้ศรัทธา จึงขอบรรพชากะพระศาสดา ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามเขาว่า มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ ทรงสดับว่า ยังมิได้อนุญาต จงทรงห้ามว่า โสณะตถาคตไม่ให้กุลบุตร ที่มารดาบิดาไม่อนุญาตบวชได้ เศรษฐีบุตรนั้น รับพระดำรัสของพระตถาคตด้วยเศียรเกล้าว่า ดีละพระเจ้าข้าจึงไปหามารดาบิดาให้ท่านอนุญาตแล้ว จึงกลับมาเฝ้าพระตถาคต ได้บวชในสำนักของภิกษุรูปหนึ่ง นี้เป็นความย่อในเรื่องนี้, โดยพิสดาร พิธีบรรพชาของท่านมาแล้วในพระบาลี นั่นแล.
เมื่อท่านได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว อยู่ในกรุงราชคฤห์ หมู่ญาติและสายโลหิตเป็นอันมาก และเพื่อเห็นเพื่อนเป็นอันมาก ต่างนำสักการะและสัมมานะมา กล่าวสรรเสริญความสำเร็จแห่งรูป แม้คนเหล่าอื่นก็พากันมาดู พระเถระคิดว่า คนเป็นอันมากมายังสำนักของเรา เราจักทำกิจกรรมในกัมมัฏฐาน หรือในวิปัสสนาได้อย่างไร ถ้ากะไร เราพึงเรียนกัมมัฎฐานในสำนักของพระศาสดา แล้วไปสุสานสีตวัน บำเพ็ญสมณธรรม เพราะคนเป็นอันมากเกลียดสุสานสีตวันนั้น จักไม่ไป เมื่อเป็นอย่างนี้ กิจของเราจักถึงที่สุดได้ จึงรับกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้ว ไปยังสีตวันเริ่มบำเพ็ญสมณธรรม ท่านคิดว่า สรีระของเราละเอียดอย่างยิ่ง แต่ไม่อาจจะให้ถึงความสุขโดยความสะดวกนั่นเอง แม้ถึงจะลำบากกายก็ควรบำเพ็ญสมณธรรม แต่นั้นจึงอธิษฐานการยืน และการจงกรมมีแต่โลหิตอย่างเดียว เมื่อเท้าเดินไม่ได้ ก็พยายามจงกรมด้วย
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 373
เข่าบ้าง ด้วยมือบ้าง แม้ถึงกระทำความเพียรอย่างมั่นคงถึงเพียงนี้ ก็ไม่อาจทำคุณแม้เพียงโอภาสให้บังเกิด จึงคิดว่า แม้หากว่าคนอื่นพึงปรารภความเพียร พึงเป็นเช่นกับเราไซร้ แต่เราพยายามอยู่อย่างนี้ ก็ไม่อาจทำมรรคหรือผลให้เกิดขึ้นได้ เราไม่ใช่อุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือไม่ใช่วิปจิตัญญูบุคคล ไม่ไช่ไนยบุคคล เราพึงเป็นปทปรมบุคคลแน่แท้ เราจะประโยชน์อะไรด้วยบรรพชา เราจะสึกออกไปบริโภคโภคะและกระทำบุญ สมัยนั้น พระศาสดา ทรงทราบความปริวิตกของพระเถระ เวลาเย็นทรงมีหมู่ภิกษุแวดล้อม ไปในสุสานสีตวันนั้น ทอดพระเนตรเห็นที่จงกรมเปื้อนเลือด ทรงโอวาทพระเถระโดยโอวาทเทียบดังพิณ ตรัสบอกกัมมัฏฐานแก่พระเถระ เพื่อให้ประกอบความเพียรเพลาๆ ลงบ้าง แล้วเสด็จไปยังภูเขาคิชฌกูฎ ฝ่ายพระโสณเถระ ได้พระโอวาท ในที่ต่อพระพักตร์ของพระทศพล ไม่นานนักก็ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผล. ต่อมาภายหลังพระศาสดา มีหมู่ภิกษุแวดล้อมทรงแสดงธรรม ในพระเชตวันวิหาร ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่ง เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ปรารภความเพียร.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๗